เติมหมึกแล้วหมึกไม่ออก canon

บางคำแนะนำ ให้ใช้เข็มแทงลงไปเล็กน้อย

แล้วแตะกับกระดาษ เพื่อทดสอบช่องไหน คือสีไหนก็ได้ครับ


เติมหมึกแล้วหมึกไม่ออก canon


การเติมหมึกตลับที่ฟองน้ำไม่เต็ม ค่อนข้างยุ่งยากกว่าตลับที่ฟองน้ำเต็ม

แต่ไม่เกินความสามารถถ้าคิดจะทำ

        1. เปิดฝาเครื่องพิมพ์ให้ตลับหมึกเลื่อนมาพร้อมถอด แต่ ... อย่า.. ขอร้องอย่าเพิ่งถอด

        2. แอบดึงปลั๊กไฟออก แกล้งไฟดับซะดื้อ ๆ (ถ้ามีไฟเลี้ยงอยู่ ตลับอาจช๊อตพังได้ครับ เพราะฉะนั้นตัดไฟปลอดภัยที่สุด)

        3. ถอดตลับออกมา พร้อมแล้วที่จะทำมิดีมิร้าย

        4. ดึงสติ๊กเกอร์ด้านบนออก จะเห็นรูระบายอากาศเล็ก ๆ หาทางคว้าน เจาะ ไช ขยายให้ใหญ่เพียงพอที่เข็มฉีดยาจะเสียบ

        5. ขยายรูเสร็จแล้ว ก็เสียบเข็มฉีดยาพร้อมหมึกเข้าไป ไม่จำเป็นต้องเสียบเข็มทะลุเนื้อฟองน้ำ แค่แทงเข็มแตะโดนฟองน้ำ
ก็เดินเข็มฉีดหมึกเข้าไปได้เลย

        6. กรณีตลับ 830-831-811-810 ซึ่งฟองน้ำไม่เต็มตลับสีให้เติมหมึกสีล่ะ 3 ซีซี ตลับดำให้เติมสีดำ 8 ซีซีกรณีตลับ 40-41-810xl-811xl
ฟองน้ำเต็ม
ตลับสีให้เติมหมึกสีล่ะ 5 ซีซี ตลับดำให้เติมสีดำ 15 ซีซี

        7. ถ้าเติมหมึกมากเกินกว่าฟองน้ำจะอุ้มหมึกไหว จะพิมพ์ไม่ออกครับ แถมหมึกยังไหลออกทางหัวพิมพ์เรื่อย ๆ ต้องใช้ทิชชู่ซับหัวพิมพ์
จนกว่าจะหยุดไหลจึงใส่เข้าเครื่อง

        8. กรณีตลับ 830-831-810-811 ซึ่งมีฟองน้ำไม่เต็มตลับ เมื่อเติมเสร็จ ก็เสียบเข็มเข้าไปเพียงแค่แตะฟองน้ำ (แทงทะลุเนื้อฟองน้ำสัก 1 มิล) 
ดูดหมึกออก ถ้าดูดเจอแต่ลม ก็ OK หมึกไม่ล้นฟองน้ำ ถ้าดูดเจอหมึก ก็ต้องดูดหมึกที่ล้นฟองน้ำออกให้หมด

        9. เอาทิชชู่ซับตรงหัวพิมพ์ ถ้าได้สีเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก็ OK เวิร์ค 

        10. หาสติ๊กเกอร์ หรือเทป มาปิดรู ป้องกันฝุ่นเข้า หรือจะไม่ปิดเลยก็ได้ระวังอย่าปิดจนหมดจะพิมพ์ไม่ออก เหลือทางระบายอากาศไว้บ้าง

        11. ใส่ตลับกลับคืน เสียบปลั๊กไฟ 

        12. สั่งล้างหัวพิมพ์ 1 ครั้ง (ควรจะสั่งล้างหัวพิมพ์ทุกครั้งหลังจากเติมหมึก) เพราะการล้างหัวพิมพ์จะช่วยดูฟองอากาศในฟองน้ำออกด้วย 

