เศรษฐกิจและการค้าขายในสมัยกรุงธนบุรี Show ปัญหาความอดอยากของราษฎร – ความขาดแคลนอาหารเครื่องอุปโภค บริโภค ปัญหาความอดอยากของราษฎร ตอนปลายสมัยอยุธยาราษฎรไม่สะดวกในการประกอบอาชีพทำมาหากินไม่มีเวลาในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เนื่องจากมีศึกสงครามมาตั้งแต่ พ.ศ. 2309พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้จนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ราษฎรถูกต้อนไปเป็นเชลย บางพวกก็หลบหนี ภัยสงครามเข้าป่า บางพวกก็หนี เข้าไปพึ่งชุมนุมต่าง ๆ หลังจากที่พระเจ้าตากสินกอบกู้เอกราชได้แล้ว ราษฎรเริ่มอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรี ปัญหาที่ตามมาก็คือ การขาดแคลนอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค พระเจ้าตากสินต้องสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อข้าวสาร อาหาร เสื้อผ้า แจกราษฎรนอกจากนี้พระเจ้าตากสินยังโปรดให้ทำนานอกฤดูกาลอีกเพื่อให้ได้ข้าวเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอต่อความต้องการ และสะสมไว้เป็นเสบียงในการยกทัพไปทำสงคราม ในตอนต้นสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภาวะทางเศรษฐกิจ ของไทยอยูในสภาพลาบาก เนื่องจากเกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักทั้งนี่เพราะราษฎรมิได้ทำนำในระหว่างการศึกสงครามแม้ว่าภายหลังจากที่พระองค์กู้เอกราชได้แล้ว การทำนาก็ยังไม่ได้ผล เพราะฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ ทรงรับซื้อข้าวจากพ่อค้าจากเรือสำเภาพัฒนาการด้านความสัมพันธ์กับต่างชาติ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นผู้นำคนไทยร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเป็นเอกภาพให้กับบ้านเมืองอยู่นาน คนไทยยังมีความกังวลที่จะรักษาชาติ บ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัย ดังนั้นความสัมพันธ์กบต่างชาติสมัยธนบุรี จึงมีลักษณะการทำสงครามตลอดสมัยทั้งสงครามป้องงกันอาณาจักรและขยายอาณาเขตตอนปลายสมัยอยุธยาราษฎรไม่สะดวกในการประกอบอาชีพทำมาหากินไม่มีเวลาในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เนื่องจากมีศึกสงครามมาตั้งแต่ พ.ศ. 2309 พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ จนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ราษฎรถูกต้อนไปเป็นเชลยจำนวนมาก บางพวกก็หลบหนีภัยสงครามเข้าป่าก็มาก บางพวกก็หนีเข้าไปพึ่งชุมนุมต่าง ๆ หลังจากที่พระเจ้าตากสินกอบกู้เอกราชได้แล้ว ราษฎรเริ่มอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรี โดยการที่พระเจ้าตากสินส่งผู้คนออกไปเกลี้ยกล่อมชักชวนให้เข้ามาอาศัยอยู่ใน เมืองจะได้เป็นกำลังในการสร้างชาติ ปัญหาที่ตามมาก็คือ การขาดแคลนอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค พระเจ้าตากสินต้องสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อข้าวสาร อาหาร เสื้อผ้า แจกราษฎร นอกจากนี้พระเจ้าตากสินยังโปรดให้ทำนานอกฤดูกาลอีกเพื่อให้ได้ข้าวเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอต่อความต้องการ และสะสมไว้เป็นเสบียงในการยกทัพไปทำสงคราม อาทิ ก่อนยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางทรงมีรับสั่งให้ทำนาปรัง เพื่อเตรียมข้าวสารในการออกรบ การค้าระหว่างประเทศ – ชาวต่างชาติเข้ามาขายสินค้า การค้าระหว่างประเทศ ในระยะแรกพระเจ้าตากสินทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในกำไรซื้อข้าวสารแจกราษฎร โดยให้ราคาสูง ทำให้ชาวต่างชาติที่ทราบข่าวก็นำสินค้าเข้ามาขายเป็นจำนวนมาก ทำให้สินค้าที่ชาวต่างชาตินำเข้ามาขายมีราคาถูกลงและสามารถบรรเทาความอดอยาก และการขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคและเมื่อราษฎร ที่หลบหนีอยู่ตามป่าทราบข่าว ว่าพระเจ้าตากสินซื้อข้าวปลาอาหารแจกราษฎร ต่างก็พากันออกจากป่าเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรีเพิ่มขึ้น จะได้เป็นกำลังของชาติในการรวบรวมอาณาจักรต่อไป