เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ

โดยปกติแล้วการบริโภคของคนเราทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพของสินค้าและบริการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้


1.รายได้ของผู้บริโภค

       ในที่นี้หมายถึง รายได้สุทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นรายได้เมื่อหักภาษีออกแล้วรายได้ของผู้บริโภคนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดการใช้จ่ายสำหรับการบริภค ตามปกติ ถ้าเรามีรายได้น้อยก็จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการมาบริโภคได้น้อย เมื่อมีรายได้เพิ่มขั้นเราก็ใช้จ่ายเงินเพิ่อการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย แต่จะเพิ่มในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเงินออมมากกว่าเดิม


2.นิสัยการใช้จ่ายของผู้บริโภค

      คนเรามีนิสัยการใช้เงินแตกต่างกัน คนที่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย พอใจหรืออยากได้สิ่งใดก็รีบซื้อทันทีโดยไม่ได้พิจารณาถึงความจำเป็นและรายได้ของตนเอง และเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้คนประเภทนี้จะมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในอานาคต


3.ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภค รายได้ การออมและการลงทุน
     เราได้ทราบกันแล้วว่า การบริโภคของคนเรามีความสัมพันธ์กับรายได้โดยตรง ถ้ามีรายได้มากก็สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้ามาบริโภคได้มาก ตุถ้ามีรายได้น้อยก็สามารถบริโภคได้น้อย อย่างไรก็ตาม ประชาชนโดยทั่วๆไป มักจะไม่บริโภคเกินรายได้ที่เขามีอยู่ เขาจะออมเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้จ่ายเมื่อถึงคราวจำเป็นในอนาคตโดยอาจจะนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ยืมหรือฝากธนาคารเพื่อได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย หรือนำไปลงทุนดำเนินธุรกิจด้วยตนเองในวันข้างหน้า ดังนั้น เงินที่ออมไว้ก็จะกลายเป็นเงินทุน


การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค (Corruption Expedition / C)

1.สินค้าประเภทถาวร (Durable goods) ได้แก่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคสินค้าที่มีอายุการใช้งานนาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์

2.สินค้าประเภทไม่ถาวร (Nondurable goods) ได้แก่ ค่าใช้จ่าย ในการบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภค อาหาร

3.บริการ (Services) ได้แก่ค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งบริการต่าง ๆ เช่น การชมภาพยนต์ ดังนั้น C (เพิ่มขึ้น) > AD(เพิ่มขึ้น) > I (เพิ่มขึ้น) > จ้างงาน (เพิ่มขึ้น) > Y (เพิ่มขึ้น)


ปัจจัยที่กำหนดการบริโภคมวลรวมและการออมมวลรวม

1.รายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income / DI / Yd)
    Yd (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) และ S (เพิ่มขึ้น) Yd (ลดลง) > C (ลดลง) และ S (ลดลง)
2 .การเปลี่ยนแปลงในอัตราภาษี (t)
    Dt (เพิ่มขึ้น) > Yd(เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) และ S (เพิ่มขึ้น) Dt (ลดลง) > Yd (ลดลง) > C (ลดลง) และ S (ลดลง)

3.อุปนิสัยของผู้บริโภค (h) 

นิสัยเป็นคนมัธยัสถ์ > C (ลดลง) นิสัยเป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย > C (เพิ่มขึ้น)
4.ภาวะแวดล้อมทางสังคม (So) สังคมใดเลียนแบบการบริโภคสูง > C (เพิ่มขึ้น)


สังคมใดรู้สึกว่าการประหยัดมัธยัสถ์เป็นสิ่งที่ดี

                   

S (เพิ่มขึ้น) 


C (ลดลง)

5.การคาดคะเนของผู้บริโภค (e)


Y e (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) ปัจจุบัน และ S (ลดลง) 

  P e (ลดลง) > C (ลดลง) ปัจจุบัน และ S (เพิ่มขึ้น)    


6. สินทรัพย์ของผู้บริโภค (A) ) ปัจจุบัน และ S (ลดลง)


Asset มีสภาพคล่องมาก > ฐานะการเงินมั่นคง > C (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง) 

Asset มีสภาพคล่องน้อย > เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ยาก > C (ลดลง) 

*** Asset มีสภาพคล่องมาก ได้แก่ ใบหุ้น, เงินสด, เงินฝากประจำ ***


สินค้าคงทนถาวร (Fixed Asset : FA) เช่น รถยนต์, ทีวี เป็นต้น 

- อาจซื้อ FA (ลดลง) ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากมีใช้อยู่แล้ว 

- อาจซื้อ FA สินค้าและบริการที่ใช้ทดแทนกัน (Substitute goods) 

ลดลงก็ได้ เช่น การซื้อ T.V / การชมภาพยนต์ 

- อาจจำให้รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ ที่ใช้ประกอบกัน 

เพิ่มขึ้น เช่น การซื้อรถยนต์ > น้ำมัน (เพิ่มขึ้น) ค้าอัดฉีด 

(เพิ่มขึ้น) ค่าซ่อมแซม (เพิ่มขึ้น) แต่ทำให้ S (ลดลง)