--------- เพิ่มเติม ----------

หลังจากเติมหมึกใช้ไปได้สักพักใหญ่ หรืออาจจะเติมหมึก 2-3 รอบแล้ว

ระบบเตือนหมึกหมดก็จะขึ้นเตือน นั่นคือ Error No.4 หรือไฟส้มกระพริบ 4 ครั้ง

เครื่องจะไม่ยอมพิมพ์งาน

ก็ให้กดปุ่ม resume หรือปุ่มที่ไฟส้มกระพริบ 4 ครั้ง ค้างไว้ 5 วินาที

เครื่องก็จะสามารถพิมพ์งานต่อได้

แต่ถ้าไฟกระพริบ 5 หรือ 7 ครั้ง แสดงว่าตลับหมึกมีปัญหา อาจต้องเปลี่ยนใหม่

จากการใช้งานพบว่าตลับ 831 (สี) จะเสียง่ายมาก หลังจากเติมหมึกไปเพียงไม่กี่ครั้ง

ดังนั้นควรเตรียมงบไว้สำหรับซื้อตลับหมึกสีอันใหม่ไว้ด้วย

แนะนำให้ซื้อตลับหมึกสีเบอร์ 41 เพราะฟองน้ำเต็ม และทนทานเติมหมึกได้หลายครั้ง

ส่วนตลับดำ 830 พบว่าทนทาน สามารถใช้คู่กับตลับสี 41 ได้ยาวนาน

ความรู้ดีๆ เก็บไว้ทบทวนตัวเอง

ที่มาจาก

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต ก็คือเครื่องพิมพ์ที่มีการทำงานโดยการพ่นหมึกออกมาทางรูเล็กๆ (เล็กมากๆ) ที่บริเวณหัวพ่นหมึก โดยที่มีสัญญาณไฟฟ้ามาที่หัวพ่นหมึก ทำให้เกิดความร้อนในกระเปาะบริเวณหัวพ่นหมึก จนกระทั่งหมึกเดือด แล้วฉีดออกมา 

คำว่า "อิงค์เจ็ต" (Inkjet) มาจากสองคำ คือ 

- อิงค์ (Ink) ที่แปลว่า หมึก กับคำว่า 

- เจ็ต (Jet) ที่แปลว่า พุ่งออกมาเป็นสาย 

เหมือนกับคำว่าเครื่องบินเจ็ตนั่นล่ะครับ หมายถึงเครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยก๊าซที่พุ่งออกมาทางท่อไอพ่นเครื่องบิน

ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่ไม่ใช้งานนานๆ ถึงพิมพ์ไม่ออก ซึ่งเกิดจากการที่รูเล็กๆบริเวณหัวพิมพ์อุดตันนั่นเอง เพราะว่าน้ำหมึก อธิบายง่ายๆ ก็คือ สีผสมกับน้ำ นั่นเอง ก็ย่อมมีตะกอนของสี พอไม่ใช้นานๆ ก็แห้งอุดตันที่รูพ่นหมึกที่ตลับ

และทำไมเวลาที่พิมพ์ติดต่อกันนานๆ หลายๆแผ่น จึงพิมพ์ไม่ออก ซึ่งก็เกิดจากหัวพิมพ์ไหม้ จากความร้อนสูงในการพ่นหมึกในระยะเวลานานๆ ติดต่อกันนั่นเองครับ (ถ้าลองเปิดฝาเครื่องลองสังเกตุดูด้านในเครื่องพิมพ์ จะพบมีไอหมึกติดตามชิ้นส่วนด้านใน ซึ่งในบางครั้งเวลาที่พิมพ์ก็อาจจะเห็นไอบางๆลอยขึ้นมาจากหัวพิมพ์ได้ครับ นั่นแหละครับ เกิดจากความร้อนสูงทำให้หมึกเดือดเพื่อที่จะพ่นออกมา)

และเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตก็จะมีทั้งแบบส่วนบุคคล และแบบสำนักงาน ซึ่งที่เราๆใช้กันอยู่ทั่วๆไป ก็จะเป็นแบบส่วนบุคคล ซึ่ง ความเร็วและความทนทานก็จะไม่เหมือนกับเครื่องอิงค์เจ็ตที่เป็นพวก OfficeJet    แน่นอนราคาย่อมแตกต่างกันมาก ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้เครื่องพิมพ์ส่วนบุคคล แต่ใช้ทำงานแบบ OfficeJet ซะมากกว่า

ปัญหาจุกจิกกวนใจหลักๆ ตรงนี้เป็นเหมือนกันทุกยี่ห้อครับ สำหรับอิงค์เจ็ต

เครื่องพิมพ์ Canon ร่นนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้ตลับหมึกใหม่ทุกครั้งที่หมด ถ้าทำได้ปัญหาต่างๆจะลดลงมาก