ซึ่งเมื่อพ่อค้ำแข่งขันกันนำสินค้าเข้ามาขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เกินความต้องการของราษฎร ราคาสินค้าก็ถกลงตามลำดับ ความเดือนร้อนของราษฎรก็หมดไป หลังจากบ้านเมืองเข้าสู่ ภาวะปกติ พระเจ้าตากสิ น โปรดให้แต่งสำเภาออกไปค้าขายยังประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ และยังติดต่อขอซื้อทองแดงจากญี่ปุ่น – การค้าขายเรือสำเภากับจีน ประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในสมัยโบราณว่าสยาม และประเทศจีน เป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาช้านาน ชาวไทยและชาวจีนได้ไปมาหาสู่และติดต่อสัมพันธ์กันทั้งทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมืองมาตั้งแต่โบราณ แม้ว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและมีพลเมืองมากกว่าประเทศไทยก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองส่วนมากจะมีลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อ กันฉันท์ญาติมิตร ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ประเทศไทยกับประเทศจีนได้มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด บางขณะอาจไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ในบางคราวอาจห่างเหินไปบ้าง อันเนื่องมาจากปัญหาภายในของแต่ละประเทศและสถานการณ์ระหว่างประเทศ ประเทศไทยและจีน แม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลกัน แต่การติดต่อถึงการทางบกในสมัยโบราณค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเส้นทางและภูมิประเทศค่อนข้างทุรกันดาร ดังนั้น การติดต่อระหว่างประเทศทั้งสองจึงมักใช้ทางทะเล ซึ่งนำไปสู่ “การค้าสำเภา” (Junk Trade) ระหว่างกัน เดิมจีนมีศูนย์กลางอำนาจที่ลุ่มแม่น้ำฮวงโฮ จีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (พ.ศ. 337 – 568) ได้ส่งทูตมาติดต่อกับชุมชนโบราณหลายชุมชนในเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งบริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่กลอง และเจ้าพระยา เช่น ตว้อหลอพอตี้ (ทวาราวดี) หลอหู (อาจหมายถึงละโว้หรืออู่ทอง) เสียน (อาจหมายถึงสุพรรณภูมิหรือสุโขทัย) การติดต่อระหว่างไทยกับจีนในสมัยโบราณนั้นมีมานานแล้ว แต่เท่าที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์สมัยโบราณอย่างเป็นทางการได้เริ่มขึ้นในสมัยสุโขทัยของไทย ซึ่งเป็นสมัยเดียวกันกับที่ราชวงศ์หยวนของเผ่ามองโกลในจีน การติดต่อระหว่างจีนกับไทยได้มีขึ้นโดยทางฝ่ายจีนเป็นผู้ริเริ่มก่อน พงศาวดารจีนราชวงศ์หยวนได้บันทึกไว้ว่า ประมาณปี พ.ศ. 1825 จักรพรรดิกุบไลข่านแห่งราชวงศ์หยวนได้ส่งทูตเข้ามาติดต่อกับอาณาจักร “เสียน” ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่ออยุธยาล่มสลายด้วยกำลังทหารของพม่าใน พ.ศ. 2310 ผู้นำไทยย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี และต่อมาที่กรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพฯ ในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศไทยและประเทศจีนก็ยังคงมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ไทยยังคงส่งทูตเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายแก่จักรพรรดิ จีนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขอความสะดวกในการค้าสำเภา ในสมัยธนบุรีและตลอด 4 รัชกาลแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยได้ส่งทูตไปจีนรวม 56 ครั้ง จนถึง พ.