คดีทำร้ายร่างกาย ไม่คืบ หน้า

เกี่ยวกับเรา · ติตต่อเรา · ร่วมงานกับเรา · เงื่อนไขและข้อตกลง · นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล · นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (ออนไลน์) · นโยบายคุกกี้

Copyright © 2022 Bangkok Broadcasting & T.V. Co.,Ltd. All rights reserved

พ่อและย่าของผู้ได้รับบาดเจ็บ ร้องเรียนผ่านไทยพีบีเอส หลังลูกชาย วัย 15 ปี ถูกกลุ่มวัยรุ่นกว่า10 คนรุมทำร้าย ภายในซอยแห่งหนึ่ง ข้าง รพ.พระนครศรีอยุธยา แต่คดีไม่คืบหน้าและหวั่นได้รับอันตรายซ้ำ

วันนี้ (25 ก.ย.2562) ทีมข่าวรายการร้องทุกข์ลงป้ายนี้ ลงพื้นที่ไปพบกับนายเฉลย พันธ์ไม้ และนางจันทนา พันธ์ไม้ ผู้เป็นพ่อและย่าของนายเอ นามสมมุติ อายุ 15 ปี หลังร้องเรียนว่า นายเอถูกกลุ่มวัยรุ่นกว่า 10 คน เข้ารุมทำร้ายร่างกายภายในซอยแห่งหนึ่ง ข้างโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา

คดีทำร้ายร่างกาย ไม่คืบ หน้า
คดีทำร้ายร่างกาย ไม่คืบ หน้า

 
นายเอ วัย 15 ปี ผู้เสียหาย เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ช่วงเกิดเหตุตนถูกเพื่อนชักชวนออกจากบ้านในช่วงค่ำ เพื่อไปขับรถจักรยานยนต์เล่น ก่อนเพื่อนคนดังกล่าวขับรถพาตนซึ่งนั่งซ้อนท้าย เข้าไปในซอยแม็ก พอขับไปถึงบริเวณหน้าค่ายมวยแห่งหนึ่งกับถูกกลุ่มวัยรุ่น ที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นเรียกให้หยุดรถ แล้วบิดกุญแจเก็บเอาไว้ ขณะนั้นเพื่อนตนที่เป็นคนขับวิ่งหนีโดยทันที ทิ้งให้ตนถูกรุมทำร้ายจนสลบ พร้อมข่มขู่ว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ก่อนที่จะมีคนพาไปส่งโรงพยาบาล

คดีทำร้ายร่างกาย ไม่คืบ หน้า

 
ด้านนายเฉลย ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจมากที่ลูกตัวเองถูกรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ถึงขั้นใบหน้าและศีรษะบวม มีบาดแผล และรอยฟกช้ำตามลำตัว ภายในช่องปากฉีกเป็นแผลลูกต้องกินแต่ข้าวต้ม และทุกวันนี้ยังคงมีอาการปวดหัวอยู่เนื่องๆ จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตามคดี จับตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าหากเอาเรื่อง กลุ่มที่ก่อเหตุจะกลับมารุมทำร้ายอีก เช่นเดียวกับนางจันทนา ผู้เป็นย่า ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงในเรื่องการกับมาแก้แค้นเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว แมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา

คดีทำร้ายร่างกาย ไม่คืบ หน้า

ทีมข่าวจึงได้พาครอบครัวผู้เสียหายไปที่ สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา เพื่อสอบถามความคืบหน้ากับร้อยเวรเจ้าของคดี ทราบว่า ขณะนี้ทางการสืบสวนรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พยายามติดต่อกับทางฝ่ายผู้เสียหายหลายครั้งเพื่อให้เข้ามาชี้ภาพผู้ก่อเหตุ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งส่งตำรวจไปเชิญที่บ้านพักก็ยังไม่เข้ามาดำเนินการ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถส่งเรื่องต่อให้กับฝ่ายสืบสวนดำเนินการจับกุมผู้ก่อเหตุได้ ซึ่งหลังจากทีมข่าวทราบเรื่องดังกล่าวแล้วจึงได้บอกกล่าวให้กับครอบครัวผู้เสียหายเข้าใจและให้นัดร้อยเวรเจ้าของคดีเข้ามาชี้ภาพผู้ก่อเหตุอีกครั้ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

คดีทำร้ายร่างกาย ไม่คืบ หน้า


ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.อาทิตย์ ซิ้มเจริญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงกลุ่มวันรุ่นสองกลุ่มที่มีความขัดแย้งกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และคุ้มครองผู้เสียหายในระหว่างการดำเนินคดีอย่างดีที่สุด และจะนัดผู้เสียหายเข้าชี้ภาพผู้ก่อเหตุภายในสัปดาห์นี้

