เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า

พระเครื่อง : : เหรียญ เลื่อนสมณศักดิ์ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปี 2508 สร้างด้วยกันหลายเนื้อคือ เนื้อทองคำ เงิน ทองแดง ทองแดงกะไหล่เงิน\\\\nอัลปาก้า อัลปาก้า กะไหล่เงิน อัลปาก้า ชุบนิเกิ้ล\\\\nแบ่งบล็อกต่างๆได้ดังนี้\\\\n-บล็อก พิมพ์นิยม -บล็อกพิมพ์ธรรมดา -บล็อกชุบนิเกิ้ล -บล็อกไม่มีเส้นผ่านปาก\\\\\\n\\nสำหรับเหรียญนี้สภาพใช้ ถ่ายรูปใช้แสงแรงไปนิด แต่องค์จริงดูง่าย 

ราคา : ฿ติดต่อร้านค้า เช็คราคา

หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ เหรียญเสมาเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508 พิมพ์นิยม เนื้ออัลปาก้าเปลือย(ตัวตัดนิยม) เหรียญนี้รายละเอียดคมชัดทุกตัว ยันต์ไม่ล้ม และเส้นลายกนกขอบเหรียญต่างๆชัดลึก ผิวเหรียญจะเห็นน้ำทองกระจายอยู่ทั่วทั้งเหรียญ เหรียญนี้สวยสมบูรณ์จริงๆ รับประกันความแท้ตลอดชีพ

ปิดครับ

เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า
เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า


เหรียญกรมหลวงชุมพร หลังหลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร รุ่น ๑ วัดเวฬุวนาราม จ.นครปฐม เนื้อทองแดงรมดำ ด้านหน้ากรมหลวงชุมพร(พระบิดา) และด้านหลังเป็นหลวงพ่อสำเนียง เหรียญนี้ศักดิ์ศรี เทียบเท่าเหรียญรุ่นแรกหน้าเณร หลังท้องกะทะ ก็ว่าได้ หลวงพ่อสำเนียง ท่านเป็นบุตรของเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กับหม่อมทองนุ่น เกิดเมื่อวันที่ ๕ ต.ค. ๒๔๖๐ ที่วังไชยา โดยเสด็จเตี่ยได้นำท่านไปฝากไว้กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าในวัยเด็ก และท่านก็ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิตในเวลาต่อมา