ศ. 2396 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 รัชกาลแรก ไทยส่งคณะทูตไปจีนแทบทุกปี การติดต่อระหว่างประเทศไทยกับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าสำเภา ได้สร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างมาก ผลกำไรจากการค้าสำเภากับจีน ทำให้ไทยมีเงินทุนเพียงพอในการสร้างบ้านเมืองเพื่อทำสงครามต่อต้านการรุกราน ของพม่าและเพื่อการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ดี ผู้นำของไทยมิได้ยอมรับตามคตินิยมของจีน ไทยมิได้หวาดกลัวว่าจีนจะคุกกคาม เนื่องจากจีนอยู่ห่างไกล และไม่เคยคุกคามความมั่นคงของไทยเลย ไทยส่งคณะทูตพร้อมด้วยพระราชสาส์นและของกำนัลหรือเครื่องบรรณาการ ก็เพื่อความสะดวกในการค้าขาย พระราชสาส์นของกษัตริย์ก็เป็นการแสดงสันถวไมตรี มิได้แสดงว่าอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น ส่วนเครื่องบรรณาการที่ส่งไปด้วย ก็เพื่อแสดงไมตรีจิต และเพื่อเป็นไปตามความต้องการของจีนตามประเพณีจีน ต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนใน “ระบบบรรณาการเพื่อการค้า” นี้ได้ลดความสำคัญและประโยชน์ลง ในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ไทยได้ทำการค้ากับตะวันตกมากขึ้นหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาริ่งกับอังกฤษ พ.ศ. 2398 ในขณะที่ผลกำไรจากการค้าสำเภาจีนได้ลดลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะความไม่ปลอดภัยในการเดินทาง เนื่องจากจักรพรรดิราชวงศ์ชิงในระยะหลังอ่อนแอ อีกทั้งเผชิญกับปัญหาการต่อต้านจากภายในและการท้าทายคุกคามจากภายนอก ไทยได้ส่งคณะทูตไปจีนเป็นครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2396 และหลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยุติการส่งคณะทูตและ การค้าบรรณาการกับจีน เพราะพระองศ์ท่านไม่ประสงค์จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประเทศที่ติดต่อ กับไทย อีกทั้งประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไทยได้รับไม่คุ้มกับการลงทุนเนื่องจากความไม่ ปลอดภัยในการเดินทาง อาจกล่าวได้ว่า พ.ศ. 2396 เป็นปีสุดท้ายของการส่งบรรณาการเพื่อการค้า นับเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนในสมัยโบราณภายใต้ระบบ บรรณาการเพื่อการค้า การเก็บภาษีต่างๆ การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงธนบุรี
(พ.ศ. 2311 – พ.ศ. 2324)หลังจากที่บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รายได้ของรัฐ ที่เก็บจากราษฎรยังคงใช้อย่างอยุธยาตอนปลายดังนี้ จกอบ หมายถึง ภาษีผ่านด่านเรียกเก็บจากผู้นำสินค้าเข้ามาขาย อากร หมายถึง ภาษีที่เก็บจากราษฎรที่ประกอบอาชีพทุกชนิดยกเว้นการค้าขาย ฤชา หมายถึง ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากราษฎรที่ใช้บริการของรัฐเช่นการออกโฉนดที่ดินค่าปรับผู้แพ้คดี ส่วย หมายถึง เงิน หรือ สิ่งของที่เก็บแทนการเกณฑ์แรงงานของราษฎรที่ต้องเข้าเวร การจัดเก็บส่วยสาอากรทั้ง 4 ประเภท ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกกำหนดเป็นรูปแบบการจัดเก็บต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และตอนต้นรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องการใช้เงินในราชการมากกว่าแต่ก่อนพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเป็นผลให้เกิดการจัดเก็บภาษีขึ้นใหม่ 38 ประเภท ทั้งนี้โดยเป็นภาษีที่เก็บจากการพนัน และจากผลผลิตประเภทต่างๆ จำแนกได้ดังนี้ – ภาษีไม้สีสุก – ภาษีน้ำตาลอ้อย – ภาษีเกวียน โคต่าง – ภาษีไต้ชัน – ภาษีฟืน – ภาษีไม้รวก – ภาษีปอ – ภาษีเตาตาล – ภาษีปูน – ภาษีฝาง – ภาษีไม้ค้างพลู – ภาษีสำรวจ – ภาษีไม้แดง (เก็บจากผู้ซื้อลงสำเภา) – ภาษีไม้ต่อเรือ – เรือจ้างทางโยง – ภาษีไม้แดง (เก็บจากผู้ขาย) – ภาษีไม้ซุง – ภาษีไม้ไผ่ป่า – ภาษีเกลือ – ภาษีฝ้าย – ภาษีน้ำตาลทราย – ภาษีน้ำมันมะพร้าว – ภาษีเนื้อแห้ง – ภาษีกระแซง – ภาษีน้ำมันต่างๆ – ภาษีคราม – ภาษีน้ำตาลหม้อ – ภาษีกะทะ – ปลาแห้ง – ภาษีจาก – ภาษีต้นยาง – ภาษีเยื่อเคย – ภาษียาสูบ – ภาษีพริกไทย (เก็บจากผู้ซื้อลงสำเภา) – ภาษีพริกไทย (เก็บจากชาวไร่ที่ปลูกพริกไทย) – ภาษีจันอับ ไพ่ เทียนไขเนื้อ และขนมต่างๆ – บ่อนเบี้ย หวย ก.