สำหรับใครที่คำนวณรายได้ตามสูตรที่เราเคยเขียนไว้ในบทความ “รายได้เท่าไหร่ต้องยื่นภาษี & ถ้าไม่ยื่นจะเกิดอะไรขึ้น” แล้วผลออกมาว่าต้องยื่นภาษีให้กับสรรพากร อาจจะเริ่มกังวลต่อว่า รายได้ของคุณต้องเสียภาษีเท่าไหร่ คำตอบคือ Show
เสียภาษีเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดนั่นหมายถึง ต้องนำรายได้สุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว มาคูณด้วยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบขั้นบันได (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป ที่มีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด และไม่ได้มีการจดทะเบียนบริษัท) จึงจะทราบว่ามีค่าใช้จ่ายภาษีที่ต้องเสียเท่าไหร่นั่นเองค่ะ เกณฑ์กำหนดที่ต้องเสียภาษีตอนนี้หลายคนน่าจะอยากหยิบเครื่องคิดเลขมาคำนวณกันอยู่ใช่ไหมคะ ว่ารายได้ที่มีนั้นต้องเสียภาษีเท่าไหร่ รายได้ที่คุณมีนั้นจะเกินเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ เกินมากเกินน้อยเสียภาษีต่างกันอย่างไร สามารถนำมาเปรียบเทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แบบขั้นบันไดได้ดังนี้ รายได้ของคุณต้องเสียภาษีเท่าไหร่ยกตัวอย่างวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สมมุติรายได้สุทธิหลังจากหักลบด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว เหลืออยู่ที่ 400,000 บาท ให้นำมาคูณอัตราภาษีแต่ละขั้นตามตัวอย่างในภาพด้านล่าง รายได้ของคุณต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ไม่เสียภาษีได้ไหมในทางกฎหมายแล้ว หากมีรายได้ถึงเกณฑ์กำหนดต้องเสียภาษี แต่ถ้าผู้มีรายได้ไม่ยอมเสียภาษี หรือทำการหลีกเลี่ยงภาษี ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย โดนระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน แต่ไม่เกิน 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท โดนเบี้ยปรับ 1-2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน แต่ก็มีผู้มีรายได้อยู่ไม่น้อย ที่ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเงินได้เมื่อคำนวณแล้วไม่เกิน 150,000 บาท ทำเพียงแค่ยื่นภาษีเท่านั้น โดยคิดง่ายๆ คือ หากนำรายได้ประจำทั้งปีหักค่าใช่จ่าย 100,000 บาท และหักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ยังไม่นับรวมสิทธิ์อื่นๆ ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ เช่น ประกันสังคม เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามอัตราภาษีบุคคลธรรมดา หากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท หรือคิดแบบง่ายว่า หากมีเงินเดือนไม่ถึง 25,833 บาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีแล้วค่ะ ส่วนสำหรับบุคคลที่ไม่มีรายได้ประจำ หรือไม่มีเงินเดือน อาจไม่ง่ายนัก เพราะรายได้ตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไปต่อปี จะมีอัตราค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักได้แตกต่างกันไป สามารถติดตามอ่านแบบเจาะลึกได้จากบทความเรื่อง “เจาะลึก! วางแผน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” มาถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงได้คำตอบที่ว่า รายได้เท่าไร ต้องเสียภาษี กันแล้วนะคะ ดังนั้น ถ้าหากรู้ตัวว่ามีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท อย่าลืมยื่นและเสียภาษีให้ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อความปลอดภัย ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังค่ะ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเป็นผู้ที่มีเงินได้ในระหว่างปีที่ผ่านมาคือ “การเสียภาษี” และเมื่อครบ 1 ปีภาษี ประชาชนที่มีเงินได้ มีหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ สำหรับปีภาษี 2565 จะมีรายละเอียดและวิธีคำนวณภาษี รวมถึงลดหย่อนอะไรได้บ้าง FINNOMENA สรุปมาให้คุณแล้ว! บุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบภาษีเมื่อไร?สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินได้ ปกติการยื่นแบบแสดงรายการ จะยื่นปีละ 1 ครั้ง (ยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป) แต่ถ้าเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นแบบฯ ตอนกลางปี (สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นใน 6 เดือนแรก ภายในเดือนกันยายนของทุกปี)
