ผู้เขียนได้พยายามค้นหาวิธีทำน้ำส้มสายชูหมัก จากอินเตอร์เน็ต และสอบถามจากชาวบ้านที่มีประสบการณ์ในการทำไวน์ และทำน้ำส้มสายชูหมัก จึงได้รวบรวมข้อมูลและนำมาทดลองด้วยวิธีการหลายวิธี โดยตั้งโจทย์ไว้ดังนี้คือ 1. สามารถทำเองได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องศึกษามาก ทุกคนสามารถทำได้ 2. ใช้งบประมาณไม่มาก เหมาะกับคนทุกฐานะ 3. มีความปลอดภัยสูง มีผลข้างเคียงน้อยจนถึงน้อยที่สุด 4. ใช้ระยะเวลาไม่นานจนเกินไป (ไม่งั้นคนป่วยตายก่อนพอดี) 5. รสชาติไม่แย่จนเกินไป (เคยกินฟ้าทะลายโจรตอนเด็กเกือบอ้วก เลยกลัวสมุนไพรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา) 6. นำไปทำยาดองไข่แล้วได้ผลคือจะมีฟองก๊าซผุดขึ้นทันทีที่เริ่มดองไข่ และทำให้เปลือกไข่นิ่ม ภายใน 1-2 วัน จนได้ข้อสรุปว่า ผลไม้ที่เหมาะสมจะนำมาทำน้ำส้มสายชูหมักโดยระยะเวลาอันสั้น โดยไม่ผ่านกระบวนการเติมสารเคมีทางวิทยาศาศตร์หรือกระบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และมีราคาถูก หาง่าย มีอยู่ ด้วยกัน 2 ชนิดคือ สับปะรด และกล้วย ซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้ แต่ผู้เขียนพำนักอยู่ที่อำเภอหัวหิน ซึ่งเป็นอำเภอที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะว่ามีตั้งแต่ สากกะเบือยันเรือรบ ขอย้ำว่า มีเรือรบจริง ๆ จอดเทียบอ่าวเพื่อพิทักษ์รักษาพระราชวังไกลกังวลอยู่ (นอกเรื่องแล้วอีตาคนเขียน) อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีหาดทรายขาว ทะเลสวย มีน้ำตกป่าละอู เขื่อนปราณบุรี (ที่จริงอยู่ อ.ปราณ แต่อยู่ใกล้ ๆ กันน่ะแหละ มีสถานที่ท่องเที่ยว จนแทบจะเรียกได้ว่า มีคนทุกประเทศอยู่ในอำเภอนี้ และที่สำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ (กว่าจะวกกลับมาได้:คนอ่านบ่นพึมพำ) มีพืชไร่พืชสวนของชาวบ้านมากมาย มีตั้งแต่ กล้วย สับปะรด อ้อย ข้าวโพด มะละกอ ฟักทอง ว่านหางจระเข้ มะพร้าว ฯลฯ และมีราคาถูกมาก ๆ ๆ ๆ ถ้าเราเหมา(เหมือนเหมา ๆ ของ วันทูคอลล์เลยแฮะ) เห็นราคาที่แผงสับปะรด อยู่ที่ กก.ละ 4-6 บาท ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ราคาประมาณนี้ แต่ถ้าเป็นกล้วยหอมตกเกรด ทราบราคาแล้วใจหายแทนชาวบ้าน กก.ละ 3 บาท เท่านั้น กล้วยหอมตกเกรดสภาพดีมีรอยดำที่เปลือกกระจึ๋งเดียวโลละสามบาทครับผมพิมพ์ไม่ผิดครับท่านผู้อ่าน... เหตุที่มีผลไม้มากมายเช่นนี้ เพราะชาวบ้านเค้าทำผลไม้ส่งโรงงานบริษัทโดลล์ (dole) ซึ่งบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผลไม้กระป๋องต่าง ๆ เมื่อทำเสร็จก็นำข้ามน้ำข้ามทะเลไปขายถึงอเมริกา ข้าพเจ้านั่งรถผ่านโรงงานแห่งนี้เป็นประจำ จึงเป็นเหตุให้มีความคิดขึ้นมาว่า ประเทศของเราคือสุวรรณภูมิ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีทรัพย์ในดินมีสินในน้ำ เรากลับไม่สนใจในของดีที่มีอยู่ แต่ชาวต่างชาติสิเค้าอยู่ถึงอเมริกาเค้ายังสนใจอยากได้ของของเรา เราจะจะนิ่งเฉยเสียได้อย่างไร ต้องฉวยโอกาสซะตอนนี้เลยทีเดียว (ว่าไปโน่นเชียว:ผู้อ่าน) ประจวบกับข้าพเจ้ามีความสนใจเกี่ยวกับ เรื่องจุลชีววิทยา (แต่ไม่ได้เรียนมา ชีวิตมันเศร้าอย่าให้ผมต้องเล่าเลยครับ ฮือฮือ:ผู้เขียน) (ตานี่เป็นอะไรของมัน:ผู้อ่าน) ข้าพเจ้าสนใจเรื่องการถนอมอาหาร และเรื่องการรักษาโรคด้วยน้ำหมักชีวภาพ , น้ำหมักเอนไซม์ (enzyme therapy) เช่นน้ำมหาบำบัดป้าเช้ง ,น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ (ferment fruit) เช่น จตุผลาธิกะ ของบ้านอโรคยา , การหมักนม (ferment milk) เช่นโยเกิร์ต , อาหารหมักดองต่าง ๆ (ferment food) เช่นปลาส้ม (ชอบมากแม่ทำให้กิตั้งแต่เด็กแต่ก้างชอบติดคอ) อะไรเหล่านี้เป็นต้น ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างความมหัศจรรย์ของการหมักดอง (เขียนว่าหมักดองแลไม่น่าศรัทธาเลยแฮะสู้คำว่าเฟอร์เม้น ferment ก็ไม่ได้ ทั้งที่ความหมายเดียวกัน) ถ้านำยาสมุนไพรต่าง ๆ ไปดองเหล้า หรือดองน้ำส้มสายชูหมัก จะเป็นการสกัดสารที่เป็นตัวยาออกมา ซึ่งตัวยาจะออกมามากกว่าการสกัดด้วยการต้ม และยังมีความลับในการหมักของจุลินทรีย์อีกมากมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยา และได้ทราบข่าวว่าประเทศไทย(หลายและจังวุ๊ย) ได้เกียรติเป็นศูนย์จุลินทรีย์แห่งภูมิภาคเอเชียด้วย ศูนย์ใหญ่มาก ตั้งอยู่ที่คลองห้า ปทุมธานี คิดว่า ต่อไปในอนาคตนี้ ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ และการหมัก (ferment) ต่าง ๆ จะขยายตัวในวงกว้างมากขึ้น ประชาชนจะให้ความสนใจมากขึ้น เพราะจุลินทรีย์นี้ จะให้โทษก็ได้ ให้คุณก็ได้ ทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องจุลินทรีย์ ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าคิดว่าขึ้นชื่อว่าจุลินทรีย์แล้วคิดว่าเป็นเชื้อก่อโรคเสียหมด จะฆ่าตะพรึด ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางฆ่าได้หมดหรอก เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยจุลินทรีย์ เราจะอยู่โดยไม่มีจุลินทรีย์ไม่ได้เค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก ซึ่งเหมือนกับมนุษย์เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก เราต้องใช้วิธีให้คนดีควบคุมคนไม่ดี คือให้มีจุลินทรีย์ที่ดีอยู่ในร่างกายเราให้มาก ๆ คอยควบคุมจุลินทรีย์ที่ไม่ดีให้มีน้อย ๆ หน่อย แต่เอาเถอะอย่างน้อยตอนนี้ ทุกคนก็คงจะรู้จัก จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส สายพันธ์ที่ยาคูลท์ เลือกใช้ (เกี่ยวไรอยู่ ๆ โดดมาได้ไง) หรือไม่ก็คงรู้จักป้าเช้งมาบ้างแล้ว (ป้าเช้งเนี่ยนะแกโดนเฉ่งอยู่นี่:ผู้อ่าน) (เออนะก็แกดังออกน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ของแก คนที่กินของแกแล้วโรคหายก็เยอะแยะ ที่มันมีปัญหาอยู่ที่ยาหยอดตา และไม่มีอ.ย. ต่างหาก:ผู้เขียน) ป้าเช้งนี่แหละ ช่วยในการการบูมเรื่องจุลินทรีย์ขึ้นมาในระดับนึง ด้วยฐานะอันพอมีจะกิน (ข้าวคลุกกะปิ) ข้าพเจ้าจึงได้นำเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้ นำมาทดลอง ตามแบบฉบับของชาวบ้านตาดำ ๆ (จะบอกทำไมเนี่ย:ผู้อ่าน) เผื่อจะได้เผยแพร่ความรู้ที่บรรพบุรุษของเราได้คิดค้นขึ้นมาและได้เก็บรักษาพัฒนาต่อยอดความรู้นี้ไว้มาเป็นพัน ๆ ปี ได้อย่างน่าอัศจรรย์ (อะไรจะนานขนาด:ผู้อ่านขัดคอ) (ก็ประวัติเค้ามาอย่างนั้นดูอย่างประวัติของไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักสิ สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้เลยนะ:ผู้เขียนแก้ต่าง) ข้าพเจ้าจึงได้ทดลองหมักหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โยเกิร์ต บัวหิมะธิเบต(คีเฟอร์) คอมบูชา(ชาหมัก) ลูกยอ มะขามป้อม ว่านหางจระเข้ บอระเพ็ด กล้วย สับปะรด ทับทิม ฝรั่ง มะเขือเทศ ฟักทอง มะม่วง มะละกอ หมักเดี่ยวบ้าง หมักรวมบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ในบทความนี้ขอพูดถึงเรื่องเฉพาะการทำน้ำส้มสายชูหมักจากกล้วยเท่านั้น ขอย้ำว่าผู้เขียนได้ทำแล้วได้ผล และได้ทดสอบด้วยเครื่องมืออันทันสมัยที่สุดในโลก (คือใช้ตาดู ใช้จมูกดมกลิ่น ใช้หูฟังเสียง มีเสียงจริง ๆ นะตอนหมักน่ะและจะมีเสียงอีกทีก็ตอนถังระเบิด ใช้ผิวหนังบอบบางสัมผัส และที่จะทำให้ท่านผู้อ่านมั่นใจที่สุดคือ คือกินเข้าไปเลย.!!! .อิอิ จะเอาเครื่องมืออะไรมาวัดโน่นวัดนี่ได้ล่ะ มีแบคทีเรียชนิดใดบ้าง เชื้อราล่ะ ยีสต์ล่ะ มีแอลกอฮอลล์รึเปล่า มีเมทิลไม๊ มีกรดกี่เปอร์เซ็น กรดแลคติค กรดอะซิติก ฯลฯ ซื้อของมาหมักเงินก็จะหมดตูดอยู่แล้ว:ผู้เขียนมีอารมณ์) (พูดหยาบคาย:ผู้อ่าน) (จะเป็นไรไป ทีพี่โน๊ตเดี่ยวไมโครโฟนยังพูดได้:ผู้เขียนแถ) ถ้าอยากรู้ผลก็ดูผลทดลองของฝรั่งละกัน แปลเอาแองเด้อ ลิ้งค์ 1 ลิ้งค์ 2 ลิ้งค์ 3 ใครแปลแล้วก็ช่วยพิมพ์ส่งมาให้บ้างจะได้ช่วยอัพลงบล็อก อิอิ) ก็อย่างที่บอกข้างต้น ข้าพเจ้าพำนักอยู่แถว อ.หัวหิน ก็อาจพาท่านผู้อ่านออกทะเลไปได้ง่าย ต้องขออภัย ขั้นแรกเราต้องจำสูตรง่าย ๆ ให้ได้ครับ 1:3:5 คือใช้น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน ต่อผลไม้ 3 ส่วน และน้ำ 5 ส่วนครับ ผมขอแนะนำให้หมัก 1 ถังใหญ่ 18 แกลลอน (ผมละงงจริง ๆ ไอ้ 1 แกลลอนนี่เท่าไหร่กันแน่ บางทีก็บอกว่า 4.55 L สำหรับ Eng บางทีก็บอกว่า 3.78 สำหรับUS แล้วแกลลอนของพี่ไทยนี่มันเท่าไหร่กันแน่ ถังที่ผมซื้อมานี่บอกแต่ความจุเป็นแกลลอนอย่างเดียวเลย ไม่บอกเป็นลิตรเลย เอากะมันซิ ยกไปวางบนชั่งเครื่องชั่งน้ำหนักถังมันก็บังหน้าปัดใครรู้ช่วยเม้นท์ทีเถอะ:ผู้เขียน) (555 ทำบล็อกมาไม่มีคนเม้นท์เลย เป็นอุบายล่ะสิ :คนอ่าน) (เชอะ รู้ทัน:ผู้เขียน) ถังที่ใช้ควรเป็นถังสีขาวที่ทำจากเม็ดพลาสติกที่บรรจุอาหารได้ ให้สังเกตอักษร pp หรือมี เลข ๕ และมีรูปสามเหลี่ยมล้อมรอบ เพราะอ.