เปิดอ่านหนังสือ “ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำชาติ” ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต, ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”) หน้า 49 เขียนว่า Show “...การที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงเท่ากับเป็นการยกหลักการแห่งเสรีภาพในการนับถือศาสนาขึ้นมาสถาปนาไว้ ซึ่งเป็นฐานที่ค้ำจุนช่วยให้ไม่มีการเบียดเบียนกันทางศาสนา...” ในหน้า 64 ยังเน้นอีกว่า “พระพุทธศาสนานั้นเรียกได้ว่าเป็นศาสนาแห่งอิสรภาพ จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาเรียกชื่ออย่างหนึ่งว่า ‘วิมุตติ’ แปลว่าความหลุดพ้น ความปลอดพ้นจากสิ่งผูกรัดบีบคั้นครอบงำจำกัดขัดข้อง ไม่ต้องขึ้นต่ออะไรหรือต่อใครๆ...” คำถามคือ พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาประจำชาติพร้อมๆ กับเป็นศาสนาแห่งอิสรภาพที่ปลอดพ้นจากสิ่งผูกรัดบีบคั้นครอบงำจำกัดขัดข้องในเวลาเดียวกันได้อย่างไร เพราะการเป็นศาสนาประจำชาติที่มี “ศาสนจักรของรัฐ” (มหาเถรสมาคม) ที่ขึ้นต่อ “พระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณี” อันเป็นรูปแบบศาสนจักรที่ตกทอดมาจากยุคก่อนสมัยใหม่ ภายใต้ระบบอำนาจศาสนจักรเช่นนี้ แม้แต่นักบวชเองก็ไม่มีเสรีภาพทางศาสนาได้จริง เวลาเราพูดถึง “เสรีภาพทางศาสนา” (freedom of religion) ในสังคมสมัยใหม่ ย่อมหมายถึงเสรีภาพในการเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนา เสรีภาพในการเปลี่ยนศาสนา รวมถึงเสรีภาพในการศึกษาตีความคำสอนศาสนา เสรีภาพที่กลุ่มองค์กรศาสนาต่างๆ จะปกครองกันเอง หรือจัดองค์กรศาสนาตามหลักความเชื่อทางศาสนานั้นๆ โดยไม่ถูกแทรกแซงขัดขวางจากอำนาจรัฐ ตราบที่ไม่มีการละเมิดสิทธิพลเมือง แต่ภายใต้ระบบศาสนจักรของรัฐ นักพุทธพุทธกลับไม่มีเสรีภาพทางศาสนาในความหมายนี้เลย ทั้งนี้เพราะศาสนจักรขึ้นต่อพระราชอำนาจ กษัตริย์คือผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการแต่งตั้งประมุขสงฆ์ และผู้บริหารระดับสูงของคณะสงฆ์ มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนสมณศักดิ์ เป็นต้น ทำให้นักบวชพุทธไม่มีเสรีภาพทางศาสนาในความหมายของการมีอิสรภาพจัดองค์กรปกครองกันเองตามธรรมวินัยเพื่อเดินตาม “ครรลองของศาสนาแห่งอิสรภาพ” ที่ไม่ขึ้นต่ออำนาจบงการใดๆ นอกเหนือจากฉันทานุมัติของสังฆะได้จริง นอกจากนี้ นักบวชพุทธยังไม่มีเสรีภาพทางศาสนาในความหมายของ “การมีอิสรภาพในการตีความพุทธธรรม” อย่างมีนัยสำคัญด้วย เช่น นักบวชพุทธไม่มีเสรีภาพตีความพุทธธรรมสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชน เพราะขัดคำสั่งของศาสนจักร และศาสนจักรยังออกคำสั่งให้พระสงฆ์ทั่วประเทศสอนประชาชนให้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วย ถ้านักบวชมีเสรีภาพตีความพุทธธรรมจริง “เสรีภาพ” ย่อมหมายถึง “เลือกได้” นักบวชก็ต้องมีเสรีภาพเลือกตีความพุทธธรรมสนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือตีความและรวมทั้งเคลื่อนไหวในนามพุทธธรรมสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประรชาธิปไตยของประชาชนได้ด้วย ยิ่งกว่านั้น หากนักบวชมีเสรีภาพตีความพุทธธรรมจริง พระสงฆ์ต้องมีเสรีภาพตีความพุทธธรรมสรรเสริญกษัตริย์ได้ และอ้างอิงหลักพุทธธรรมวิพากษ์วิจารณ์การปกครองโดยธรรมของกษัตริย์ได้ด้วย แต่นักบวชพุทธไทยหาได้มีเสรีภาพในเรื่องพื้นฐานสำคัญมากเช่นนี้แต่อย่างใด ดังนั้น การกล่าวว่า หากพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจะเป็นการสถาปนาหลักการเสรีภาพทางศาสนาให้มั่นคงจึงไม่จริง ด้วยข้อโต้แย้งที่มีหลักฐานชัดแจ้งดังที่ว่ามา ที่น่าเศร้าคือ นอกจากนักบวชจะไม่ตระหนักว่าตนเองไม่เคยมีเสรีภาพทางศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยตระหนักว่า