ความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญจากปัญหาสิ่งแวดล้อมความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เร่งตัวและรุนแรงขึ้น เป็นหนึ่งในปัญหาที่สร้างผลกระทบและความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งทำให้เกิดความเสี่ยงสำคัญ 2 ด้าน คือ Show ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical risk)จะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติ สำหรับไทยถือเป็นประเทศลำดับต้น ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยธรรมชาติและปัญหามลภาวะต่าง ๆ เช่น มหาอุทกภัยในปี 2554 ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.43 ล้านล้านบาท ขณะที่ขีดความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติของไทยค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ในอันดับที่ 39 จาก 48 ประเทศ ซึ่งหากไทยยังไม่เริ่มปรับตัว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลงถึงร้อยละ 43.6 ในปี 2591 ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงข้างต้น ไทยจะต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอีกมหาศาล เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ขณะเดียวกัน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว ในการประชุม COP26 ไทยได้ยกระดับ Nationally Determined Contribution (NDC)1 ขึ้นเป็นร้อยละ 40 ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) รวมทั้งได้ประกาศเจตนารมณ์พร้อมยกระดับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจ (Transition risk)ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากการเร่งปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ จนอาจไปเพิ่มโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ ทั้งค่านิยมของผู้บริโภคและนักลงทุน และพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ กฎเกณฑ์และนโยบายของทางการ เช่น นโยบายการลงทุน การจัดสรรงบประมาณ การเก็บภาษี รวมถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของกลุ่มประเทศในยุโรป และมาตรการของสหรัฐอเมริกาที่อาจจัดเก็บภาษีสำหรับผู้ก่อมลพิษ (polluter import fee) การปรับตัวของผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวส่งผลให้ทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจต้องเร่งปรับตัว โดย
การดำเนินมาตรการรับมือและจัดการความเสี่ยงทั้งสองด้านข้างต้น จำเป็นต้องคำนึงถึงจังหวะเวลา (timing) และความเร็วของการดำเนินการ (speed) โดย Network for Greening the Financial System (NGFS) ได้ประเมินฉากทัศน์ (scenarios) ของรูปแบบในการปรับตัว (ภาคผนวก 1) การปรับตัวที่เริ่มต้นเร็วและค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้เกิดการปรับตัวที่ราบรื่น (scenario : orderly) ส่งผลให้ physical risk และ transition risk อยู่ในระดับต่ำ แม้ในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่าการปรับตัวอย่างกะทันหันและไม่เป็นระเบียบ (scenario : disorderly) แต่ในระยะยาว ผลกระทบจะน้อยกว่ามาก แต่หากไม่ปรับตัวหรือปรับช้าจนเกินไป (scenario : hot house world) คาดว่า GDP ของเศรษฐกิจโลกจะลดลงได้ถึงร้อยละ 25 ภายในสิ้นศตวรรษนี้ สำหรับประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านของระบบเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ส่งผลกระทบเชิงลบในวงกว้าง จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทของประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ยังพึ่งการใช้พลังงานจากถ่านหินและน้ำมันในสัดส่วนที่สูงประมาณร้อยละ 60 ของการใช้พลังงานทั้งหมด และอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิม การดำเนินการดังกล่าวจึงหมายถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งการปรับรูปแบบการทำธุรกิจ การวางแผนการลงทุนใหม่ของภาคธุรกิจและการจัดสรรเงินทุนของภาคการเงิน ดังนั้น การเริ่มดำเนินการแต่เนิ่น ๆ และการกำหนดทิศทางที่ชัดเจนทั้งใน (1) มิติด้านสิ่งแวดล้อม และ (2) มิติด้านเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กัน จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีเวลาปรับตัวและสามารถวางแผนการดำเนินธุรกิจและลงทุนได้สอดคล้องกัน ความท้าทายที่สำคัญการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจดังกล่าว ยังต้องเผชิญความท้าทายที่สำคัญ ดังนี้
|