บัวสาย
เป็นดอกไม้ประจําชาติของอียิปต์ จากข้อมูลภาพเขียนสีและซากโบราณที่ปรักหักพังในประเทศอียิปต์ ทําให้เทราบว่า เมื่อ 4,000 ปี มาแล้ว ลุ่มแม่น้ำไนล์มีบัวชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่มากมาย ภาพเขียนสีตามผนังหลุมฝังศพมีภาพ สวนไม้ผล ไม้ดอก ไม้เถาและไม้น้ำ ในสระจะปลูกปาปิรุสและบัวสายสีน้ำเงินเป็นกอๆ ส่วนลายบัวหัวเสาของอาคารโบราณที่ปรักหักพัง ก็เป็นลายจําลองจากดอกบัวสาย กกปาปิรัส และใบปาล์ม ศิลปะหลายแขนงของอียิปต์โบราณได้รับความบันดาลใจและถอดแบบลวดลาย มาจากกอบัว สายบัว ใบบัว ดอกบัวและกลีบบัว
นอกจากนี้ดอกบัวยังเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ผู้ครองท้องฟ้า เพราะดอกบัวขยายกลีบเบ่งบานเมื่อพระอาทิตย์เริ่มไขแสง ดอกบัวจึงกลายเป็นผู้ไขแสง คือ พระอาทิตย์ ครั้นตกเย็น แสงสว่างเคลื่อนคล้อยลับลง บัวก็หุบกลีบ และรัตติกาลเข้ามาแทนที่ ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างรูปเทพเอมอนขึ้นแทนพระอาทิตย์ มีลักษณะเป็นเด็กนั่งอยู่บนดอกบัว มีฤทธิ์มาก ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นรา บางแห่งเรียกว่า โอรัส สืบเนื่องมาถึงศิลปะของไทยได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมาช้านานและได้พัฒนาสืบเนื่องผสมกับความเชื่อ การดำรงชีวิตรวมทั้งประเพณีและวัฒนธรรมในสังคมไทย จนกลายเป็นศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จะเห็นได้ว่าศิลปะไทยนั้นถูกถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานมากมายหลายชนิด
ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรมไทยและสถาปัตยกรรม ลายไทยลายไทย
เป็นลวดลายที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งโบราณกาลนับตั้งแต่มนุษย์รู้จักใช้สีเขียนเป็นลวดลายลงบนร่างกายเพื่อให้เกิดความสวยงาม และน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็นรวมทั้งการเขียนลวดลายลงบนภาชนะดินเผา ศิลปะต่าง ๆเหล่านี้ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องและเป็นมรดกตกทอดมาตามยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน ศิลปะอันสวยงามนี้ เกิดขึ้นด้วยฝีมือและสติปัญญาอันชาญฉลาดโดยได้รับแรงบันดาลใจและอาศัยรูปทรงจากพืช พันธุ์ไม้ สรรพสัตว์ และสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ใบไม้ หางไหล เปลวไฟ มาประดิษฐ์คิดดัดแปลงให้เป็นลวดลายต่าง ๆ
จัดวางรูปจังหวะให้เป็นระเบียบกลมกลืนเป็นอันดีโดยล้อเลียนของจริงตามธรรมชาติก่อนแล้วค่อย ๆ หายไปกลายเป็นลวดลายและภาพที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เจดีย์เจดีย์ หรือ สถูป เป็นสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนา พบได้ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียและเอเชีย เสาเสา พบว่ามีการตกแต่งปลายเสาหรือบัวหัวเสาปั้นปูนประกอบเป็นรูปดอกบัวบนอาคาร พระอุโบสถและวิหาร ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาแล้วได้แก่บัวกลุ่มและบัวจงกล ช่างจะปั้นเป็นรูปทรงดอกบัวแบบบัวจงกลและ บัวสัตบุตย์ในธรรมชาติ แต่งเป็นกลีบซ้อนขึ้นไปที่ปลายเสาที่มีสัณฐานกลมมีส่วนคอหรือเอวคั้น แล้วทาสีชาดทับ ต่อมาในสมัยอยุธยาเปลี่ยนจากเสาสัณฐานกลมเป็นแปดเหลี่ยมแต่ยังนิยมปั้นเป็นบัวจงกลอยู่จนกระทั่งเข้าสู่สมัยอยุธยาตอนกลางทาเสาเป็นสัณฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมปั้นบัวหัวเสาเป็นกลีบบัวยาวเรียวเรียกว่าบัวแวง บางแห่งมีกาประดับกระจกสีแทนการทาสีชาด ต่อมาใน สมัยรัตนโกสินทร์มีเสาอาคารแบบใหม่เป็นสัณฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมลเหลี่ยมโค้งไม่มีการตกแต่งบัวหัวเสายกเว้นอาคารที่สร้างเลียนแบบสมัยอยุธยาที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบประเพณีนิยม |