อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ตอนที่ 27: สงครามสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา01 First revision: May 18, 2018 ในตอนนี้ ใช้แนวจินตนาการเป็นคำตรัส คำปรารภ ทรงปฏิบัติ มีบรมราชโองการ ฯ แก้ไขสถานการณ์ที่กำลังวิกฤตของกรุงศรีฯ ของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ โดยใช้ข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ มาเสริม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
สามารถจินตภาพพินิจความเป็นไปในสถานการณ์ที่กำลังคับขันอยู่นั้นได้ไม่มากก็น้อย ยุทธภูมิสุริยาศน์อมรินทร์: สงครามสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา "แม้เลือดหยดสุดท้ายกู ไหลสิ้น....อย่าได้หมิ่น หมายศรีอยุธยาชาติ...เป็นทาสมึง" ภาพเขียนพระเจ้าเอกทัศน์, กษัตริย์อยุธยา (เดิมเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นภาพสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) เรื่องเล่าการพระราชสงครามครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา "ยุทธภูมิสุริยาศน์อมรินทร์" ในปี พ.ศ.2310 ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ (บ้างก็เรียก เอกทัศ) (กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) พระโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเชษฐาร่วมมารดาของเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร (กรมขุนพรพินิจ หรือ ขุนหลวงหาวัด) กับการศึกครั้งสุดท้ายของอโยธยา แห่งเมืองพระรามอันยิ่งใหญ่. ***"...เมื่อการต่อรบ ย่างเข้าสู่เดือน 4 หลังจากฤดูน้ำหลากผ่านไป มันเป็นเวลานานกว่า 13 เดือนล่วงมาแล้ว ที่ทหารแห่งกรุงอโยธยา มิอาจตั้งแนวรับปะทะทัพพม่าได้ ค่ายระจันและค่ายหัวรอ ค่ายสุดท้ายของแนวตั้งรับด้านนอกพระนคร ใกล้ป้อมมหาไชยและสะพานหัวรอ
ถูกทัพหน้าอังวะและทัพสวามิภักดิ์จากลุ่มน้ำปิงเข้าตีกระหนาบจนมิอาจต้านทานได้อีกต่อไป. ที่มา: Facebook: EJeab Academies, วันที่สืบค้น 19 พฤษภาคม 2561. แผนผัง 27 ค่ายของพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้, ที่มา: Facebook ห้อง "ผู้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ History learning group", วันที่เข้าถึง 20 พฤษภาคม 2563. ภาพประกอบ : แผนผังการตั้ง “ค่ายเมือง” ของพม่าทั้ง ๒๗ แห่งตามที่บรรยายใน Yodayar Naing Mawgun (จากบทความ “ ‘Yodayar Naing Mawgun’, by Letwe Nawrahta : A Contemporary Myanmar Record, Long Lost, of How Ayutthaya Was Conquered,” p. 10.) ตัวอักษรภาษาอังกฤษคือตำแหน่งของ “ค่ายเมือง” พม่าทั้ง ๒๗ แห่งที่ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนตัวเลขอารบิคคือสถานที่ตั้งค่ายในพงศาวดารไทย