สายไหมต้องรอด พาสาวเจ้าของเพจ "เบลล์ญาณบารมี" ร้อง ก.ยุติธรรม แจ้งความอดีตสามี เป็นลูกชายดีเจชื่อดังระดับประเทศ ข่มขู่คุกคาม ทำร้ายร่างกายหลายครั้ง แต่คดีไม่คืบ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่กระทรวงยุติธรรม นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำ น.ส.ธัญญ์สมินธิ์ มหาโชติเทวากุล  หรือ เบลล์ อายุ 28 ปี เจ้าของเพจ "เบลล์ญาณบารมี" พร้อมหลักฐาน ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับกระทรวงยุติธรรม กรณีถูกอดีตสามี นายหมี่ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ลูกชายคนเล็กของดีเจชื่อดังระดับประเทศ เสพยา และทำร้ายร่างกายจนน่วมไปทั้งตัว แจ้งความกับตำรวจไปแล้วหลายครั้ง แต่คดีไม่มีความคืบหน้า โดยมีว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้รับเรื่อง

นายเอกภพ เหลืองประเสิรฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กล่าวว่า น.ส.ธัญญ์สมินธิ์ มาขอความช่วยเหลือ หลังถูกอดีตสามี เป็นลูกชายคนเล็กของดีเจชื่อดังระดับประเทศ เสพยา และทำร้ายร่างกายจนน่วมไปทั้งตัว ขณะที่ผู้เสียหายแจ้งความกับตำรวจไปแล้วหลายครั้ง ข้อหาบุกรุกและทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดที่บ้านพัก พื้นที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และที่ร้านอาหาร ในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ และสน.โคกคราม แต่คดีไม่มีความคืบหน้า ต้องทนถูกทำร้ายเรื่อยมาตลอดระยะเวลา 2 ปี ล่าสุดเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา อดีตสามีบุกไปทำร้ายถึงหน้าบ้าน ย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี พร้อมขู่ฆ่ายกครอบครัว ขอให้กระทรวงยุติธรรมช่วยประสาน ผบ.ตร. ตรวจสอบว่าเหตุใดผู้เสียหายแจ้งความกับพนักงานสอบสวนหลายครั้งถูกทำร้าย แต่คดีไม่คืบหน้า ส่งผลให้ผู้เสียหายต้องถูกทำร้ายซ้ำๆ เรื่อยมา และให้ผู้เสียหายยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยานในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาต่อไป กรณีนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องของการทำร้ายร่างกาย รวมถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ฝากถึงผู้ก่อเหตุ การเป็นผู้ชายแล้วทำร้ายร่างกายผู้หญิง เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ เมื่อเลิกรากันแล้วควรต่างคนต่างเดิน ไม่ควรมาทำร้ายราวีระรานใคร

ด้าน น.ส.ธัญญ์สมินธิ์ กล่าวว่า ตนกับผู้ก่อเหตุ คบหากันได้ 6 เดือน โดย 2-3 เดือนแรก ผู้ก่อเหตุเริ่มมีพฤติกรรมฉุนเฉียว พูดคนเดียว เก็บตัวอยู่ในห้อง และกระชากผมตนโดนกระทำมาตลอดทั้งข่มขู่คุกคาม ทำร้ายร่างกาย แม้กระทั่งตอนตั้งครรภ์ลูกของเขา ก็ถูกผลัก ถูกถีบสารพัดในโรงพยาบาล แม้กระทั่งในวันที่คลอดบุตรก็ยังโดนทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ เวลาผู้ก่อเหตุหงุดหงิดฉุนเฉียว ตนจะโดนทำร้ายร่างกายตลอด ทั้งนี้ตลอด 6 เดือน หลังที่ถูกทำร้ายร่างกาย ครบกันไม่ถึง 1 ปี ตนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ เกิดภาวะซึมเศร้า หวาดระแวงและวิตกกังวลง่าย เหมือนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีความสุข เห็นหน้าเขาแล้วกลัว และการเลิกรา ฝ่ายชายจะตามรังควานทุกครั้ง ตามไปที่บ้านหรือพอทราบว่าเราอยู่ที่ไหน เขาจะติดตามหาเราจากทุกช่องทางพยายามตามให้เจอตัวและไปทำร้ายร่างกาย ทั้งยังเคยด่าว่าตนตามที่สาธารณะ ตามร้านอาหาร โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ที่ผ่านมา หากเราทำอะไรที่ไม่ถูกใจเขานิดเดียว จะถูกทำร้ายร่างกายทุกอย่าง รวมไปถึงกระทำต่อหน้าคนอื่นๆ เขาไม่เคยให้เกียรติตนแต่อย่างใด

น.ส.ธัญญ์สมินธิ์ เผยอีกว่า การกระทำรุนแรงของเขาคาดว่าเกิดจากการที่มีสภาวะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดด้วยหรือไม่ เพราะตนเคยเห็นเขาถอดแมสก์แล้วมีผงขาวๆ ที่ปลายจมูก สอบถาม จนยอมสารภาพว่าเสพยามา และด้วยความที่ผ่านมา ตนไม่เคยอยู่ในสังคมคนเล่นยา เลยไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร แต่พอเขาสารภาพ ไปหาข้อมูลว่าอาการคนเล่นยาเป็นอย่างไร พบว่าพฤติกรรมที่เขาเป็น มีความคล้ายคลึงอย่างมาก

ครอบครัวเขารู้เห็นทุกการกระทำของลูกชาย เคยเห็นเอาหมอนปิดหน้า เห็นลูกชายกระชากผม แต่ครอบครัวเขาไม่เคยจัดการ วันนี้ตนไม่ไหวแล้ว เพราะเขาขู่ฆ่าครอบครัวของเรา อ้างว่าจะเล่นยาแล้วมาฆ่าเรา มาฆ่าลูกของเรา ที่ผ่านมา เขาเคยมีประวัติเรื่องการทำร้ายร่างกายคนอื่นๆ มาก่อนด้วย ทั้งนี้ ตั้งแต่เป็นข่าวไม่มีการติดต่อมาของครอบครัวเขา ตนพร้อมเอาผิดให้ถึงที่สุด ไม่ขอพูดคุย ต้องเข้าคุกเท่านั้น

น.ส.ธัญญ์สมินธิ์ เผยต่ออีกว่า ทุกครั้งที่ไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะบอกว่าเป็นเรื่องของครอบครัวไม่อยากยุ่ง ไม่มีแม้แต่ความช่วยเหลือที่จะให้กลับมา อย่างเหตุการณ์ที่ตนถูกทำร้ายร่างกายกลางร้านอาหารโอมากาเสะ พื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ตนได้ไปแจ้งความเพื่อขอภาพวงจรปิด ปรากฏว่าเจ้าของร้านไม่ให้ เพราะเกรงว่าจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงทำให้ไม่มีพยานหลักฐานเอาผิด นอกจากนี้ ผู้ก่อเหตุมักท้าทายทุกครั้งว่าไม่กลัว หากไปแจ้งความ อ้างว่ามีตำรวจให้ความช่วยเหลือ ส่วนความคืบหน้าล่าสุด ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กำลังดำเนินการให้ พนักงานสอบสวนจะมีการเรียกให้ผู้ก่อเหตุไปพบและรวมถึงรับทราบข้อกล่าวหา

ขณะที่ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวว่า การบุกรุกในเวลากลางคืนและทำร้ายร่างกาย ทั้งในท้องที่ สน.โคกคราม และ สน.ทุ่งมหาเมฆ ยืนยันว่าจะช่วยติดตามคดีให้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตในเรื่องของการทำร้ายร่างกาย และเมื่อได้ตัวผู้ก่อเหตุมา อาจจะต้องให้ตำรวจไปตรวจหาสารเสพติดด้วย ทั้งนี้ เมื่อสักครู่ ตนได้ประสานไปที่ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 โดยท่านสั่งการให้พนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด เรียกผู้ก่อเหตุเข้าไปพบและไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า จากนี้จะมอบหมายให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี ดูแลในเรื่องคุ้มครองสิทธิพยาน ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ อย่างไรก็ตาม กระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้ และจะประสานงานไปยัง สน.ท้องที่ สอบถามว่า มีการดำเนินคดีไปถึงขั้นไหนแล้วบ้าง รวมไปถึงได้ติดต่อไปยัง พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ด้วย เนื่องจากที่เกิดเหตุ 2 แห่ง อยู่ในความรับผิดชอบขอนครบาล เพื่อให้ท่านได้รับทราบและติดตามข้อมูลว่าเหตุใดคดีความถึงไม่มีความคืบหน้า จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ และถูกข่มขู่คุกคามอยู่บ่อยครั้ง

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ ฝากถึงสังคมด้วยว่า หากพบเห็นการทำร้ายร่างกายแล้วมีคนพูดว่าเป็นเรื่องของผัวเมีย แบบนี้เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ หากพบแล้วควรจะให้ความช่วยเหลือในขณะนั้น ถือเป็นความผิดกฎหมาย หากวันเกิดเหตุ มีผู้ร่วมเดินทางไปกับผู้ก่อเหตุด้วยอาจจะต้องถูกพิจารณาในเรื่องของการเข้าข่ายร่วมกันกระทำบุกรุกและทำร้ายร่างกายได้ ยืนยันว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมือง จะมีชื่อเสียงขนาดไหน หากกระทำผิดกฎหมาย เราดำเนินคดีหมด และผู้เสียหายจะได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นอน