7 สินเชื่อเพื่อการบริโภคและอัตราดอกเบี้ย (cr, I)

# ผ่อนต่ำ ดาวน์ต่ำ และ i ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) Q เป็นการเพิ่มอำนาจ 

ซื้อ แก่ผู้มีรายได้ต่ำ 

# i (กู้) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) ; i (ฝาก) สูง > C (ลดลง) 

i (กู้) สูง > C (ลดลง) ; i (ฝาก) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) 


8.การกระจายรายได้ในสังคม (d ) 

d ทั่วหน้าทุกคน > C (เพิ่มขึ้น)


9 จำนวนประชากรและโครงสร้างอายุของประชากร (Pop)

Pop (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) 

ถ้า Pop วัยเรียน (เพิ่มขึ้น) > C เครื่องเขียนชุดนักเรียน (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง) 

อุปนิสัย ของ Pop ก็ต่างกันเช่น คนกลางคนนิยมออม คนแก่ และเด็ก ชอบมีนิสัย 

ในการใช้จ่าย 

\ ถ้าประเทศไหนมีคนกลางคนมาก > S (เพิ่มขึ้น) และ C (ลดลง) ดังนั้น สรุป C = f (Yd , t, h, So, e, A, Cr, I, d, Pop…)



ฟังก์ชั่นการบริโภค (Consumption Function)


C = a + bY 

C = f (Yd) 

เราใช้คำว่า ฟังก์ชัน (function) เพราะว่าการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคผันแปรไปตามระดับรายได้หลังจากหักภาษีแล้ว แสดงว่าเมื่อ C (ลดลง)


Yd (เพิ่ม) ® C (เพิ่ม) ; Yd (ลด) ®C (ลด)


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


C = ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค

a = การใช้จ่ายบริโภคขณะที่รายได้เท่ากับศูนย์ เป็นอัตโนมัติ ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ (มนุษย์เกิดความต้องการบริโภค แม้ขณะยังมิได้มี Y หรือ S = 0)

b = ความโน้มเอียงที่จะใช้จ่ายอุปโภค บริโภค เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น 1 หน่วย 

(Marginal Propensity to Consume / MPC)



Y =รายได้ประชาชาติ (National Income)



ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภค และความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายของการบริโภค


1 ความโน้มเอียงเฉลี่ยที่จะใช้จ่ายอุปโภคบริโภค

            (Average Propensity to Consume / APC) หมายถึง แนวโน้มที่ประชาชนจะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคจากเงินได้ที่มีอยู่ ในแต่ละระดับ 


  

เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ

เนื่องจาก MPC = b = slope ของเส้นการบริโภค


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ

ดังนั้น b ก็คือ ความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภคด้วย


** การออม (The Saving)**

เนื่องจาก การออม (Saving) เป็นส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของ Pop เมื่อมี Yd จำนวนหนึ่ง


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


**ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการออม**

1. รายได้ที่เป็นตัวเงิน (Yd) > Yd = Y – ty
      ถ้า t (เพิ่ม) > S (ลดลง)

      ถ้า t (ลดลง) > S (เพิ่ม)


2. การคาดคะเนของผู้บริโภค
       Y e (เพิ่ม) >S (ลด)

       Y e (ลด) >S (เพิ่ม)


3. ค่านิยมทางสังคม

ผู้บริโภคนิยมวัตถุ > C (เพิ่ม) > S (ลดลง)


**ฟังก์ชั่นการออม (The Saving Function)**


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


โดย –a คือ การออมในอดีตที่ถูกใช้ในการบริโภค เมื่อรายได้ที่อยู่ในมือบุคคล = 0


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


ความสัมพันธ์ระหว่าง S และ Yd ก็ เช่นเดียวกับ C นั้นคือ S a Yd


**ความโน้มเอียงเฉลี่ยที่จะออมทรัพย์ (The Average Propensity to save)

เป็นอัตราส่วนระหว่างเงินออมกับรายได้ 


              Yd

 
เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ



การบริโภค



เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ



**ความสัมพันธ์ระหว่างความโน้มเอียงในการบริโภค กับความโน้มเอียงในการออม**

เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


จากรูป (ก) และ (ข) มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้


1. ณ จุด a Yd = C ; S = 0 (Break-evenpiont) จากตารางจุดนี้ Yd ที่ใช้จ่าย = 8000 บาท
2. ณ Yd1 < Yd2 มี C > Yd ดังนั้น จึ้งต้องกู้ยืมหรือนำเงินออมในอดีตมาใช้ \ S ติดลบ เท่ากับ d, f

3. ณ Yd1 > Yd2 > C ส่วนหนึ่งเหลือ S = bc

4. ณ Yd2 : APC = 1 , Yd1 : APC > 1

5. ณ Yd3 : APC < 1


จากการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคตามกฎว่าด้วยการบริโภคในระยะสั้นของเคนส์ เท่าที่เราได้ศึกษามาตั้งแต่ต้น พอสรุปได้ดังนี้