ความในมหาราชวงษ์พงศาวดารพม่า09. ในพระราชพงศาวดารพม่าและวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติของพม่าชื่อ Yodayar Naing Mawgun (บันทึกแห่งชัยชนะเหนืออยุทธยา) ที่ประพันธ์โดย ลักไวนรธา (လက်ဝဲနော်ရထာ Letwe Nawrahta) กวีแห่งราชสำนักพม่าซึ่งบรรยายเหตุการณ์สงครามครั้งนั้นอย่างละเอียด ได้ระบุถึงตำแหน่งที่ตั้ง ขนาด และรายชื่อแม่ทัพนายกองผู้รับผิดชอบสร้าง “ค่ายเมือง” ทั้ง ๒๗ แห่งไว้อย่างชัดเจนดังต่อไปนี้ ๑. ค่ายเนมฺโยสีหปเต๊ะ (နေမျိုး သီဟပတေ့ Nemyo Thihapate) หรือ เนเมียวสีหบดี แม่ทัพใหญ่สายเชียงใหม่ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง ห่างจากกำแพงกรุง ๔๐๐ เส้น (พงศาวดารไทยระบุว่าอยู่ที่ปากน้ำประสบแล้วย้ายมาโพธิ์สามต้น) ความกว้างทั้งหมด ๓๕๐ เส้น (พงศาวดารพม่าว่า ๓๒๐ เส้น) กำแพงสูง ๗ ศอก (A1). ค่ายทิศเหนือเกาะเมือง ไล่จากตะวันตกไปตะวันออก (น่าจะชิดคูเมืองมากกว่าในภาพ) ค่ายทิศตะวันออก ไล่จากเหนือลงใต้
ค่ายทิศตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งตะวันออกลงมาจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ค่ายทิศใต้ นับตั้งแต่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตะวันตก ค่ายทิศตะวันตก จากใต้ขึ้นเหนือ ๒๖. ค่ายจตุกามณิ (စတုကါမဏိ Satu Kamani) ตั้งล้อมรอบพระมหาเจดีย์ที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงสร้าง (คือเจดีย์วัดภูเขาทอง) ห่างจากพระนครไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ๕๐๐ เส้น ความกว้างทั้งหมด ๓๐๐ เส้น กำแพงสูง ๗ ศอก (A3) จากรายงานการสำรวจแหล่งโบราณสถานในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาของ น. ณ ปากน้ำ ในบริเวณที่ตั้งค่ายของมหานรธาที่สีกุกนั้น พบว่ามีขนาดไม่ต่างจากเมืองขนาดย่อมเมืองหนึ่ง น. ณ ปากน้ำ ได้อธิบายลักษณะของค่ายว่า การเลือกสถานที่ตั้ง “ค่ายเมือง” ของพม่า เข้าใจว่าใช้วัดและสถานที่สำคัญรอบพระนครเป็นหลัก ดังที่ปรากฏในพงศาวดารไทยว่า เนเมียวสีหบดีสั่งให้เผาปราสาทที่เพนียดและให้ตั้งค่ายขึ้น (คือค่ายของ กฺยอของกฺยอสู - ค่ายที่ 5 (E)) นอกจากนี้ยังตั้งค่ายสร้างและหอรบที่วัดภูเขาทอง (คือค่ายของจตุกามณี ค่ายที่ 26 (A3)) วัดการ้อง วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดแม่นางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับแนวการตั้งค่ายในหลักฐานของพม่า ทั้งนี้วิเคราะห์ว่าเพราะวัดมีอาคารหลายหลังและมักมีการสร้างกำแพงล้อมรอบ จึงเหมาะสำหรับการใช้เป็นฐานที่มั่น นอกจากนี้ยังสามารถรื้ออิฐจากวัดมาใช้ก่อสร้างกำแพงค่ายได้ง่ายด้วย แล้วก็ค่อย ๆ ขยายแนวรบเข้ามาประชิดกำแพงพระนครมากขึ้น. ยุทธศาสตร์ “ค่ายเมือง” นี้ทำให้กองทัพพม่ามีฐานที่มั่นที่มั่นคงและสามารถยึดครองพื้นที่รอบพระนครได้โดยรอบ และสามารถใช้ปืนใหญ่โจมตีเข้าพระนครได้โดยสะดวก ทำให้ยุทธศาสตร์การปิดล้อมของกองทัพพม่ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น จนสามารถขยายแนวปิดล้อมเข้ามาประชิดกำแพงพระนครได้ จนเมื่อเวลาผ่านไปอยุทธยาก็ถูกบีบให้ต้องส่งทูตไปเจรจาสงบศึกยอมเป็นประเทศราชของอังวะ แต่ได้รับการปฏิเสธ. หลังจากมหานรธาถึงแก่กรรมแล้ว กองทัพพม่าก็สามารถตีค่ายของอยุทธยารอบพระนครได้ทั้งหมด เนมโยสีหปเต๊ะซึ่งได้กุมอำนาจกองทัพพม่าทั้งหมดเห็นว่าอยุทธยาอ่อนแอเต็มทีก็สานต่อยุทธศาสตร์ของมหานรธา สร้าง “ค่ายเมือง” เพื่อใช้ขุดอุโมงค์จำนวน ๕ สายเข้าไปในกำแพงพระนคร โดยให้แม่ทัพสายเชียงใหม่ในบังคับบัญชา ๓ คนคือ ฉัปปฺยากุงโบ่
(ဆပ္ပျာကုံးဗိုလ်) สิดชิ้นโบ่ (သစ်ဆိန့်ဗိုလ်) และ สะโตมังถาง (သတိုးမင်းထင်)* คุมทหารคนละ ๒,๐๐๐ คน รวมเป็น ๖,๐๐๐ คน ไปสร้าง “ค่ายเมือง” ติดคูพระนครทิศเหนือบริเวณหัวรอริมป้อมมหาชัยเป็นฐานที่มั่น ทั้งหมด ๓ ค่ายเรียงต่อกันไป โดยมีความกว้าง ๒๐๐ เส้น กำแพงสูง ๑๐ ศอก โดยพงศาวดารไทยระบุว่าพม่าทำสะพานเรือกข้ามคูพระนครมาตั้งค่ายที่ศาลาดินติดกำแพง) จุดประสงค์หลักของ “ค่ายเมือง” ทั้ง ๓ แห่งนี้คือประสานงานกับการขุดอุโมงค์ของกองทัพพม่าจำนวน ๕ สายเพื่อจุดไฟเผารากกำแพงกรุงด้วยการช่วยคุ้มกันการโจมตีจากฝั่งอยุทธยาระหว่างการขุด นอกจากนี้ยังใช้เป็นฐานที่มั่นในการโจมตีพระนครในระยะประชิดไปในตัว รวมถึงยิงสนับสนุนทหารพม่าที่บุกเข้าโจมตีด้วยการปีนขึ้นกำแพงและการลอดอุโมงค์เข้าพระนคร ด้วยยุทธศาสตร์นี้กองทัพพม่าจึงสามารถเผารากกำแพงตรงหัวรอป้อมมหาชัยจนกำแพงพระนครทรุดจนทำให้กองทัพพม่าสามารถเข้ากรุงได้ นอกจากนี้ยังมีการประสานงานให้ทุกค่ายระดมยิงปืนใหญ่เพื่อเป็นการโจมตีและเป็นการให้อำพรางกองทัพพม่าไปพร้อ มๆ กัน จนสุดท้ายกรุงศรีอยุทธยาก็เสียแก่พม่าในที่สุด ----------------------------------------------------- ค่ายใหญ่ของพม่าตั้งทัพอยู่ที่ ดอนวัดสีกุก ดอนโพธิ์สามต้น ดอนประสบ โดยมี "เนเมียวเสหบดี"02 ชาวล้านนาเชียงแสนเป็นแม่ทัพใหญ่ ส่วนค่ายย่อยหน่วยไพร่ราบ ไพร่ม้า ไพร่ช้างและไพร่ปืนใหญ่ ต่างก็รุกคืบเข้ายืดพื้นที่ดอนวัดหน้าพระเมรุ ตรงข้ามพระราชวังหลวง
