การเลือกอาชีพให้เหมาะสมกับตนเอง 1.ประเมินตนเอง อันดับแรก คุณควรมีการประเมินตนเองก่อน ว่าคุณมีความสนใจในด้านใด มีทักษะที่โดดเด่นในด้านใด มีบุคลิก มีค่านิยมอย่างไร ซึ่งจะทำให้คุณเห็นว่างานแบบ ใดที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับคุณ โดยอาจทำแบบทดสอบทางอาชีพเพื่อดูแนวโน้มอาชีพที่เหมาะกับคุณประกอบการตัดสิน ใจ หรืออาจหาที่ปรึกษาสักคนที่สามารถให้คำแนะนำในการเลือกอาชีพที่เหมาะสมของ คุณได้ 2.ทำรายการอาชีพที่สนใจ เมื่อคุณได้แนวทางอาชีพแบบกว้าง ๆ แล้ว ให้ลงมือจำกัดคนสนใจให้แคบลง ทำรายการอาชีพที่สนใจสัก 5-10 รายการ จากนั้นให้วงกลมรายการที่คุณสนใจเป็นพิเศษไว้เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม 3.เริ่มการค้นหาข้อมูลอาชีพ ศึกษาข้อมูลรายละเอียดของงาน วุฒิการศึกษาที่ต้องการ ทักษะ และคุณสมบัติอื่นๆที่พึงมี นอกจากนี้ ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสก้าวหน้าในการงาน และผลตอบแทนที่จะได้รับด้วย 4.ขอข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในสายอาชีพโดยตรง หลังจากที่คุณได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น รายการอาชีพของคุณจะถูกตัดออกไปอีกจนเหลือเพียง 2-3 อาชีพเท่านั้น ขั้นตอนต่อไปนี้คือการลงมือหาข้อมูลอย่างละเอียดด้วยการพูดคุยกับผู้ที่อยู่ ในสายอาชีพที่คุณค้นหาโดยตรงถึงประเด็นต่าง ๆ ที่คุณต้องการทราบ ความคิดเห็นเกี่ยวกับงานที่เขาทำ ทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจได้ดีขึ้นอีก 5.กำหนดเป้าหมาย และเส้นทางอาชีพ เมื่อคุณได้พูดคุยกับคนในสายอาชีพต่าง ๆ แล้ว ถึงตอนนี้คุณน่าจะตัดสินใจได้แล้วว่าอาชีพไหน เป็นอาชีพที่คุณใฝ่ฝัน ก่อนลงมือหางาน คุณจะต้องกำหนดเป้าหมายในอาชีพเสียก่อนว่า คุณจะเติบโตไปสู่จุดใด และใช้เวลานานเพียงใด 6.เตรียมความพร้อมสู่การทำงาน คุณจำเป็นต้องมีการวางแผนและการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับผู้หางานจำนวน มาก แต่ต้องทำงานให้ดีด้วย โดยคุณอาจเรียนเพิ่มเติม หากงานนั้นต้องใช้ทักษะใหม่ๆ ที่คุณยังไม่มี หรือคุณอาจหาโอกาสฝึกงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในสายงานที่คุณปรารถนาก่อน ที่จะลงมือทำงานจริงก็จะทำให้คุณเห็นภาพการทำงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การพัฒนาบุคลิกภาพ เป็นการทำให้รู้จักตนเองก่อนเป็นประการแรกว่า เราเป็นบุคคลประเภทใด มีคุณลักษณะอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย รู้จักหลักในการดำเนินชีวิตประจำวัน ในการทำงานและการเข้าสังคมอย่างไร สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานในการพัฒนาบุคลิกภาพคือ ความเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี ต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญทางด้านร่างกายที่สมบูรณ์และจิตใจที่ดี จึงต้องอาศัยสุขภาพที่ดี กล่าวคือ มีร่างกายแข็งแรง รูปร่างสมส่วน มีความคล่องตัว ว่องไว ปรับตัวได้ง่าย ดังนั้น บุคคลทุกคนสามารถพัฒนาบุคลิกภาพได้โดยกระทำ ดังนี้
1.2ลักษณะความมั่นคงและความก้าวหน้า ในปัจจุบันได้มีองค์การจำนวนมากที่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการที่จะช่วยเหลือพนักงานของตนให้สามารถสร้างหนทางก้าวหน้าสำหรับอาชีพของเขาเหล่านั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม กิจกรรมด้านนี้ที่ทำขึ้นจากฝ่ายองค์การก็ยังมีไม่มากนักเช่นกัน ถ้าหากองค์การได้มีแนวนโยบายที่จะส่งเสริมและช่วยเหลือพนักงานในเรื่องนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวคนงาน เพื่อที่จะสามารถชี้แนวทางตลอดจนแนะนำหรือวางแผนความก้าวหน้าให้ได้ วิธีการที่จะได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น Ddgar Schein ได้เคยวิเคราะห์สำรวจอาชีพของผู้สำเร็จปริญญาโททางด้านการบริหารธุรกิจจาก M.I.T. จำนวน 44 คน ซึ่งสำเร็จการศึกษาไปแล้ว 15 ปี