ย.บอกว่า ต้อง pp เท่านั้น ครับ พี่ ถ้าไม่ใช่ pp ห้ามบรรจุอาหาร เพราะจะมีเม็ดพลาสติกปนเปื้อนออกมา และต้องใช้สีขาวเท่านั้น แต่ถ้าเป็นชนิดใสจะดีที่สุด และข้อดีอีกอย่างคือ ประมาณว่า ถ้าหมักไม่ได้ผล (อ้าวยังไม่ได้หมักเลยแช่งกันแล้ว:ผู้อ่าน) (คิดมากน่า:ผู้เขียน) ก็เอาถังมาใช้งานได้อีก นะครับ และอีกอย่างคือง่ายต่อการคน และขนาดถังควรพอดีกับถุงพลาสติกที่ซื้อมา หรือท่านผู้อ่านจะใช้ภาชนะอะไรก็ตามแต่เถิดครับ พลิกแพลงได้ครับ (ไม่ใช่แค่ไข่แพงอย่างเดียว อิอิ) การทำน้ำส้มสายชูหมักจากกล้วย วัสดุ/อุปกรณ์ : 1. กล้วยน้ำว้าสุกหรือกล้วยอะไรก็ได้ เมื่อปอกเปลือกออกแล้วให้มีน้ำหนัก 15 กก. 2. น้ำสะอาด 25 ลิตร 3. น้ำตาลทรายแดง 5 ก.ก. 4. ถังหมัก 18 แกลลอน 5. ถุงพลาสติกใบใหญ่ วิธีทำ : 1. ปอกกล้วยใส่ถุงพลาสติกซึ่งสวมไว้ในถัง 2. เอาน้ำตาลเทใส่น้ำ คนให้เข้ากัน 3. ใส่ถุงพลาสติกที่ซ้อนกัน 2 ชั้นในถัง แล้วเทน้ำในข้อ 2 ใส่ ก่อนเทน้ำให้เช็คดูว่า ได้ดึงถุงพลาสติกขึ้นมาจนสุดแล้ว และให้เหลือเนื้อที่สำหรับหายใจประมาณ 1/5 ของถัง 4. 1-7 วันแรก เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่จริงแล้วยีสต์ที่อยู่กับกล้วยตามธรรมชาติ จะทำการเพิ่มจำนวน ทำการแบ่งตัวแบบทวีคูณ จะสังเกตด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไม่เป็นไร ให้กดกล้วยให้จมน้ำทุกวัน เพื่อกันเชื้อราจับที่ผลกล้วย เมื่อครบ 1 เดือนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกด 5. เมื่อยีสต์ได้เพิ่มประชากรจนหนาแน่พอแล้ว หลังจากนั้นจะเริ่มทำการหมัก(ferment) โดยเปลี่ยน น้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ ตอนนี้เราจะสังเกตเห็น จะมีก๊าซออกมามาก(อย่างกับโรงงานเลยวุ๊ย) ให้คลายถุงเพื่อให้ก๊าซออกทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือนหรือจนกว่าจะไม่มีก๊าซออกมา ขั้นตอนที่ 2 6. ให้นำสายยางดูดน้ำออกมาใส่ภาชนะเตี้ย ๆ เช่นกล่องอาหาร(ซื้อมา 25บาท) แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปิดปาก ใช้ยางรัดของรัด (ซื้อที่ไปรษณีย์) ไม่ต้องปิดฝา เพื่อให้แบคทีเรียตระกูลอะซิโตแบคเตอร์ที่อยู่กับกล้วยตามธรรมชาติ ทำหน้าที่เปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นกรดน้ำส้ม ทำงานได้สะดวก เพราะขั้นตอนนี้ต้องใช้อากาศในการหมัก (ferment) ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 20 วัน (ชิวชิว) แต่ถ้าไม่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ ก็ให้ใส่น้ำ2/3 ของกล่องอาหารแล้วปิดฝาไปเลยก็ได้ แต่จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 30 วัน ประมาณ นี้ (อ้าวแล้วไม่บอกแต่ทีแรกแค่ 10 วันเองจะเป็นไรไป:ผู้อ่าน) แต่ถ้าไม่ทำขั้นตอนนี้ คือจะไม่ดูดน้ำออกมาใส่กล่องอาหารปล่อยให้หมักอยู่ในถังอย่างเดิมนั้นก็ได้ ซึ่งผลที่ออกมาจะดีกว่าด้วย เพราะกล้วยจะจมหมด และน้ำจะใสแจ๋วสีอำพัน แต่ต้องใช้เวลานานมากประมาณ 4-6 เดือน ช้าเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ถ้าอากาศร้อนชื้นจุลินทรีย์จะขยันกันหมักมากขึ้น 7. เมื่อได้แล้วให้ใช้สายยางดูดใส่ขวดหรือโหลที่สะอาดและแห้ง ควรจะเป็นขวดแก้ว เพราะดูน่าศรัทธาสำหรับการบริโภค ไม่ต้องไปต้มฆ่าเชื้อ ไม่จำเป็นต้องกรอง (เพราะข้าน้อยไม่รู้จะเอาอะไรกรอง อิอิ) ไม่ต้องกลัวเชื้อโรค เพราะจะมีกรด อะซิติก 4 % ซึ่งจุลินทรีย์ทั่วไปตายเกลี้ยงแล้วครับ เหลือแต่กลุ่มจุลินทรีย์อะซิโตแบคเตอร์เท่านั้น ซึ่งพวกมันส่วนมากก็จะม้วยมรณาเหมือนกัน จะเหลือแต่พวกถึก จริง ๆ ที่จะทำการบ่มต่อไป ต่อไป ต่อไป (จะต่อ ไปถึงไหนพ่อคู๊น....:ผู้อ่าน) จะบ่มไปเรื่อย ๆ คล้าย ๆ กับไวน์ ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งมีคุณค่า 18 ปียิ่งดี (ประมาณว่าเด็กวัยส์รุ่นงั้นเหรอ:ผู้อ่าน)เพราะสารอาหารและสารที่เป็นยาต่าง ๆ จะมีโมเลกุลเล็กลง พลังงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเฟอร์เม้น หรือที่เรียกว่าพลังงาน ionic discharge จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ตัวยาสามารถแทรกซึมเข้ารักษาเซลล์ได้ดี เก็บไว้นานจะมีความใสขึ้นเรื่อย ๆ (เหลือเชื่อ เกินไป ๆ:ผู้อ่าน) (อ๊ะ ถ้าไม่เชื่ออ่านเอาเอง กดที่ลิ้งค์นี้ ที่นี่ด้วย อันนี้ตบท้าย : ผู้เขียน) 8. ส่วนของกล้วยที่เหลือเป็นกากนำมาทำซ้ำด้วยวิธีเดิมโดยเริ่มจากข้อ 2-7 จบแล้วคร้าบ ขอบคุณที่ทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะครับ สวัสดี มีเงินทองเหลือใช้ ทุกคนนะครับ หมายเหตุ : การหมักนี้อาจจะมีเชื้อจุลินทรีย์นอกจากที่กล่าวมานี้ผสมอยู่ด้วยก็ได้ แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าเราทำด้วยความสะอาด จุลินทรีย์ที่อยู่กับกล้วยนั้นเป็นจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรกับเราทั้งหมด ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ที่สำคัญต้องเน้นเรื่องความสะอาด และเน้นเรื่องน้ำ น้ำที่ใช้ ถ้าเป็นน้ำประปา ให้ใส่ตุ่มเปิดฝาทิ้งไว้ 2-3 วัน เพื่อให้คลอรีนระเหยออก ถ้าไม่ไล่คลอรีนออกก่อนจะทำให้จุลินทรีย์ที่ดีตายหมด ภาพถังหมักกล้วย เปิดฝาออกดู กล้วยครับกล้วย กล้วยไข่ครับ เมื่อหมักได้ที่แล้วดูดเฉพาะน้ำออกมา ใส่กล่องอาหาร ปิดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ 2 ชั้น ใช้ยางรัด น้ำส้มสายชูหมักจากกล้วย (ซ้าย) หมักเองเสร็จเรียบร้อย โชว์ซะหน่อย อิอิ น้ำส้มสายชูที่ได้นำไปดองไข่ เป็นยาสูตรไข่ดิบดองด้วยน้ำส้มสายชูหมัก จะสังเกตเห็นภาพฟองก๊าซที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เริ่มดองไข่ ลิ้งค์ของบทความที่เกี่ยวข้อง |