ประสบการณ์มากมายไม่ว่าจะปราบเสือ(โจร) ผู้ร้ายโดยการเนรมิตกาย เรื่องมหาอุตม์คงกระพันแคล้วคลาดเจอกันมานักต่อนักแล้ว***************************************************** หลวงพ่อสำเนียงท่านเป็นพระเกจิที่เก่งมากตัวจริงเลย ทั้งทางด้านสรรพวิชาต่างๆที่ได้รับสืบทอดมาจาก หลวงปู่ศุข และเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร พระเครื่องของท่านนั้นความนิยมอาจจะไม่กว้างนักแต่ ผู้ที่เก็บสะสมบูชารวมถึงคนในพื้นที่ล้วนต่างทราบ คุณวิเศษของท่านทั้งนั้น และท่านยังป็น 1 ในคณาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกพิธี 25 พุทธศตวรรษด้วย หลวงพ่อสำเนียงท่านเป็นพระโอรสของ เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กับ หม่อมทองนุ่น เกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2460 ที่วังไชยา ก่อนที่หลวงพ่อสำเนียงจะถือกำเนิดมาดูโลกนั้น นายเอม อยู่สถาพรเป็นพระสหายของเสด็จเตี่ย ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ขณะที่หม่อมแม่ทรงพระครรภ์ได้ 2 เดือน เสด็จเตี่ยได้รับคำสั่งจากทางราชการให้ไปรับเรือหลวงพระร่วงที่ต่างประเทศ จึงได้พาหม่อมแม่ไปฝากไว้กับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาทซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์ของเสด็จเตี่ย โดยให้นายเอม อยู่สถาพรซึ่งเป็นพระสหายเป็นผู้ดูแล ตัวหลวงพ่อสำเนียงจึงกลายเป็นลูก 3 พ่อ ซึ่งเสด็จเตี่ย คือ พ่อผู้ให้กำเหนิด นายเอม เป็น พ่อเลี้ยงดู พร้อมกับ หลวงปู่ศุข เป็นพ่อ ผู้ดูแลให้การศึกษาเล่าเรียน หลวงพ่อสำเนียงใช้นามสกุลของนายเอม คือ อยู่สถาพร (ในหนังสือไม่ได้ระบุสาเหตุ)ได้อยู่กับหลวงปู่ศุขจนเติบโต จึงได้มาศึกษาในก.ท.ม.ที่ร.ร.อัสัมชัญ จนจบมัธยมปลายจากนั้นไปศึกษาต่อที่ร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า จนจบจึงได้รับราชการทหารบกจวบได้รับยศร้อยเอกและเคยได้ร่วมสมรภูมิถึง 2 ครั้งคือสงครามอินโดจีนและสงครามมหาบูรพา พอกลับจากศึกสงครามถูกมรสุมร้ายทางการเมืองกระทำเอาถูกจองจำพร้อมกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม - หลวงเสรี - หลวงวิจิตรวาทการ และคนอื่นๆในข้อหาอาชญากรสงคราม เมื่อได้รับการปลดปล่อยหลวงเสรีได้ไปบวชที่วัด เบญจมบพิตร ส่วนหลวงพ่อสำเนียงท่านไปบวชอยู่ที่วัดกัลยาณมิตรฝั่งธนบุรี ท่านตั้งใจบวชเพียง 15 วันแต่พอบวชได้ 3 วันก็มีเหตุการณ์เมืองขึ้นมาอีกจึงทำให้ท่านเปลี่ยนความตั้งใจ เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิงจอมพล ป. พิบูลสงครามได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง แต่ต้องการให้หลวงพ่อสำเนียงกลับไปรับราชการอีก #ทว่าท่านไม่ยอมสึกทั้งได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะขอยึดเอาผ้ากาสาวพัสตร์หุ้มห่อร่างกายจนกระทั่งตาย ก่อนที่หลวงพ่อสำเนียงจะมาบุกเบิกทุ่งร้างกลางป่าทึบให้มาเป็นวัดวาอารามอันพรั่งพร้อมไปด้วย โบสถ์ วิหาร ศาลา โรงธรรมที่สวยงามนั้น ท่านกล่าวว่า ขณะที่ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใน ก.ท.ม. ท่านได้เกิดนิมิตขึ้นว่าได้เห็นปราศาทร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งการนิมิตเห็นนี้ไม่ได้หลับตาเห็น แต่เป็นแบบลืมตาเห็นภาพขึ้นมา เมืองร้างแห่งที่ท่านพบเห็นในนิมิตนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังอยู่มากมายมหาศาล คนเฝ้าสมบัติล้ำค่านี้บอกกับท่านว่า ใครจะมาเอาสมบัติเหล่านี้ไปไม่ได้ คนที่จะมาเป็นเจ้าของจะต้องมาสร้างเมืองนี้ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเหมือนเดิมเสียก่อน และคนที่จะมาอยู่เมืองนี้ได้จะต้องเป็นคนดี มีศีลธรรม ถ้าไม่เช่นนั้นจะหาความเจริญขึ้นมาไม่ได้นอกจากพินาศล่มจมเท่านั้น เพราะสถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งเมืองธรรมานครอมรวดีศรีธานินทร์ มหินทรามหาเลิศลบภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์มาก่อน หลังจากหลวงพ่อสำเนียงได้นิมิตเห็นเมืองธรรมานครแล้วท่านเดินทางสู่เมืองร้างแห่งนี้โดยทางรถไฟไปลงสถานีงิ้วราย จากนั้นลงเรือต่อไปตลาดลำพญาต่อเรือไปอีก 3 ช.