ข. ภาษีเบ็ดเสร็จ (เก็บของลงสำเภา) – ภาษีของต้องห้ามหกอย่าง (ได้แก่ อากรรังนก, ไม้กฤษณา, นอแรด, งาช้าง, ไม้จันทร์, ไม้หอม) นอกจากการกำหนดให้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษี โดยการเพิ่มประเภทภาษีอากรที่จัดเก็บ 38 ประเภทข้างต้น พระองค์ยังได้กำหนดให้มีการปรับปรุงรูปแบบการจัดเก็บโดยการนำระบบเจ้าภาษีนายอากรมาใช้กล่าวคือ ให้มีการจัดเก็บภาษีเป็นการผูกขาดโดยเอกชน ทั้งนี้เอกชนผู้ใดประสงค์จะรับเหมาผูกขาดการจัดเก็บภาษีประเภทใด ก็จะเข้ามาร่วมประมูล ผู้ให้ราคาสูงสุดจะเป็นผู้ผูกขาดจัดเก็บ ซึ่งจะเรียกว่า เจ้าภาษีนายอากร รัฐบาลจะมอบอำนาจสิทธิขาดในการจัดเก็บภาษีอากรชนิดนั้นให้ไปดำเนินการ เมื่อถึงเวลากำหนด ผู้ประมูลจะต้องนำเงินภาษีอากรที่จัดเก็บมาส่งให้ครบจำนวนตามที่ประมูลไว้ ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่สุดช่วงต้นรัชกาล เศรษฐกิจ ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นครองราชสมบัตินั้นบ้านเมืองกำลังประสบ ปัญหาความอดอยากของราษฎร เนื่องจากมีศึกสงครามมาตั้งแต่ พ.ศ. 2309 พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ จนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ราษฎรถูกต้อนไปเป็นเชลยจำนวนมาก บางพวกก็หลบหนีภัยสงครามเข้าป่าก็มาก บางพวกก็หนีเข้าไปพึ่งชุมนุมต่าง ๆ
หลังจากที่พระเจ้าตากสินกอบกู้เอกราชได้แล้ว ราษฎรเริ่มอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรี โดยการที่พระเจ้าตากสินส่งผู้คนออกไปเกลี้ยกล่อมชักชวนให้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองจะได้เป็นกำลังในการสร้างชาติ ปัญหาที่ตามมาก็คือ การขาดแคลนอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค พระเจ้าตากสินต้องสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อข้าวสาร อาหาร เสื้อผ้า แจกราษฎร นอกจากนี้พระเจ้าตากสินยังโปรดให้เกณฑ์ข้าราชการไปช่วยทำนา นอกฤดูกาลอีกเพื่อให้ได้ข้าวเพิ่มขึ้น มีการส่งเสริมให้มีการทำนาปีละ๒ ครั้ง เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ
และสะสมไว้เป็นเสบียงในการยกทัพไปทำสงคราม การค้าระหว่างประเทศ ในระยะแรกพระเจ้าตากสินทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ ในการซื้อข้าวสารแจกราษฎร โดยให้ราคาสูง ทำให้ชาวต่างชาติที่ทราบข่าวก็นำสินค้าเข้ามาขายเป็นจำนวนมาก ทำให้สินค้าที่ชาวต่างชาตินำเข้ามาขายมีราคาถูกลง ตามหลักเศรษฐศาสตร์เรื่อง อุปสงค์และอุปทาน กล่าวคือประการที่หนึ่ง เมื่อพ่อค้าชาวต่างชาติทราบว่าสินค้าที่นำเข้ามาขาย ที่กรุงธนบุรี จำหน่ายได้ดีและได้ราคาสูง ชาวต่างชาติก็นำสินค้าลงเรือมาขายยังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก สามารถบรรเทาความอดอยาก และการขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ประการที่สอง เมื่อราษฎรที่หลบหนีอยู่ตามป่าทราบข่าว ว่าพระเจ้าตากสิน ซื้อข้าวปลาอาหารแจกราษฎร ต่างก็พากันออกจากป่าเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงธนบุรีเพิ่มขึ้น จะได้เป็นกำลังของชาติในการรวบรวมอาณาจักรต่อไปประการที่สาม เมื่อพ่อค้าแข่งขันกันนำสินค้าเข้ามาขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เกินความต้องการของราษฎร ราคาสินค้าก็ถูกลงตามลำดับความเดือนร้อนของราษฎรก็หมดไป หลังจากบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ พระเจ้าตากสิน โปรดให้แต่งสำเภา ออกไปค้าขายยังประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ และยังติดต่อขอซื้อทองแดงจากญี่ปุ่น พัฒนาการด้านเศรษฐกิจตอนต้น เศรษฐกิจไทยสมัยกรุงธนบุรีตอนต้นประชาชนส่วนใหญ่ในสมัยกรุงธนบุรีตอนต้น มีอาชีพหลัก คือ การทำกสิกรรม เป็นเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ชวา มลายู และประเทศตะวันตก การค้ากับต่างประเทศส่วนใหญ่ค้าขายทางาทะเลโดยเรือสำเภา