1. APC และ MPC จะมีค่าเพิ่มในสัดส่วนลดลงเรื่อง ๆ เมื่อรายได้สูงขึ้น เพราะการบริโภคจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วน APS, MPS จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น

2. APC + APS = 1 เสมอ หมายความว่า การที่เรามีรายได้อยู่ก้อนหนึ่งจะใช้บริโภคเสียส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะเก็บออมไว้

3. MPC + MPS = 1 เสมอ หมายความว่า DY = DC + DS

4. MPC (ลดลง) (เส้นการบริโภคจะโค้งลง) และ MPS (เพิ่ม) เมื่อ Yd (เพิ่ม) Q DC < DY

5. 0 < MPC < 1

6. 0 < MPS < 1 



**การลงทุน (Investment)**

       การลงทุนในความหมายทางเศรษฐกิจ “รายจ่ายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อซื้อสินค้าประเภทที่ผลิตขึ้นใหม่ (New fixed capital goods ) เช่น ที่อยู่อาศัย โรงงาน เครื่องจักรกล อาคารสำนักงาน ทั้งนี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของปริมาณวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือด้วย” \ การลงทุน เป็นการจัดหา หรือเพื่อการทดแทนมูลค่าของทุน ที่เสื่อมราคาไป อีกนัยหนึ่ง การลดทุนมวลรวม = การลงทุนสุทธิ + การลงทุนเพื่อทดแทน Gross Investment = Net Investment + Replacement Investment

It   =  I nt   +  I rt 


      การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อที่ดินเพื่อเกรงกำไร การซื้อสินทรัพย์และหลักทรัพย์มือสอง ในการคำนวณรายได้ประชาชาติไม่ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน แต่ถือเป็นการลงทุนทางการเงิน (Financial Investment ) เพราะการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้ทำให้สินทรัพย์ประเภททุนในระบบเศรษฐกิจ มีจำนวนเพิ่มขึ้น ดังนั้นไม่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิต โดยตรงระบบเศรษฐกิจ


**ปัจจัยที่กำหนดการลงทุน**


อัตราดอกเบี้ย (Rate of Interest)
i เป็น cost การผลิตรวม
i (เพิ่ม) > I (ลด); i(ลด) > I(เพิ่ม)
กำไรที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Profit)
กำไร e มากกว่า ต้นทุน > I(เพิ่ม)
ราคาสินค้า
Pf > IRR > I(ลด)
Pc < IRR > I(เพิ่ม)
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
Tech ก้าวหน้า > ผู้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ > ครองตลาดทำให้มี I ใหม่อยู่ตลอดเวลา
นโยบายของรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมือง
t (เพิ่ม) และ t ซ้ำซ้อน > cost (เพิ่ม) > ไม่สามารถแข่งขัน ในตลาดได้ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ


ฟังก์ชั่นการลงทุน

I = f(Yd, A, B, C, D)
I = ปริมาณการลงทุน
Yd = รายได้ที่เป็นตัวเงิน
B = กำไรคาดว่าจะได้รับ
A = อัตราดอกเบี้ย
C = ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี


ลักษณะของการลงทุน แบ่งออกเป็น

การลงทุนโดยอิสระ (Autonomous Investment) 

เป็นการลงทุนไม่ D ตาม Yd เส้น I ขนานกับแกนนอนซึ่งวัดตาม Yd


การลงทุน


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ


     Ia ส่วนมากเป็นการลงทุนของรัฐบาล ซึ่งไม่หวังผลกำไรตอบแทนโดยตรง เช่น การลงทุนในทางด้านการศึกษา การลงทุนสร้างถนนหนทาง



การลงทุนโดยถูกจูงใจ (Induced Investment) จะแปรผันตามระดับเงินได้


เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ



เหตุที่ต้องบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ



**สิ่งที่กำหนดการลงทุน**


การตัดสินใจเพื่อการลงทุนจะต้องเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเรียกว่า ประสิทธิภาพของเงินลงทุนหน่วยที่เพิ่มขึ้น (Marginal Efficiency of capital /MEC) 

ถ้า I < IRR หรือ MEC > ตัดสินใจลงทุน 

I > IRR หรือ MEC > ระงับการลงทุน 

เช่น S = R1 + R2 + … + Rn 

   (1+i)n  (1+i)2  (1+i)  

S = (Supply Price) = สินทรัพย์ทุน 

R1, R2, …, Rn = รายรับของแต่ละปีอันเกิดจากใช้สินทรัพย์ทุน 

i = MEC 

ถ้า MEC > หรือ = ด/บ ตลาด ตัดสินใจลงทุน 

ถ้า MEC < ด/บ ตลาด ระงับการลงทุน 


**การซื้อสินทรัพย์ทุนหน่วยหลัง ๆ > MEC (ลดลง) **

-รายรับ (เพิ่ม) จากการใช้สินทรัพย์ หน่วยหลัง ๆ < รายรับ (เพิ่ม)จดการใช้สินทรัพย์หน่วยแรก ประสิทธิภาพการผลิตน้อยกว่า