หลายครั้งที่มีอาการจุก อึดอัด แน่นท้องขึ้นมาอยู่บ่อยๆ จนต้องเรอ หรือผายลมเพื่อระบายความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นภายในท้องจนเสียบุคลิกภาพ บางคนอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และคนส่วนใหญ่มักเลือกทานยาบรรเทาอาการเพียงเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้หากเป็นอยู่บ่อยครั้ง หรือเป็นๆ หายๆ อาจจะเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติจากร่างกาย ที่อาจตามมาด้วยโรคระบบทางเดินอาหารแล้วก็ได้ Show
อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย เป็นอย่างไร
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย สาเหตุที่พบได้บ่อยท้องอืด ท้องเฟ้อ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ แต่ช่วงอายุที่พบบ่อยมาก คือ 30-40 ปีขึ้นไป เนื่องจากกลุ่มคนในวัยดังกล่าวมีการทำงานของระบบการย่อยอาหารที่เสื่อมถอยลงตามวัย สาเหตุหลักๆ มาจากในกระเพาะอาหารของเรามีแก๊สอยู่เยอะเกินไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสาเหตุที่พบได้บ่อย ดังนี้
ท้องเสีย สาเหตุหลักมักเกิดจากการติดเชื้อหรือภาวะอาหารเป็นพิษ หลังจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต หรือเชื้อไวรัสเข้าไป ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ทั้งนี้ความเครียดวิตกกังวล การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการแพ้อาหารบางชนิดก็สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่นกัน ในรายที่มีอาการท้องเสียแบบเรื้อรัง อาจเกิดจากสาเหตุโรคในระบบทางเดินอาหารและโรคลำไส้ผิดปกติ วินิจฉัยอาการด้วยการส่องกล้องกระเพาะอาหารหากมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสีย เป็นระยะเวลานาน หรือมากกว่า 2-3 สัปดาห์ โดยที่ไม่บรรเทาลงเลยหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป ปวดท้อง เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ถ่ายดำ หรือถ่ายเป็นเลือด ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน โดยในเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติ สอบถามถึงอาการป่วย และตรวจร่างกายเบื้องต้น แต่หากอาการรุนแรงหรือสาเหตุของโรคไม่ชัดเจน แพทย์อาจจำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การส่องกล้องกระเพาะอาหาร (EGD) โดยการสอดกล้องเข้าไปทางปากแล้วตรวจอวัยวะต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหาร เป็นมาตรฐานเพื่อการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อีกทั้ง เป็นการตรวจที่สามารถทำได้ง่ายใช้เวลาไม่นาน และในโรคบางโรคแพทย์สามารถให้การรักษาได้ทันที อย่างไรก็ตาม การป้องกันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ สามารถทำได้ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการ ไม่รับประทานอาหารปริมาณมากเกินไป รวมทั้งรักษาความสะอาดและเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัยเพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังควรสำรวจความผิดปกติของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และควรรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสียที่ผิดปกติ แผลในกระเพาะอาหาร หรือโรคกระเพาะอาหาร โรคปวดท้องทรมานของหลายคน และมักเป็นๆหายๆ แต่จริงๆ แล้วหลายครั้งโรคนี้รักษาให้หายขาดได้ สำหรับผู้มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาความเสี่ยง หรือโรคที่อาจซ่อนอยู่เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี สาเหตุของแผลในกระเพาะอาหารสาเหตุคือ กรดและน้ำย่อย ที่หลั่งออกมาทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ ยาแอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ การสูบบุหรี่ ความเครียด อาหารเผ็ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ปัจจุบันพบว่า เชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร - Helicobacter pylori หรือเอช ไพโลไร - H. pylori เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ทำให้แผลหายช้า หรือทำให้แผลที่หายแล้วเกิดเป็นซ้ำได้อีก รวมทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอีก 3-5 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ติดเชื้อดังกล่าว ตำแหน่งที่พบแผลได้บ่อยคือ กระเพาะอาหาร - Gastric Ulcer : GU มักพบที่กระเพาะอาหารส่วนปลาย พบมากในคนอายุ 40-70 ปี และแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น - Duodenal Ulcer : DU พบได้บ่อยในทุกอายุตั้งแต่ 20-70 ปี อาการของแผลในกระเพาะอาหารมีอะไรบ้าง ?