มีพระคลังสินค้าทำหน้าที่ผูกขาดการซื้อขายสินค้า รายได้ของแผ่นดินนั้นจะได้จากการเก็บภาษี 4 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา ส่งเสริมการค้ากับต่างชาติ – ความสัมพันธ์การค้ากับจีน – ความสัมพันธ์การค้ากับโปรตุเกส – ความสัมพันธ์การค้ากับอังกฤษ – ความสัมพันธ์การค้ากับฮอลันดา บรรณานุกรม ภาสกร วงศ์ตาวัน. (2555). วีรกรรมพระเจ้าตากสิน มหาบุรุษกู้แผ่นดินสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มานา. การค้าระหว่างประเทศ. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://www.thaizhong.org/index.php?option=com_content&view=article&id=54:special- การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงธนบุรี. (2556). สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2556, จาก http://www.nukbunchee.com/tax/taxstoreg.pdf การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงธนบุรี. (2556). สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2556, จาก http://www.rd.go.th/publish/3458.0.html ชาวต่างชาติเข้ามาขายสินค้า. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://www.thaizhong.org/index.php?option=com_content&view=article&id=54:special- พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://www.slideshare.net/sm037/ss-14338039 พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit4/chapter4/chaptor4_0/Thonburi_History3.htm เศรษฐกิจในสมัยกรุงธนบุรี. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://www.slideshare.net/sm037/ss-14338165 เศรษฐกิจสมัยกรุงธนบุรี. (2556). สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2556, จาก http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit4/chapter4/chaptor4_0/Thonburi_History3.htm สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. (2556). สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2556, จาก http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit4/chapter4/chaptor4_0/Thonburi_History3.htm สมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit4/chapter4/chaptor4_0/Thonburi_History7.htm อาณาจักรธนบุรี. (2556). สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2556, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรธนบุรี ที่ตั้งของกรุงธนบุรีเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจอย่างไรที่ตั้งของกรุงธนบุรีเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจอย่างไร
มีดินดี เหมาะแก่การปลูกข้าว ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศได้สะดวก ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า
สังคมในสมัยธนบุรีมีลักษณะอย่างไรสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรีถูกควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ด้วยเป็นเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในระหว่างอันตรายเพิ่งกอบกู้เอกราชคืนมาได้ ทั้งประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้คนหลบหนีเข้าป่าอย่างมากมาย ถูกกวาดต้อนไปพม่าก็มีมาก นอกนั้นต่างก็พยายามเอาตัวรอดโดยการตั้งเป็นก๊ก เป็นเหล่า ครั้นกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ก็ยังต้องระมัดระวังภัยจาก ...
สภาพเศรษฐกิจของกรุงธนบุรี ประสบปัญหา ตามข้อใดสาเหตุที่ทำให้กรุงธนบุรีมีภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจขั้นรุนแรง มี 3 ประการ คือ 1) สูญเสียเครื่องอุปโภคบริโภคจากการทำสงครามกับพม่าเป็นระยะเวลานานในสมัยกรุงศรีอยุธยา 2) มีการทำสงครามในสมัยกรุงธนบุรีทั้งสงครามปราบปรามชุมนุมคนไทย และสงครามกับพม่า 3) มีค่าใช้จ่ายในการสร้างราชธานีใหม่เป็นจำนวนมาก
พระเจ้าตากสินมหาราชทรงฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยวิธีใดการค้าสำเภาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นปัจจัยสำคัญที่ค้ำจุนเศรษฐกิจและสร้างความแข็งแกร่งแก่อาณาจักรมาโดยตลอด แม้กระทั่งเข้าสู่สมัยกรุงธนบุรียังคงใช้การค้าสำเภานี้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนการสร้างกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่หลังกรุงศรีอยุธยาแตก ซึ่งพระเจ้าตากทรงทำการค้าสำเภาจนได้กำไรถึงร้อยละร้อยเลยทีเดียว!
|