ผลการสำรวจได้ให้ข้อเท็จจริงที่สำคัญยิ่งสำหรับการเป็นแนวทางในการพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานอาชีพเป็นอย่างมาก ความก้าวหน้าในข้อเท็จจริงที่พบก็คือ ความก้าวหน้าในสายงานอาชีพของคนส่วนใหญ่จะอยู่ที่อาชีพของแต่ละคนที่ปักหลักอยู่นาน (Individual’s career “anchor”) หรืออาชีพที่สำคัญที่สุดที่ต้องการ (Major career need) Schein ได้ค้นพบแบบของอาชีพที่โน้มเอียงไปในทางต่าง ๆ 5 ประเภทด้วยกัน คือ 1. พวกที่มีความสามารถในทางการบริหาร(Managerial Competence) เป้าหมายของอาชีพเบื้องต้นของกลุ่มนี้ก็คือ จะพยายามพัฒนาความรู้ความสามารถในทางการบริหาร เช่น ความสามารถในเชิงเข้ากับคน ตลอดจนความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการฝึกให้มีความมั่นคงทางอารมณ์ ตำแหน่งต่าง ๆ ของบุคคลเหล่านี้ที่ดำรงอยู่หรือที่พยายามจะได้ก็คือ การเป็นผู้อำนวยการทางด้านการบริหารแผนงานของหน่วยงานหรือการเป็นผู้อำนวยการด้านการบริหารทั่ว ๆ ไป หรือเป็นประธานของบริษัท 2. กลุ่มที่มีความสามารถทางด้านเทคนิคและการปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ (Technical/Funtional Competence) จุดโน้มเอียงของกลุ่มนี้ที่สนใจเป็นพิเศษก็คืองานที่ปฏิบัติอยู่จริง ๆ ในปัจจุบันของแต่ละคน แผนของบุคคลเหล่านี้มุ่งที่จะให้มีความก้าวหน้าต่อเนื่องที่จะทำต่อเนื่องกันไปในงานเก่านี้เอง เช่น การเป็นพนักงานผลิตและมุ่งต่อไปที่จะเป็นผู้จัดการฝ่ายโรงงานหรือผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมในโฆษณาและผู้อำนวยการวิเคราะห์ต้นทุน ตามด้านงานเทคนิคหรือหน้าที่งานที่ชำนาญอยู่แล้วเป็นด้าน ๆ ไป 3. กลุ่มที่คำนึงถึงความมั่นคง (Security) ผู้บริหารเหล่านี้มักจะมองตัวเองโดยสนใจที่จะตอบสนองหรือทำงานอยู่ในองค์การใดองค์การหนึ่งต่อไปในระยะยาว บุคคลเหล่านี้จะเสาะแสวงหาความมั่นคงความปลอดภัยในองค์การ ซึ่งตำแหน่งที่หวังของกลุ่มนี้มักจะมีแตกต่างกันออกไปเป็นแบบต่าง ๆ กัน 4. กลุ่มที่มีความคิดริเริ่ม (Creativity) สำหรับผู้บริหารกลุ่มนี้จะเห็นได้ชัดว่า ได้มีการพัฒนาแรงจูงใจขึ้นมาอย่างมากและค่อนข้างเป็นแรงจูงใจที่มีแรงผลักดันสูง ที่จะมุ่งพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ออกมาให้ได้และมีความตั้งใจที่จะออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว เป็นเจ้าของกิจการของตนเองและหาทางที่จะค้นคว้าสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ ให้ปรากฎ 5. กลุ่มซึ่งต้องการเป็นอิสระ (Autonomy/Independence) บุคคลเหล่านี้จะไม่ค่อยมีการปรับตัวได้ดีนักในการทำงานในองค์การ หรือเบื่อปัญหาวุ่นวาย เส้นสาย ตลอดจนเกมการเมืองในองค์การ และมักจะมุ่งหวังที่หลักการและมักจะลาออกมาประกอบอาชีพอิสระ เป็นที่ปรึกษาทั่วไป (Consultants) ของบริษัทต่าง ๆ Schien ได้ค้นพบข้อแตกต่างในพื้นฐานของกลุ่มพนักงานเหล่านี้ด้วย ซึ่งผลการวิจัยของเขาได้ช่วยเช็คสอบตรงกับผลการวิจัยของคนอื่น ซึ่งทำให้ทราบว่า การพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานอาชีพนั้น จำเป็นต้องมีการจัดขึ้นเพื่อสำหรับการก้าวหน้าในหลาย ๆ ทางด้วยกันจึงจะเหมาะสม มากกว่าที่จะจัดหรือกำหนดไว้แน่นอนเพียงทางเดียว ซึ่งในเรื่องนี้ James Walker ได้ชี้ให้เห็นเช่นกันว่า การจัดสายงานอาชีพไว้หลาย ๆ ทางนั้น ก็เป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อย และนอกจากนี้สายงานอาชีพหรือทิศทางก้าวหน้าที่กำหนดขึ้นก็ควรจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของความเป็นไปได้ด้วย นั่นก็คือ การต้องมีพื้นฐานที่อิงอยู่กับแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่าที่มีอยู่ในองค์การนั้น ๆ ด้วย 1.3 การสมัครงาน การเตรียมตัวก่อนสมัครงาน
1.4 หลักการทำงาน ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มักพูดแนะนำอยู่เสมอถึงวิธีการที่พวกเขาปฏิบัติตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ดังนี้
http://th.jobsdb.com/th #NewYork |