ภาวะแทรกซ้อนของแผลในกระเพาะอาหารมีอะไรบ้าง ?ภาวะแทรกซ้อนพบได้ประมาณร้อยละ 25-30 ได้แก่
การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหารทำได้อย่างไร ?แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการใช้ยาแก้ปวด การตรวจร่างกาย และทำการทดสอบต่างๆ ได้แก่ ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างไร ?
ควรกินอาหารชนิดไหนในผู้ป่วยแผลในกระเพาะอาหาร ?
ควรรับประทานอาหารชนิดใดเมื่อมีอาการปวดแน่นท้อง ?
แผลในกระเพาะอาหารจะกลายเป็นมะเร็งได้หรือไม่ ?โรคแผลในกระเพาะอาหารจะไม่กลายเป็นมะเร็ง นอกจากจะเป็นแผลชนิดที่เกิดจากมะเร็งของกระเพาะอาหารเองตั้งแต่เริ่มแรกโดยตรง เนื่องจากอาการเริ่มแรกของโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารจะคล้ายกันมาก ไม่สามารถแยกจากกันได้โดยการซักประวัติหรือตรวจร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับการส่องกล้องกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยในการวินิจฉัย อาการที่บ่งชี้ว่าอาจมีโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก ซีดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ่ายอุจจาระดำหรืออาเจียนเป็นเลือด อาเจียนมาก และเป็นติดต่อกันเป็นวันในคนสูงอายุ หรืออายุมากกว่า 45 ปี ที่เริ่มมีอาการครั้งแรกของโรคกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่มีอาการมานานแล้วมีการเปลี่ยนแปลงของอาการ เช่น ปวดท้องรุนแรงขึ้น ในภาวะต่างๆ เหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ แผลในกระเพาะอาหารจะหายขาดหรือไม่ ?
แผลในกระเพาะอาหาร เมื่อรักษาแผลหายแล้วยังมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก หากมีอาการควรไปพบแพทย์ อาจต้องทำการส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาต่อไป และควรตรวจเช็คร่างกายประจำปี เพื่อหาความผิดปกติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อีก ท้องร้องโครกครากเป็นเพราะอะไรอาการท้องร้องเกิดจากการทำงานของร่างกายในขณะที่กระเพาะของเรามีสารอาหารไม่เพียงพอ “สมอง” จะเป็นส่วนที่กระตุ้นให้เรา “รู้สึกหิว” นึกอยากอาหารขึ้นมาและจากนั้นก็จะหลั่งนำ้ย่อยออกมา บริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะอาหารจะมีการหดตัวและเกิดการสั่นจนได้ยินเป็นเสียงร้องจ๊อก ๆ หรือเสียงโครกครากออกมานนั่นเอง
ท้องร้องโครกครากอันตรายไหมทั้งนี้ เสียงท้องร้องโครกคราก มักเป็นสภาวะที่ไม่อันตราย อาจมีส่วนน้อยที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า มีสภาวะอันตรายเกิดขึ้น แต่มักจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การปวดท้องรุนแรง จุกเสียด อาเจียน อาจจะส่งผลก่อใหเ้กิดโรคอื่น ๆ ตามมา ก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรักษาให้ทันท่วงที
ท้องร้องแต่ไม่ได้หิวคืออะไรอาการท้องร้องโครกคราก เกิดจากการที่ลำไส้เล็กมีการเคลื่อนไหวและบีบตัวในการย่อยและดูดซึมอาหาร เราอาจจะเห็นการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้ง่ายขึ้น ในขณะที่นอนราบ แต่หากอาการท้องร้องเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือร้องเสียงดัง อาจเกิดได้จาก 1. อาหารค้างในลำไส้เล็กมาก จากการทานอาหารปริมาณมากไป ลำไส้จึงใช้เวลานานในการย่อย
ทำไมกินข้าวเสร็จแล้วท้องร้องอาจเป็นเพียงแค่เสียงลำไส้บีบตัวครับ เนื่องจากเกิดการทำงานหลังจากทานอาหารเข้าไป ไม่ได้เกี่ยวกับโรคกระเพาะหากไม่ได้มีอาการอื่นๆร่วมด้วยครับ
|