แต่ความเป็นจริงแล้วเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ลูกค้าซื้อเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตมาใช้ ต้องต่อแท้งค์หมึก เพื่อเซฟเงินในกระเป๋า เพราะตลับหมึกรุ่นที่มีวงจรภายในตลับหมึกนี้ ราคาประมาณ 600 - 800 บาท ถ้าเปลี่ยนทุกครั้งคงไม่ไหวแน่

การติดแท้งค์ Ink Tank จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ต้องเข้าใจว่า การติดแท้งค์ก็คือการดัดแปลงแก้ไขในส่วนของการเติมหมึกเข้าไปในตลับ แต่ตลับหมึกมันมีอายุการใช้งานของมันอยู่ด้วย ขึ้นอยู่กับการใช้งานส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนใหม่เมื่ออายุการใช้งาน

การติดแท้งค์ไม่เกี่ยวกับว่าจะช่วยยืดอายุการใช้งานของตลับหมึก ตรงนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะ การใช้งานมากกว่า เพราะว่าปัจจุบัน หมึกเติมคุณภาพดีๆมีมากมายให้เลือก

เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตถ้าใช้งานสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่ใช้งานหนักเกินไป (สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต canon ส่วนบุคคล 20 แผ่นพิมพ์ต่อเนื่อง อาจจะต้องพักนิดนึง) ก็จะทำให้อายุการใช้งานของตลับหมึกยาวนานขึ้น

เอาละมาดูวิธีแก้ปัญหากัน

1. เริ่มต้นจากดูที่แท้งค์หมึกก่อนว่า เป็นแบบแท้งค์ที่เป็นมีห้องเล็กด้านใน ติดกับตัวเครื่อง หรือเป็นแบบที่ไม่มี ห้องเล็กๆ หรือเปล่า (บางร้านใช้แท้งค์แบบไม่มีห้องเล็ก เป็นแท้งค์ที่ใช้ท่อหมึกจุ่มลงไปในแทงค์เลย เป็นลักษณะกาลักน้ำ ...ซึ่งจากประสบการณ์พบว่าใช้ได้ดีทั้งสองแบบ)

- ถ้าเป็นแท้งค์ที่มีห้องเล็ก ให้ดูว่าระดับหมึกสูงขึ้นมาเท่ากับในห้องใหญ่หรือไม่ ในห้องเล็กนี้ระดับหมึกควรจะไม่สูงเกิน 2 เซนติเมตร ครับ

- ห้องเล็กนี้มีไว้เพื่อเป็นตัวควบคุมระดับแรงดันในระบบไม่ให้หมึกไหลไปที่หัว (ตลับหมึก) มากเกินไป เพราะถ้าระดับแรงดันในระบบเสียไป (ระดับหมึกในห้องเล็กสูงขึ้นมามาก) จะทำให้หมึกไหลไปที่หัวมาก ทำให้หัวเยิ้มพ่นไม่ออก พิมพ์ไม่ติด เพราะมีฟิลม์บางๆของน้ำหมึกกั้นอยู่ 

- ลูกค้าบางคนเข้าใจว่า การวางแท้งค์หมึกไว้สูงๆ จะทำให้พิมพ์ออก ถ้าเครื่องพิมพ์พิมพ์ไม่ออก เป็นความเข้าใจที่ผิดครับ มีการเข้าใจผิดที่หนักกว่านั้นอีก บางครั้งลูกค้าเข้าใจว่ารูที่เปิดช่องเล็กนี้มีไว้สำหรับเติมหมึก ก็เจอครับ

- ปัญหาเรื่องระบบแรงดันในแท้งค์ ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้พิมพ์ไม่ออก หรือ การพิมพ์ผิดเพี้ยนไป

วิธีแก้ปัญหา

1.1. หากระบอกฉีดยา (ไซริงซ์) ต่อสายเล็กๆ สอดเข้าไปในรูห้องสีเล็กดูดออก หรือ.....

