บริดจสโตน เอ็นซีอาร์ ตัดทิ้งธุรกิจยางรองกันกระแทก-เบาะโฟม ขายกิจการนักลงทุนจีน-ญี่ปุ่น สานต่อมุ่งทำธุรกิจที่สร้างโอกาสเท่านั้น พร้อมโอนขายกิจการ-พนักงาน 100% มิ.ย.นี้ จากกรณีที่มีกระแสว่าบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ แบรนด์บริดจสโตน ได้ประกาศขายกิจการ โรงงานในประเทศไทย ซึ่งมีการเผยแพร่ในเพจสังคมโรงงานและตามโซเชียลทั่วไป
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สอบถามกรณีดังกล่าวไปยังกลุ่มบริษัท บริดจสโตนในประเทศไทย ได้รับการยืนยันว่า ขณะนี้กลุ่มบริดจสโตนได้ขายกิจการบางส่วนในประเทศไทยออกไปจริง แต่ทั้งนี้เป็นการตัดสินใจของบริษัท ตามประกาศกลยุทธ์ธุรกิจระยะกลาง-ยาว เพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจหรือบริดจสโตน 3.0 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นในส่วนของบริษัท บริดจสโตน เอ็นซีอาร์ จำกัด ผลิตสายแอร์และยางรองกันกระแทกภายในรถยนต์ สายไฮดรอลิก เบาะโฟม สำหรับจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบริษัทได้ตัดสินใจขายกิจการในส่วนของธุรกิจ ยางรองกันกระแทกภายในรถยนต์ รวมทั้งเบาะออกไป ส่วนธุรกิจท่อ สายแอร์และสายไฮดรอลิกนั้น บริษัทจะยังคงดำเนินกิจการต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจที่ขายออกไปนั้น ได้มีการโอนกิจการ รวมทั้งพนักงานทั้งหมดที่อยู่ในส่วนของการผลิตแต่ละส่วนไปด้วยโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีพนักงานอยู่ราว 1,300-1,400 ราย ทั้งนี้จะกระจายโอนย้ายไปตามสังกัด มีผล 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ตามลำดับ “ทุกอย่างเป็นไปตามนโยบายบริษัทแม่ ซึ่งเรามองว่า ธุรกิจอะไรที่โอกาสทางธุรกิจไม่เหมาะสมเราไม่ทำ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ อย่างธุรกิจสายพาน บริดจสโตนเราก็เลิกทำแล้ว เป็นนโยบายระดับโกลบอล ซึ่งเรามีโรงงานอยู่ทั้งในญี่ปุ่นและไทย ส่วนธุรกิจในประเทศไทยที่มีการขายกิจการก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน เราจะเหลือแต่ธุรกิจที่มีโอกาสทางธุรกิจ ส่วนมูลค่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้” แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของโรงงานที่มีการซื้อขายกิจการนั้น ได้เริ่มมีการปรับปรุงและส่งมอบพื้นที่โอนย้ายให้กับบริษัทนักลงทุนรายใหม่ คือบริษัทสัญชาติจีน 1 ราย คือ PROSPIRA และบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น อีก 1 ราย คือ ARCHEM บริษัท อาร์เคม (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้มีการจดทะเบียนบริษัท ในหมวดธุรกิจ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น เพื่อประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์โพลิยูรีเทนสำหรับการจัดจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ เช่น เบาะรองนั่งและผลิตภัณฑ์โฟม เป็นต้น เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ขณะที่บริษัท บริดจสโตน เอ็นซีอาร์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2539 ด้วยทุนจดทะเบียน 274.1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 88/8 หมู่ 2 ถนนสาย 13 ตำบลมะขามคู่ กิ่งอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง สำหรับนโยบายบริดจสโตน 3.0 คือ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการ และโซลูชั่น เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน ผ่าธุรกิจ “บริดจสโตน” ยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยางรถยนต์ระดับโลก หลังประกาศย้ายฐานผลิตยางเครื่องบินจากฮ่องกงมาประเทศไทยในพื้นที่ EEC เจอข้อมูลพบบริษัทแม่ บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ตั้งบริษัทลูกในไทยกว่า 7 บริษัท สินทรัพย์เกือบ 2 หมื่นล้าน ไปดูกันว่ามีธุรกิจอะไรบ้างเป็นข่าวดีท่ามกลางมรสุมข่าวร้ายจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อพุ่งสูง หลังมีรายงานข่าวว่ายักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยางรถยนต์ระดับโลก อย่าง “บริดจสโตน” (Bridgestone) ประกาศจะปิดโรงงานหล่อดอกยางเครื่องบินที่ฮ่องกง แลเตรียมย้ายการผลิตมายังพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ของประเทศไทย