ม.จึงถึงตลาดลำพญาจากตลาดเดินเท้าอีก 4 ก.ม.โดยประมาณจึงถึงวัดแหลมชะอุย เป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่าเหลือแต่ซากปรักหักพัง พอให้รู้ว่าสถานที่นั้นเคยเป็นวัดมาก่อนที่ๆแห่งนั้นเมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปหมด ทำให้สถานที่นั้นร่มรื่นและเงียบสงัดวังเวงยิ่งนัก จึงมีสัตว์นาๆชนิด เช่นงูเห่า งูจงอางเป็นต้นเพราะปราศจากผู้คนสัญจรไปมา มีแต่บริเวณทุ่งกว้างที่ร้างซึ่งมีเด็กเลี้ยงควายอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้น เด็กพวกนั้นปราศจากเสื้อผ้านุ่งห่มเพราะความแห้งแล้งทุรกันดารความยากจนของครอบครัว พ่อแม่เด็กเหล่านั้นหากินทางทุจริตลักลอบหาวัตถุโบราณในบริเวณวัดร้างแห่งนี้เพื่อนำเอาไปขาย เมื่อท่านไปถึงท่านได้เดินเข้าไปดูในโบสถ์ปรากฏว่าถูกปัดกวาดดูสะอาดสะอ้าน คล้ายกับมีคนมาอาศัยอยู่ ท่านจึงตัดสินใจที่จะอยู่ ณ. วัดร้างแห่งนี้ โดยท่านตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะพัฒนาวัดร้างแห่งนี้ร่วมกับชาวบ้านในถิ่นนี้ให้เจริญ ท่านจึงได้ยึดเอาโบสถ์เป็นที่อยู่อาศัย แต่ท่านหารู้ไม่ว่าที่แห่งนี้คือที่ซ่องสุมของพวกโจรและเสือร้ายปล้นฆ่าชื่อดัง คือ เสือแคล้ว เสือสด เสือเลียง เสือสมหมาย เสือผาด ทั้ง 5 เสือดังกล่าวทางการได้หมายหัวเอาไว้แล้วว่าต้องจับตายลูกเดียว พวกนี้หาทรัพย์มาได้เท่าไหร่ก็จะนำมาแบ่งปันที่นี่ประจำเพราะเป็นจุดศุนย์กลางระหว่างจังหวัดนนทบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี มีอยู่วันหนึ่งเสือร้ายเหล่านั้นปล้นทรัพย์ได้มาก็นัดกันมาแบ่งสมบัติที่โบสถ์ร้างแห่งนี้ เมื่อเสือแคล้วมาแอบเห็นหลวงพ่อสำเนียงอยู่ในวัดก็สบถจะต้องฆ่าพระองค์นี้ให้ได้ เพราะกลัวท่านมารู้เห็นความลับ อีกหรือท่านปลอมมาเป็นพระเพื่อมาสืบจากทางราชการ เสือแคล้วจึงตกลงกับพวกอีก 4 เสือจะต้องฆ่าท่านคืนแรกเสือแคล้วมาคนเดียวก้าวเข้าไปยืนในโบสถ์เห็นเพียงแสงเทียนสลัวๆพอเห็นว่ามีพระนั่งสมาธิอยู่ เมื่อเพ่งเข้าไปหมายจะฆ่าหลวงพ่อปรากฏว่า คุณพระช่วยภาพที่เขามองเห็นไม่ได้มีพรอยู่องค์เดียวเหมือนที่เขาเห็นตอนกลางวันเสียแล้ว เพราะภายในโบสถ์เต็มไปด้วยพระสงฆ์ห่มสีกลักกำลังนั่งสมาธิเต็มไปหมด พระเหล่านั้นต่างนั่งสมาธิอย่างสงบโดยไม่สนใจกับภายนอกโบสถ์เลย เสือแคล้วนึกอยู่ในใจว่าพระมาจากไหนเยอะแยะก็ตอนกลางวันเห็นมีอยู่องค์เดียว ส่วนมือยังกำปืนแน่นอยู่ในลักษณะพร้อมยิงเสมอ ในที่สุดก็เลิกล้มความตั้งใจ เพราะไม่ทราบว่าจะทำวิธีไหนที่จะฆ่าพระได้หมด หลังจากนั้นสหายอีก 4 เสือก็ผลัดกันมาทุกคืนโยผัดเปลี่ยนกันกับเพื่อนทุกคนในกลุ่ม ผลปรากฏว่าเหตุการณืเหมือนกันทุกครั้ง 4 วันเต็มๆ ผลสุดท้ายเขาและเพื่อนยอมแพ้ในอภินิหารที่ได้ประสพมาจึงไม่อาจฆ่าท่านได้ ซึ่งคงเป็นเพราะบารมีของท่านซึ่งปฏิบัติธรรมเคร่งครัดเสมอมานั่นเอง เช้าของวันที่ 5 พวกเสือร้าย 5 คนได้ปรึกษาหารือกันเข้าไปกราบหลวงพ่อสำเนียงในโบสถ์และเล่าความจริงให้ท่านฟัง พวกเขาแนะนำตัวเองหลวงพ่อจึงถามไปว่า โยมพากันมาทำไมที่นี่ เสือแคล้วและพวกจึงสารภาพว่าต้องการมากราบขอขมาหลวงพ่อ กรรมใดที่ได้ล่วงเกินท่านไว้ขอให้ท่านอโหสิกรรมแก่พวกเขา หลวงพ่อท่านว่า เวรของผู้จองเวรย่อมไม่ระงับ แต่เวรของผู้ที่ไม่จองเวรย่อมระงับ อาตมาอโหสิให้ แต่กรรมโยมได้กระทำไปนั้นไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน กรรมนั้นย่อมตอบสนองในภายหลังไม่มีใครให้อภัยได้ ดังนั้นขอโยมจงหยุดการกระทำชั่วนั้นๆเสียแล้วให้เริ่มทำความดีต่อไป หมั่นรักษาศีลเพราะศีลจะทำให้ผู้ปฏิบัติให้เป็นผู้ที่สมบูรณ์ในโภคทรัพย์ ทั้งในภพปัจจุบันนี้และจะนำสู่สุขคติและนิพพานในภพหน้า เมื่อได้รับฟังธรรมะจากหลวงพ่อ เสือร้ายทั้ง 5 สำนึกผิดและซาบซึ้งในโอวาสของหลวงพ่อสำเนียง พวกเขาพร้อมที่จะปฏิบัติตามจึงได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน พร้อมได้ปวาราณาตัวว่าจะเลิกทำชั่ว แล้วตั้งอยู่ในศีลธรรมต่อไป