2.2. ปิดจุกใหญ่ เปิดจุกเล็ก แล้วยกเครื่องพิมพ์เอียงให้หมึกในห้องเล็กไหลเข้าไปในห้องใหญ่ให้หมด ที่ด้านล่างๆ ของแท้งค์ระหว่างช่องเล็กกับช่องใหญ่จะมีรูเชื่อมถึงกันอยู่ครับ  วิธีนี้ต้องระวังเลอะเทอะถ้ามีการต่อหมึกทิ้งด้านหลัง ก็ควรจะถอดไปเททิ้งก่อน

ถ้าระดับหมึกในแท้งค์ไม่มีปัญหาแล้ว มาดูต่อไป....

2. ดูว่าในท่อนำน้ำหมึกที่เป็นมีท่อสีไหนบ้างที่ว่างๆ สีขาด ยาวทั้งท่อ  ปกติแล้วถ้าระบบแท้งค์ที่ดีสีไม่ควรขาดยาวเกิน 1-2 นิ้ว นับจากทางตลับหมึกไป ถ้าสีขาดยาวทั้งท่อเลยแสดงว่าระบบแท้งค์ อาจจะมีการรั่ว ซึ่งอาจจะเกิดจากช่างเจาะรูที่ตลับใหญ่เกินไป หรือจุกยางบริเวณตลับหมึกที่ต่อกับสายน้ำหมึกขาด หรือที่เจอน้อยมากคือ ตัวแท้งค์ไม่ดี ก็เป็นได้ ปัญหาที่ตามมาคือ ฟองน้ำในตลับหมึกแห้งไม่มีหมึกสำรองในตลับรอฉีดพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ถ้านานๆ ไป อาจจะต้องแก้ไขยากขึ้นเพราะอาจจะต้องมีการปรับสภาพฟองน้ำที่อยู่ในตลับหมึก โดยใช้ไซริงค์ฉีดน้ำล้างหมึกที่แข็งๆในตลับ เพื่อให้ฟองน้ำในตลับกลับมาซับหมึกได้อีกครั้ง แต่ถ้าฟองน้ำแข็งมาก ที่เรียกว่า "ฟองน้ำตาย" ก็คงต้องเปลี่ยนตลับหมึกใหม่ 

วิธีแก้ไข

2.1. ถอดตลับออก จากเครื่องก่อน ใช้ทิชชู่เช็ดที่หัว ซับๆดู เฉพาะตลับหมึกสี ว่า มีแถบสีออกครบและ เรียบเป็นแท่งสีสม่ำเสมอทั้ง 3 แถบ(เหลือง แดง น้ำเงิน)หรือไม่ ถ้าสีออกสม่ำเสมอชัดเจนทั้ง 3 แถบ แต่คุณบอกว่าเวลาที่พิมพ์ทดสอบแล้วแถบสีน้ำเงินไม่ออก ปัญหานี้อาจจะเกิดจากตลับหมึกก็ได้ครับ ปัญหานี้เจอบ่อยๆ คือ หัวไม่ตัน แต่ไม่ยอมพ่นออกบางสี วิธีแก้ ทางเดียวคือ เปลี่ยนตลับสี (เวลาที่ใช้ทิชชูซับ ช่างจะดูออกครับ เดาได้เลยว่า สีออกดีไม่ดี พิมพ์ลายไม่ลาย จากประสบการณ์ ครับ สังเกตุง่ายๆ ดูว่าแถบสีที่ติดบนกระดาษ มันสม่ำเสมอทั้ง 3 แถบหรือเปล่า)

2.2. ใช้ตัวหนีบกระดาษบีบสายยางไม่ให้หมึกไหลย้อนแล้วค่อยๆดึงจุกที่ตลับหมึกออก ดูว่าจุกยางขาดไหม๊ ถ้าขาดต้องเปลี่ยนครับ (กรณีที่มีอากาศในท่อหมึกยาวๆ นะครับ ถ้าไม่มีปัญหาตามนี้ไม่ต้องถอดจุกยางดู)

ปัญหาสีออกไม่ครบ

3. ถ้าซับที่หัวแล้วสีออกไม่ครบ ซึ่งน่าจะเป็นแถบน้ำเงินไม่ติด หรือ ติดไม่สม่ำเสมอ อาจจะต้องแช่ในน้ำอุ่น อย่างที่ คห.อื่นๆ บอกมาก็ใช้ได้ครับ หาฝากระป๋องอะไรก็ได้ที่ขอบสูงประมาณไม่เกินเซนติเมตร ใส่น้ำร้อนลงไปสูงไม่มากซักครึ่งเซนติเมตรก็ได้ วางหัวแช่ในน้ำให้ทางท้ายตลับวางที่ขอบฝาพอดี ช่วยได้ในระดับหนึ่ง...สำหรับผู้ใช้ทั่วๆไป

