จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี Show สมถะ เป็นภาษาบาลี แปลว่า สงบ ในคัมภีร์มีใช้ใน 3 แบบ ดังนี้ :
สมถกรรมฐาน[แก้]สมถกรรมฐาน หมายถึง กรรมฐานอันเป็นอุบายสงบใจ ซึ่งคู่กับวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นอุบายเรืองปัญญา สมถกรรมฐาน คือ วิธีการในอันที่จะเพิ่มพูนสมาธิ คู่กับ วิปัสสนากรรมฐาน คือวิธีการในอันที่จะเพิ่มพูลสติ สมถกรรมฐาน อารมณ์กรรมฐานที่ทำให้บรรลุอุปจารสมาธิขึ้นไป มีอยู่ 40 อย่าง[2] คือ
พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นอารมณ์ให้สำเร็จอุปจารสมาธิ (หมายถึงทำได้สูงสุดที่อุปจารสมาธิ) อสุภ 10 และกายคตาสติ เป็นอารมณ์ให้สำเร็จปฐมฌาน เมตตา กรุณา มุทิตา เป็นอารมณ์ให้สำเร็จตติยฌาน อุเบกขา ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ เตโชกสิณ โลหิตกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ และอานาปานสติ เป็นอารมณ์ให้สำเร็จจตุตถฌาน อากาสกสิณ เป็นอารมณ์ให้สำเร็จ อากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ เป็นอารมณ์ให้สำเร็จ วิญญาณัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ เป็นอารมณ์ให้สำเร็จ อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอารมณ์ให้สำเร็จ เนวสัญญานาสัญญายตนะ กสิณ 10 และอัปปมัญญา 4 ควรขยายอารมณ์กรรมฐาน อรูปกรรมฐาน ก้าวล่วง รูป, เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก้าวล่วง เวทนาและสัญญา กสิณ 10 เป็นปัจจัยแห่งอภิญญา5 และกรรมฐานที่เหลือไม่เป็นปัจจัยแห่งอภิญญา5 เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่เป็นเหตุแห่งวิปัสสนา กสิณ 10 อสุภ 10 กายคตาสติ และอานาปานสติ มีนิมิตเป็นอารมณ์กรรมฐาน วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา มีสภาวธรรมเป็นอารมณ์กรรมฐาน อัปปมัญญา 4 อากาสานัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ เป็นอารมณ์ที่พูดไม่ถูก ไม่มีทั้งนิมิตและสภาวธรรมเป็นอารมณ์กรรมฐาน อสุภ 10 ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ เตโชกสิณ โลหิตกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ กำหนดนิมิตโดยการเห็น อานาปานสติ กำหนดนิมิตโดยการถูกกระทบ วาโยกสิณ กำหนดนิมิตโดยการเห็นและการถูกกระทบ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ จตุธาตุววัฏฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เมตตา กรุณา มุทิตา กำหนดนิมิตโดยการฟังหรือคิดพิจารณา กายคตาสติ กำหนดนิมิตโดยการเห็นและการฟังหรือคิดพิจารณา อุเบกขาเป็นบาทฐานต่อจากตติยฌานของผู้เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา, อากาสกสิณเป็นบาทฐานต่อจากปฐมฌานของผู้เจริญกสิณทั้ง9(เว้นอากาสกสิณ) อรูปกรรมฐานเป็นบาทฐานต่อจากจตุตถฌานของผู้เจริญอากาสกสิณ, อรูปกรรมฐานบทต่ำกว่าย่อมเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่อรูปกรรมฐานบทที่สูงกว่าโดยลำดับ คือ อากาสกสิณย่อมเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่อากาสานัญจายตนะ อากาสานัญจายตนะย่อมเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่วิญญาณัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะย่อมเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่อากิญจัญญายตนะ อากิญจัญญายตนะย่อมเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ, อุเบกขา อากาสกสิณ อรูปกรรมฐาน ผู้ใหม่ไม่พึงปฏิบัติก่อนเพราะเป็นอารมณ์ที่ลึกซึ้ง, อสุภ 10 กายคตาสติ อานาปานสติ จตุธาตุววัฏฐาน เป็นทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพราะมีรูปนามเป็นอารมณ์ , กสิณ 10 อัปปมัญญา 4 อรูปฌาน 4 พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จัดเป็นสมถกรรมฐานอย่างเดียว เพราะไม่มีรูปนามเป็นอารมณ์ ขีดขั้นความสำเร็จของกรรมฐานแต่ละประเภท
อ้างอิง[แก้]
สม ถ กรรมฐาน และ วิปัสสนา กรรมฐาน ต่างกันอย่างไรสมถกรรมฐาน หมายถึง กรรมฐานอันเป็นอุบายสงบใจ ซึ่งคู่กับวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นอุบายเรืองปัญญา สมถกรรมฐาน คือ วิธีการในอันที่จะเพิ่มพูนสมาธิ คู่กับ วิปัสสนากรรมฐาน คือวิธีการในอันที่จะเพิ่มพูลสติ
สมถะและวิปัสสนาทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไรสมถะ : มีหน้าที่ในการกำจัดนิวรณ์ ๕ ทำให้จิตมีความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นต้น วิปัสสนา : มีหน้าที่ในการกำจัด อวิชชา ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง ๔. โดยอาการที่ละกิเลส สมถะ : ละกิเลสโดยอาการที่ข่มไว้ เป็น วิขัมภนปหาน
สม ถ กรรมฐาน และวิปัสสนา กรรมฐาน มุ่ง ผล แห่งการ ป ฎิ บั ติ อย่างไรสมถกรรมฐาน หมายถึง การปฏิบัติเพื่อมุ่งมั่นให้เกิดความสงบในจิตใจและทำให้เกิดสมาธิมุ่งให้จิตตั้งมั่น ระงับจากความฟุ้งซ่านทั้งปวง ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน หมายถึง การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา การรู้แจ้งเห็นจริงโดยภาวนาตามสภาวะความเป็นจริงในขณะนั้น ถือเป็นการปฏิบัติที่เอื้อเฟื้อต่อกัน มักนำมาปฏิบัติควบคู่กันอยู่เสมอเพื่อให้จิต ...
สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนามีความแตกต่างกันอย่างไรสมถภาวนา หมายถึง การฝึกสมาธิ หรือวิธีการอบรมจิตใจให้สงบระงับ จากกิเลส เครื่องเศร้าหมองเร่าร้อน กระทั่งจิตไม่มีอาการซัดส่าย ฟุ้งซ่าน ตลอดเวลา ที่กิเลสเหล่านั้นสงบระงับ วิปัสสนา หมายถึง ปัญญาเห็นแจ้งจึงรู้แจ้ง คือ ภาวนามยปัญญา หยั่งเห็น ความไม่เที่ยง ล่วงพ้นอารมณ์แห่งบุรุษและสตรี พร้อมทั้งความเที่ยงและความสุข
|