จากรายงานของ นิกเคอิ เอเชีย ระบุข้อมูลว่า การปิดโรงงานหล่อดอกยางเครื่องบินที่ฮ่องกง เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงการสร้างธุรกิจ โดยโรงงานแห่งนี้ จะเปิดดำเนินการจนถึงปลายเดือน มิ.ย. 2566 รวมถึงฝ่ายขายที่อยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งมีพนักงานประมาณ 102 คน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญ
สำหรับโรงงานที่ฮ่องกงที่กำลังจะปิดตัวลงนั้นได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2534 ทำหน้าที่ผลิตและเป็นศูนย์กลางส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าทั่วเอเชีย และโอเชียเนีย การปิดโรงงานแห่งนี้ จะส่งผลให้ บริดจสโตน มีโรงงานหล่อดอกยางสำหรับเครื่องบินเหลือ 5 แห่ง จาก 6 แห่ง ที่ตั้งอยู่ทั่วโลก โดยในแถลงการณ์ของบริษัท เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า บริดจสโตนคอร์ปอเรชัน บริษัทแม่ จะรวมกิจการผลิตยางล้อสำหรับเครื่องบินในเอเชีย ระหว่างบริษัท บริดจสโตน แอร์คราฟต์ ไทร์ โค เอเชีย หรือ BAA ในฮ่องกง และ บริษัท บริดจสโตน แอร์คราฟท์ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ BAMT มาเป็นบริษัทเดียวกัน และนำไปตั้งที่บริษัทในเครือในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทย
“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบข้อมูลของ บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผ่านระบบ Creden Data พบว่า บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทลูกในประเทศไทยรวมกันทั้งสิ้น 7 บริษัท ดังนี้
บริษัทลูกบริดจสโตน ในประเทศไทย
1.บริษัท บริดจสโตน คาร์บอน แบล็ค (ประเทศไทย) จำกัด
2.บริษัท บริดจสโตน สเปเชียลตี้ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
3.บริษัท บริดจสโตน เนเชอรัล รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
4.บริษัท บริดจสโตน แอร์คราฟท์ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
5.บริษัท พร๊อสไพร่า (ประเทศไทย) จำกัด
6.บริษัท อาร์เคม (ประเทศไทย) จำกัด
สรุปข้อมูลของบริดจสโตน คอร์ปอเรชัน
จากข้อมูลพบว่าบริดจสโตน คอร์ปอเรชัน เข้าถือหุ้นใหญ่ในบริษัทลูก ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย 7 บริษัท โดยในปี 2564 ตามงบการเงิน มีสินทรัพย์รวมกันอย่างน้อย 19,634 ล้านบาท และรายได้รวมอย่างน้อย 12,482 ล้านบาท
รู้จักธุรกิจของ “บริดจสโตน”
บริษัท บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทข้ามชาติด้านยานยนต์และชิ้นส่วนขนส่งของญี่ปุ่น และปัจจุบันยังเป็นบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยสามารถขึ้นมาอยู่ที่หนึ่งแทนมิชลินได้ในปี 2557 ยางรถยนต์รุ่นแรกของบริษัท ผลิตขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 2503
โดยการคิดค้นของฝ่ายโครงยางถุงเท้า "ทะบิ" ซึ่งเป็นถุงเท้าพื้นเมืองของญี่ปุ่น และในอีกหนึ่งปีต่อมานายโชะจิโร อิชิบะชิ ก็ได้นำฝ่ายการผลิตแยกออกมาจดทะเบียนเป็นบริษัทในปี 2474 ในเมืองคุรุเมะ จังหวัดฟุกุโอะกะ โดยใช้ชื่อบริษัทว่า "บริดจสโตน" ซึ่งมาจากการแปลนามสกุลอิชิบะชิเป็นภาษาอังกฤษ คือ อิชิ : สโตน และ บะชิ : บริดจ์
ปัจจุบัน บริดจสโตน มีโรงงานการผลิตหลักใน 160 แห่งทั่วโลก (ข้อมูล ณ ปี 2562) ทั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ โรงงานผลิตยางและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โรงงานแปรรูปวัตถุดิบ โรงงานแบบบูรณาการ และบริษัทวิจัยและพัฒนา โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยของเสียให้ได้ 40% ภายในปี 2566 |