ตั้งฐานปืนใหญ่ที่วัดท่า วัดการ้อง เผาตำหนักและสร้างค่ายที่เพนียดคล้องช้าง พลจากเมืองสวามิภักดิ์บุกเข้าตีค่ายทหารอยุธยาที่วัดสามพิหาร เกาะวัดมณฑป วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ ทางทิศเหนือและตะวันออกใกล้กับประตูข้าวเปลือก. วันสุดท้ายของอโยธยา .....ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว อาคารสำคัญในเขตพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยาฯ, ที่มา:twitter.com/Pompeii_2475, วันที่สืบค้น 20 พฤษภาคม 2561. 1. พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ 2. พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท 3. พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ 4. พระที่นั่งวิหารสมเด็จ 5. พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ 6. เขตพระราชฐานชั้นใน 7. วัดพระศรีสรรเพชญ์ 8. วิหารพระศรีสรรเพชญ์ดาญาณ 9. ศาลาลูกขุน ***เมื่อการพระราชสงครามของกรุงศรีอยุธยาเสียเปรียบฝ่ายอังวะรัตนปุระจนเห็นได้ชัด พระเจ้าเอกทัศจึงเสด็จกลับมาที่ค่ายวังหลวง
พระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์มหาปราสาท ท่ามกลางเปลวเพลิงและเสียงปืนใหญ่ที่กระหน่ำยิงอย่างผิดสังเกต นางสนมกำนัลต่างย้ายเข้าไปพำนักทางตำหนักสระแก้วและสวนกระต่าย พระองค์โปรดให้มีการประชุมปรึกษาเหล่าขุนนางและเสนาทหารองครักษ์ให้เตรียมพร้อมในการตีฝ่าวงล้อมทางทิศใต้ หากหน่วยของพระยามนตรี สามารถตีฝ่าออกไปได้จริง ขุนนางผู้ใหญ่ทูลขอให้ชะลอการเสด็จหนีจนกว่าจะทราบข่าวทัพหัวเมืองตะวันออกและใต้เสียก่อน. อย่างไรก็ดี ขุนนางผู้ใหญ่บางคนก็เสนอให้พระองค์ยอมสวามิภักดิ์กับอังวะในช่วงเวลาที่คับขันนี้ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ จึงมีรับสั่งว่า "หากพม่ามีปีกข้ามคูคลองหอรบที่เป็นดังปราการเหล็กแห่งทวารวดีเข้ามาได้เท่านั้น เราจึงยอม แต่หากในเพลานี้ เราหายอมอ่อนข้อให้ไม่ "ขุนนางในกรมพระสัสดีถวายรายงานแก่พระองค์ว่าไพร่ทหารคงเหลือราว 40,000
คน ภายในกำแพงพระนคร แต่เสบียงอาหารนี้นั้น อาจจะยันอยู่ได้อีกไม่เกินสองเดือน. สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ตกพระทัยเป็นยิ่งนัก
เมื่อทหารม้าเร็วควบฝ่าวงล้อมและเหล่าขุนนางทหารมาที่พระที่นั่งในตอนเช้ามืด แจ้งข่าวร้ายว่าทัพพม่าฝ่าแนวป้องกันของค่ายวังหน้าที่ป้อมมหาไชย วัดฝางและจำปาพลได้แล้ว กำลังเข้าประชิดค่ายคลองข้าวเปลือกและกระจายกำลังไปทั่วพระนครทางใต้. . การรบที่วุ่นวายโกลาหล ไม่รับรู้ว่าใครเป็นใครที่บริเวณประตูใหญ่ท่าวังหลัง พลันเมื่อสิ้นเสียงปืนเสียงหนึ่ง ร่างของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ก็ล้มลงสวรรคตในทันที05 โดยทหารหมู่ใหญ่ของพม่าอังวะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ปะทะกับทัพองครักษ์ของกษัตริย์แห่งอโยธยาอยู่ ทหารองครักษ์มีจำนวนน้อยกว่าต่างล้มตายและต้องยอมจำนนในที่สุด. . . ที่มาและคำอธิบาย: ภาพวัดพระศรีสรรเพชญ์ปัจจุบัน ถ่ายเมื่อ 26 พ.ย.2560.
ภาพจากซ้ายไปขวา: แบบจำลองวัดพระศรีสรรเพชญ์ และเศียรของพระพุทธรูป สันนิษฐานว่า 09. เอกสารอ้างอิง |