แต่ถ้าเป็นช่างซ่อมเครื่องพิมพ์ ก็จะมีแช่หัว ด้วยน้ำยา แล้วแต่ร้านนะครับ หรือ ใช้ "หม้อต้ม" (ภาษาบ้านๆที่เรียกกัน ซึ่งมันก็คือเครื่องทำความสะอาดโลหะด้วยคลื่นความถี่เสียง ที่เรียกว่า เครื่อง อัลตร้าโซนิค คลีนเนอร์ (Ultra Sonic Cleaner) นั่นแหละครับ มีใช้ในห้องแลป โรงพยาบาล สำหรับทำความสะอาด อุปกรณ์ หรือ ตามร้านจิวรี่ ไว้ทำความสะอาดนาฬิกา ทอง เครื่องประดับ นั่นแหละครับ ใช้น้ำธรรมดา นี่แหละ)

- อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามครับ คือ  ฟองน้ำที่อยู่ในตลับ ห้องสีน้ำเงิน  ก็ต้องตรวจสอบดูว่าฟองน้ำแห้งแข็งหรือไม่ อาจจะต้องฉีดหมึกเข้าไปในห้องน้ำเงิน โดยใช้หมึกที่อยู่ในแท้งค์ (ถ้าเป็นผู้ใช้ตามบ้านก็ต้องดูดจากแท้งค์เตรียมไว้ โดยปิดจุกเล็กเปิดจุกใหญ่ ใช้ไซริงค์ต่อท่อ เล็กๆดูดมาเตรียมไว้ครับ เสร็จแล้วปิดจุกใหญ่เปิดจุกเล็กให้อยู่เหมือนเดิม  จุกเล็กกับจุกใหญ่ห้ามเปิดพร้อมกันนะครับ ถ้าไม่งั้นระดับสีในช่องเล็กจะสูงขึ้นมาเท่ากับในช่องใหญ่ ต้องไปแก้ตามปัญหาข้อแรกสุดอีก ) ส่วนช่างเค้าก็จะมีหมึกไว้เติม หรือถ้าลูกค้ามีหมึกสำรองอยู่ก็ไม่ต้องดูดจากแท้งค์ก็ได้ ยุ่งยากพอสมควร 

บางครั้งลูกค้าเข้าใจผิดคิดว่ารูที่เปิดในช่องเล็กไว้สำหรับเติมหมึก ก็เคยเจอบ่อยๆ ครับ เติมมาซะเติมห้องเล็กเลย แล้วก็ต้องยกมาเพราะ พิมพ์ไม่ออก เหตุผลอย่างที่อธิบายไว้ในช่วงแรกๆ

- เวลาที่ใช้เข็มแทงลงไปที่ฟองน้ำในแต่ละห้องก็จะพอประมาณได้ว่าฟองน้ำมันแข็งต่างกับห้องสีที่ใช้งานได้หรือเปล่า..

- อีกวิธีนึงที่ช่างใช้ กรณีที่หมึกอาจจะไหลมารอไว้ในฟองน้ำในตลับน้อยเกินไป ก็จะใช้ "ตัวดูดหมึก" ดูดตรงหัวพ่นหมึก ก็จะเห็นหมึกวิ่งจากแท้งค์ไหลเข้าสู่ตลับตามแรงดูด ตัวดูดหมึก ทำได้ง่ายๆครับ ใช้รองเท้าแตะ นี่แหละครับ หรือ ฟองน้ำ แผ่นๆ ที่เค้าใช้ทำของเล่นเด็กๆ เป็นตัว ABC อะไรประมาณนี้ครับ เดินดูในห้างมี เป็นฟองน้ำแผ่นหนาซัก 1 ซม. ตัดเป็นรูสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพอๆกับหัวพ่นหมึก แล้วเอาไซริงค์จิ้มลงไป ก็ได้ตัวดูดหมึกระดับมืออาชีพแล้วละครับ อุปกรณ์ตัวนี้เป็นอาวุธประจำกายช่างปริ้นเตอร์ เลยละครับ

- เสร็จแล้วก็ลองซับๆที่หัวพ่นหมึก ดูว่าแถบสีหมึกออกดีมั๊ย