บุคคลธรรมดาต้องมีเงินได้เท่าไร ถึงจะต้องเสียภาษีเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ “ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี” แบ่งเป็นสำหรับคนโสดและคนที่สมรสแล้ว หลักการคำนวณภาษี แบบสรุปสั้น ๆ คือ
โดยเงินได้สุทธิ สามารถหาได้จากการนำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน พร้อมหาค่าลดหย่อนต่าง ๆ (เช่น ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน) และนำมาหักออกจากรายได้ทั้งหมด เหลือเท่าไรคือเงินได้สุทธิที่จะนำไปคำนวณภาษีแบบขั้นบันได
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีการคำนวณภาษีให้ทำเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่หนึ่งคำนวณหาจำนวนภาษีตาม วิธีคิดอัตราภาษีเงินได้แบบขั้นบันได อัตราภาษีเงินได้ แบบขั้นบันได
ขั้นตอนที่สองกรณีที่จะต้องคำนวณภาษีตามวิธีคิดแบบเหมา คือต่อเมื่อมีรายได้ทางอื่นนอกเหนือจากเงินได้ประเภทที่ 1 หรือเงินเดือน หากรายได้จากทางอื่นทั้งหมดมีจำนวนรวมกันตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป ให้คำนวณในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอดเงินได้พึงประเมิน
โดยวิธีนี้มีข้อควรระวังคือ
ขั้นตอนที่สามเปรียบเทียบและสรุป โดยให้เทียบกันระหว่าง 2 วิธีนี้ คือ วิธีคิดแบบขั้นบันได กับ วิธีคิดแบบเหมา โดยวิธีใดคำนวณแล้วเสียภาษีสูงกว่า ให้เลือกเสียภาษีตามวิธีนั้น ลดหย่อนภาษีจากอะไรได้บ้าง?กลุ่มที่ 1 ค่าลดหย่อนพื้นฐาน
กลุ่มที่ 2 ค่าลดหย่อน/ยกเว้น ด้านการออมและการลงทุน
กลุ่มที่ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ
กลุ่มที่ 4 ค่าลดหย่อนเพื่อบริจาค
อ่านเพิ่มเติม ลดหย่อนภาษี: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว! วางแผนลดหย่อนภาษีจากการออมและการลงทุนหากเราพอจะรู้แล้วว่า เงินได้ของเราในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณเท่าไร อยู่ขั้นบันไดไหนและต้องเสียภาษีในอัตราภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ จะสามารถนำมาวางแผนลดหย่อนได้ ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ควรจะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ที่สามารถวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ดังนี้ ลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันจากประกันชีวิต ประกันแบบสะสมทรัพย์ ประกันสุขภาพตัวเองและบิดามารดา ประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยแต่ละประเภทจะลดหย่อนได้ไม่เท่ากัน ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) โดยกองทุนแต่ละแบบจะลดหย่อนได้แบบละไม่เกิน 30% ของรายได้รวมทั้งปี เช็กได้จาก เครื่องคำนวณ SSF RMF หากต้องการเปรียบเทียบดูความแตกต่างระหว่างการลดหย่อนภาษีจากประกันและกองทุนรวม ว่าแบบไหนเหมาะกับเราและลดหย่อนได้เท่าไรบ้าง แนะนำให้อ่านบทความนี้เพิ่มเติม ประกัน VS กองทุนรวม สำหรับใครที่ลงทุนในหุ้น และได้รับเงินปันผลด้วย แนะนำให้อ่านบทความภาษีเงินปันผลเพิ่มเติม ได้ที่ เครดิตภาษีเงินปันผล คืออะไร? แล้วเราต้องยื่นไหม? I TAX เพื่อนๆ EP4 หากพร้อมแล้วสามารถเข้าไปยื่นภาษีแบบออนไลน์ ได้ที่ https://rdserver.rd.go.th
FINNOMENA Admin ผู้เขียน
FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง |