เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นและไม่มีทางอื่นใดนอกจากจะต้องฟ้องร้องคดีต่อศาล โจทก์จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ก่อนฟ้องจำเลย และมีวิธีการขั้นตอนการดำเนินคดีอย่างไร เมื่อมีปัญหาขัดแย้งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่งได้ โจทก์จึงควรรีบปรึกษาทนายความพร้อมกับแต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินคดี โดยการสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ แล้วจึงนำข้อเท็จจริงมาปรับเข้ากับข้อกฎหมายเพื่อตั้งรูปเรื่องของคดีว่าจะไปในทิศทางใด แล้วจึงร่างคำฟ้อง เพื่อยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลต่อไป ทนายความโจทก์ต้องจัดเตรียมเอกสารที่กฎหมายกำหนดดังต่อไปนี้ คำฟ้อง คำขอท้ายฟ้อง บัญชีระบุพยาน สำเนาเอกสาร ใบแต่งทนายความ คำแถลงขอส่งหมาย ทะเบียนราษฎร์หรือหนังสือรับรองห้างหุ้นส่วนบริษัทของจำเลย เพื่อส่งให้ศาลและตามจำนวนจำเลย โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ศาลไหนได้บ้าง (เขตอำนาจศาล) 1. คำฟ้องทั่วไป ให้ยื่นต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิด (มูลเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิ ที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง) 2. คำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ให้ยื่นต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หากคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลหลายศาล โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ศาลใดศาลหนึ่งที่อยู่ในเขตอำนาจก็ได้ นอกจากนี้ทนายความยังต้องดูจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยประกอบด้วย คือ 1. คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 แสนบาท อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง (ถ้าจังหวัดใดไม่มีศาลแขวง จะต้องฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด) 2. คดีมีทุนทรัพย์เกิน 3 แสนบาท และคดีไม่มีทุนทรัพย์ อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัด หรือศาลแพ่ง โจทก์จะขอยกเว้นค่าขึ้นศาลได้หรือไม่ โจทก์สามารถยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมศาลได้ ถ้าโจทก์ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือหากไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรเมื่อพิจารณาถึงสถานะของโจทก์ เมื่อยื่นคำฟ้องแล้วทนายความโจทก์จะต้องทำอะไรบ้าง เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อเจ้าหน้าที่จะได้หมายเลขคดีดำมา โจทก์ต้องกำหนดวันนัดพิจารณา พร้อมกับชำระค่าขึ้นศาลตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและชำระค่านำส่งหมายเรียกให้กับจำเลย หลังจากวันที่ยื่นคำฟ้อง โจทก์ยังมีหน้าที่ต้องตามคำสั่งศาลว่ารับฟ้องหรือไม่ พร้อมกับตามผลการส่งหมาย ว่าเจ้าหน้าที่ส่งหมายให้จำเลยได้หรือไม่ หากส่งได้ก็ต้องดูด้วยว่าส่งให้จำเลยเมื่อวันที่เท่าไหร่ ส่งโดยวิธีธรรมดาหรือโดยวิธีอื่น เพื่อดูว่าจำเลยจะต้องยื่นคำให้การภายในวันใด แต่ถ้าส่งไม่ได้โจทก์จะต้องยื่นคำแถลงต่อศาลว่าจะดำเนินการส่งหมายอย่างไรต่อไป ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ทนายความโจทก์จะต้องทำอย่างไร ในคดีแพ่งสามัญ เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัด ถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอดังกล่าวภายในกำหนด ศาลอาจมีคำสั่งจำหน่ายคดีได้ แต่ถ้าเป็นคดีมโนสาเร่ / คดีไม่มีข้อยุ่งยาก / คดีผู้บริโภค แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลก็จะให้โจทก์สืบพยานไปฝ่ายเดียว โดยโจทก์ไม่ต้องยื่นคำขอชนะคดีเหมือนอย่างในคดีแพ่งสามัญ จากนั้นโจทก์ก็จะต้องไปศาลในวันนัดพิจารณา ก็จะมีการนัดพร้อม ไกล่เกลี่ย นัดไต่สวนคำร้องคำขอ นัดสืบพยานโจทก์ นัดสืบพยานจำเลย และนัดฟังคำพิพากษา ซึ่งมีรายละเอียดขั้นตอนมากประกอบกับข้อกฎหมาย การฟ้องคดีของโจทก์จึงจำเป็นต้องมีทนายความเข้ามาช่วยเหลือดำเนินคดีแทน โดยปกติคดีอาญาจะเริ่มจากการที่ผู้เสียหายแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจโดยกล่าวหาว่ามีผู้กระทำผิด และการกระทำนั้นเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ซึ่งการกล่าวหานั้น ผู้เสียหายมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ (เรียกว่า คำร้องทุกข์) การประกันตัวในชั้นศาลมี 2 ช่วง ช่วงแรก เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการนำตัวผู้ต้องหามาขอฝากขังต่อศาลและศาลอนุญาตให้ขัง ซึ่งถือว่าผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจควบคุมของศาลแล้ว ดังนั้น หากผู้ประกันประสงค์จะขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา หรือ จำเลยก็จะต้องยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณา แล้วแต่กรณี กำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ประกัน ดังนี้ ชั้นสอบสวน มีกำหนดเวลาเท่ากับระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ฝากขังจนกระทั่งมีการฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตัวโดยศาล ผู้ประกันสามารยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักประกัน คือ การใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน หรือ การใช้บุคคลเป็นประกัน หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการขอประกันตัว ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาลเท่านั้น 1. ฟ้องที่ศาลใด 2. คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา 3. วิธีการอ่านคำฟ้อง เมื่อได้รับสำเนาคดีคำฟ้อง ควรตรวจดูคำฟ้องดังนี้ 4. ข้อควรปฎิบัติเมื่อศาลประทับฟ้อง หากจำเลยจะสู้คดีควรปฎิบัติ ดังนี้ 5. ชั้นพิจารณาคดี โจทก์มีหน้าที่ต้องมาศาลทุกนัด หากไม่มา ศาลต้องยกฟ้อง เว้นแต่ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มาศาลโดยมีเหตุอันสมควร ศาลจะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้ หากจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดหรือตามหมายเรียก (กรณีจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) ศาลจะออกหมายจับจำเลยและปรับนายประกันในทางปฏิบัติแล้วหากศาลไม่แน่ใจว่าจะจับจำเลยได้เมื่อใดก็จะจำหน่ายคดีชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาคดีต่อไป การสืบพยาน คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานเข้าสืบก่อนจำเลยเสมอ และเมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว จำเลยจึงนำพยานเข้าสืบต่อไป ก่อนสืบพยานโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงเปิดคดี และหลังสืบพยานเสร็จแล้วโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงปิดคดีได้ โทษที่ศาลพิพากษา คือ คำพิพากษาของศาลจะทำเป็นหนังสือ ยกเว้นในศาลแขวง คำพิพากษาจะทำด้วยวาจาก็ได้ โดยบันทึกไว้พอได้ใจความ
1. เมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์หรือฎีกาฟัง หากยื่นไม่ทันภายในกำหนดอาจยื่นคำร้องขอขยายระยะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นสุดระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาและต้องอ้างเหตุที่ยื่นไม่ทันภายในกำหนด
คดีได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลต้องรับโทษทางอาญาแล้วอาจมีการร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ หากมีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ วิธีการยื่นคำขอรับสิทธิ ผู้มีสิทธิยื่นคำขอ ต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ณ สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา อาคารกระทรวงยุติธรรมเลขที่ 99 หมู่ 4 ชั้น 25 ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11120 โทรศัพท์ 0 2502 6500, 0 2502
6539 ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายที่จำเลยจะได้รับ
ดังนี้ วิธีการยื่นคำขอรับสิทธิ ผู้มีสิทธิยื่นคำขอ ต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ณ สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา อาคารกระทรวงยุติธรรมเลขที่ 99 หมู่ 4 ชั้น 25 ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11120 โทรศัพท์ 0 2502 6500, 0 2502 6539 ความรู้เกี่ยวกับการคุมประพฤติ การคุมความประพฤติเป็นมาตรการทางกฎหมายที่ศาลให้โอกาสผู้กระทำความผิดที่ศาลรอการลงโทษโดยสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้ภายใต้เงื่อนไขในการควบคุมความประพฤติ ซึ่งมีพนักงานคุมความประพฤติเป็นผู้สอดส่องดูแลให้บุคคลนั้นกลับตนเป็นพลเมืองดีไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก การคุมความประพฤติแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ การคุมประพฤติเด็กและเยาวชนเมื่อศาลมีคำพิพากษา ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจพิพากษาลงโทษหรือวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น เช่น ปรับ จำคุก ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปโดยมอบเด็กหรือเยาวชนให้บิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรือกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติไว้ด้วย หรือส่งตัวเด็กและเยาวชนไปไว้ในสถานฝึกและอบรม และมีอำนาจใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษอาญาหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัย เช่น เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปเข้ารับการฝึกและอบรมเป็นเวลาตามที่ศาลกำหนด แต่ไม่ให้เกินกว่าผู้นั้นมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งทีอำนาจสั่งรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษเด็กหรือเยาวชน แม้ว่าเด็กหรือเยาวชนเคยถูกศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิดมาแล้ว |