สำนักงานสถิติฯ เผยผลสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ พ.ศ. 2560 นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ
เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากร พ.ศ. 2560 จากผลสำรวจ พบว่า จากจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น 55.9 ล้านคน เป็นผู้ที่สูบบุหรี่ 10.7 ล้านคน (ร้อยละ 19.1) แยกเป็นผู้ที่สูบเป็นประจำ 9.4 ล้านคน (ร้อยละ 16.8) และเป็นผู้ที่สูบนานๆ ครั้ง 1.3 ล้านคน (ร้อยละ 2.3) กลุ่มอายุ 25-44 ปี มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุด (ร้อยละ 21.9) กลุ่มอายุ 20-24 ปี (ร้อยละ 20.7) กลุ่มอายุ 45-59 ปี (ร้อยละ 19.1) สำหรับกลุ่มผู้สูงวัย (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 14.4 กลุ่มเยาวชน(อายุ
15-19 ปี) มีอัตราการสูบบุหรี่ต่ำสุด (ร้อยละ 9.7)
*********************************
จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าการที่วัยรุ่นสูบบุหรี่เป็นระยะเวลายาวนาน จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พัฒนาไปใช้ยาเสพติดชนิดต่างๆที่อันตรายขึ้น เช่น Cocain , Methamphetamine , Alcohol และจากการศึกษาในหนูทดลองพบว่ามีผลกระตุ้นความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น กล่าวโดยสรุป บุหรี่ คือยาเสพติดต้นทาง (Gateway) นำไปสู่ยาเสพติดชนิดที่ร้ายแรงขึ้นนั่นเอง(Menglu Yuan,Sarah J Cross.et al.,2015) จากผลกระทบดังกล่าวของนิโคตินในวัยรุ่นจะลดลงตามเวลาถ้าการได้รับนิโคตินลงลงทันทีทันใด แต่ยังมีการศึกษาวิจัยอีกหลายงานวิจัยที่ขัดแย้งกัน เช่น ทำให้หุนหันพลันแล่นมากขึ้น มีความระมัดระวังตัวน้อยลง และยากที่จะทำให้มันสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้จะโตขึ้น (Menglu Yuan,Sarah J Cross.et al.,2015) ซึ่งยังไม่มีใครแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับวัยรุ่นที่สมองต้องได้รับนิโคตินจากการสูบบุหรี่ในขณะที่สมองกำลังพัฒนา อาจนำไปสู่ความเสี่ยงสูงต่อการเสพติดระยะยาว แนวทางการช่วยเหลือวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ ไม่ใช่มุ่งเน้นไปที่ตัววัยรุ่นอย่างเดียวเท่านั้น ควรทำให้องค์ประกอบต่างๆที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นตัววัยรุ่น ครอบครัว สถานศึกษาและชุมชน เพื่อรณรงค์ป้องกันและควบคุมการสูบบุหรี่ให้มีประสิทธิภาพ การคัดกรองและการประเมิน เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ผู้ประเมินต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษและพิษภัยของสูบบุหรี่ จะทำให้สามารถคัดกรองได้อย่างครอบคลุมและสามารถหาแนวทางการช่วยเหลือวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ได้ตรงประเด็นปัญหา(Fritz,D.J.,2008) เนื่องจากการช่วยเหลือและบำบัดรักษาผู้ที่เสพติดบุหรี่นั้นจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการสูบและระดับความรุนแรงของการติด การสูบบุหรี่ในผู้ใหญ่มักจะมีอาการคล้ายการถอนยาที่รุนแรงเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้อยากสูบ วัยรุ่นอาการถอนยารุนแรงน้อยกว่าแต่โอกาสพัฒนาเป็นยาเสพติดชนิดอื่นของวัยรุ่นมีสูงในขณะที่ของผู้ใหญ่ที่ไม่มี (Menglu Yuan,Sarah J Cross.et al.,2015) การป้องกันและบำบัดรักษา ต้องประสานงานและร่วมมือกับบุคลากรทั้งสถานศึกษา ครอบครัว ชุมชน ให้ความรู้แก่วัยรุ่นทั่วไปเกี่ยวกับโทษและพิษภัยของสูบบุหรี่ ทักษะชีวิตและการดำเนินชีวิตเพื่อห่างไกลบุหรี่และรู้เท่าทันกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่ในการหลอกล่อให้เกิดผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่ ในส่วนของการบำบัดรักษานั้นมีทั้งการบำบัดด้วยยาและการบำบัดรักษาทางจิตสังคมซึ่งจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของระยะเวลาการสูบและระดับความรุนแรงของนิโคตินจากการคัดกรองและประเมินดังกล่าว โดยส่วนใหญ่วัยรุ่นที่สูบบุหรี่มักมีระดับความรุนแรงของนิโคตินเล็กน้อยถึงปานกลาง ดังนั้นการบำบัดรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ การบำบัดทางจิตสังคม การประเมินแรงจูงใจในการปรับพฤติกรรม การให้การปรึกษาทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มทั้งผู้ปกครองและวัยรุ่น เนื่องจากการบำบัดด้วยยาอาจมีผลเสียที่ตามมา เช่น การติดนิโคตินเพิ่มมากขึ้น(Grimshaw&Stanton,2005) กล่าวโดยสรุป ปัญหาความรุนแรงของการสูบบุหรี่ในวัยรุ่นทั้งระยะเวลาและความรุนแรงของระดับการติดนิโคตินมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งมีการพัฒนาของชนิด ส่วนผสม เช่น บุหรี่รสต่างๆ บุหรี่ไฟฟ้ามาหลอกล่อให้วัยรุ่นสามารถตอบสนองต้องการที่ผิดของตนเองและความสะดวกในการเสพและพกพามากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนทั้งชุมชนและครอบครัวต้องร่วมมือกันในการป้องกันและช่วยเหลือ ให้กำลังใจและให้โอกาสแก่วัยรุ่นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะช่วยให้สังคมวัยรุ่นปลอดบุหรี่ได้อย่างแท้จริง ที่มา : Fritz,D.J.,Wilder,L.C.,Hardin,S.B.,&Horrock,M(2008).Program Strategies for aldolescent smoking cessation,JOSN:Official Publication of the National Association of school Nurse Menglu Yuan,Sarah J Cross.et al.,(2015),Nicotine and the adolescent brain , The Journal of Physiology,Aug 15;593(pt 16) Grimshaw,G.M.,&Stanton,A.(2005).Tobacco cessation interventions for young people.Cochrane Database of Systematic Reviews (online) |