การบังคับเรียนปลูกฝังศีลธรรมพุทธศาสนาในหลักสูตรการศึกษาชาติคือการละเมิดเสรีภาพทางศาสนา เพราะการมีเสรีภาพทางศาสนานั้นย่อมหมายความหว่า ปัจเจกบุคคลจะต้องไม่ถูกบังคับยัดเยียดให้เรียนเพื่อปลูกฝังศีลธรรมของศาสนาใดๆ ที่ย้อนแย้งอีกอย่างคือ เมื่อมีผู้เสนอว่า “นักบวชควรจ่ายภาษี” บรรดานักบวชและชาวพุทธบางส่วนกลับต่อต้าน ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็แทบไม่นึกถึงความจริงว่าตนเองได้จ่าย “ภาษีศาสนา” สนับสนุนกิจการของพวกนักบวชให้กรมการศาสนาและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยเฉพาะงบประมาณของ พศ.ปีหนึ่งๆ ก็ใกล้เชียงกับงบประมาณของกระทรวงอุตสาหกรรมเลยทีเดียว ขณะที่มีเงินทำบุญบริจาคหมุนเวียนในวัดต่างๆ ทั่วประเทศเฉลี่ยปีละ 1-2 แสนล้านบาท ประชาชนจ่ายภาษีศาสนาสนับสนุนนักบวชผู้ไม่เสียภาษีไปทำไม จ่ายสนับสนุนศาสนจักรที่เป็นกลไกสนับสนุนอุดการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเป็นศาสนจักรที่มีอำนาจขัดหลักเสรีภาพทางศาสนาในการปกครองตนเองตามธรรมวินัย และขัดหลักเสรีภาพทางศาสนาในการตีความพุทธธรรมของนักบวชที่มียศศักดิ์ฐานนันดรเช่นนั้นหรือ
จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา คือความพ้นทุกข์สิ้นเชิง (นิพพาน) ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทคือ (1) ความพ้นทุกข์ทางจิตใจอย่างสิ้นเชิงในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เพราะสิ้นกิเลสตัณหา (สอุปาทิเสสนิพพาน หรือกิเลสปรินิพพาน หรือจะเรียกว่าวิราคธรรมก็ได้) คงเหลือแต่ความทุกข์ทางร่างกายซึ่งปฏิเสธไม่ได้ เพราะได้เกิดมามีร่างกายเสียแล้ว และ (2) ความพ้นทุกข์สิ้นเชิงเมื่อสิ้นขันธ์ (อนุปาทิเสสนิพพาน หรือขันธปรินิพพาน หรือจะเรียกว่าวิสังขารธรรมก็ได้) คือหมดรูปนาม หรือหมดกายหมดใจอันเป็นกองทุกข์ที่เหลืออยู่หลังจากกิเลสปรินิพพาน พร้อมทั้งไม่มีขันธ์เกิดขึ้นใหม่ให้ต้องเป็นทุกข์อีกในภพต่อไป 2. ทำอย่างไรจึงจะรู้แจ้งนิพพานได้ 3. เมือรู้แจ้งนิพพานแล้วจิตใจเป็นอย่างไร จุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคืออะไร7. พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีองค์ประกอบครบถ้วนมีจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ นิพพาน และความเจริญอันสูงสุดที่ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ คือ อริยสัจ 4.
อิสรภาพสูงสุดในพุทธศาสนาคือข้อใดพระพุทธเจ้าทรงวางหลักการอันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาไว้ว่า ได้แก่ การบรรลุถึง ภาวะพระนิพพาน และพระนิพพานก็คือภาวะที่จิตหลุดพ้นจากสรรพกิเลส ซึ่งก็คือบรรลุถึงอิสรภาพนั่นเอง ด้วยเหตุนี้อิสรภาพจึงเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาสอดคล้องกับพระพุทธพจน์ที่ว่า
การมุ่งสู่อิสรภาพของศาสนาพุทธ คือข้อใดประการออกบวช คือ พระองค์มุ่งออกสู่อิสรภาพทั้ง หนึ่งซึ่งในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นกระบวนการเรียน อิสรภาพทางกายและอิสรภาพทางใจ ที่สำคัญมากก็ รู้ที่ถูกต้อง กระบวนการเรียนรู้อย่างนี้จะทำให้มนุษย์ คือ ความอิสระจากการครอบงำของอวิชชา และกิเลส
เพราะเหตุใดพระพุทธศาสนาจึงได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งอิสรภาพพระพุทธศาสนาได้รับยกย่องจากทั่วโลกว่าเป็นศาสนาแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง เพราะไม่ปรากฏว่ามีสงครามในนามศาสนาหรือการเผยแผ่ศาสนา เพราะ ให้เสรีภาพในการพิจารณาด้วยปัญญา และพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความอิสระ เสรีภาพ กล่าวคือไม่ผูกติดกับผู้ดลบันดาลหรือพระผู้เป็นเจ้า เชื่อในความสามารถของมนุษย์ว่ามีศักยภาพในการปลดเปลื้องทุกข์โดย ...
|