 

ปิดครับ

เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า
เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า


หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดประสิทธิธรรม อุดรฯ

บูชา 1,500 บาท

วัตถุมงคลที่ทันท่านปลุกเสกคือเหรียญรุ่นแรกของท่าน ปี2506 แท้ๆ สวยๆ ราคาเช่ากันที่ 200,000 บาทขึ้นไปครับ สร้างน้อย หายากมากๆ

จีวรลงยันต์ด้วยตัวท่านเอง เจ้าของเดิมเลี่ยมพร้อมรูปถ่ายท่าน

ประวัติ “หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ”
อดีตเจ้าอาวาสวัดประสิทธิธรรม ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี พระเกจิอาจารย์แห่งเมืองอุดรธานี และเป็นพระคณาจารย์ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

เคยใช้ชีวิตแบบฆราวาส แต่พอปลงกับชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย สามารถปลงได้และเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ อยู่ในสมณเพศตลอดชีวิต

มีนามเดิมว่า พรหม สุภาพงษ์ เป็นบุตรคนหัวปีของนายจันทร์ และนางวันดี สุภาพงษ์ เกิดเมื่อ พ.ศ.2431 ปีขาล ที่บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาและมารดาเป็นชาวนาชาวไร่

นับตั้งแต่เยาว์วัย เติบโตขึ้นมาท่ามกลางท้องทุ่งนาป่าดง ครั้นเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม ก็ยังคงมีความสงสัย มีความครุ่นคิดอยู่ว่า “คนเราเกิดมาแล้วนี้ จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร อะไรคือความสุข ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน”

ต่อมาได้ครองเรือน เมื่อมีอายุ 20 ปี แต่งงานครั้งแรกกับศรีภรรยาชื่อ พิมพา ต่อมาย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านดงเย็นกับศรีภรรยา และอยู่กินกันจนมีลูก 1 คน เป็นลูกชาย พอคลอดออกมา ภรรยาและลูกชายเสียชีวิตพร้อมกัน

รู้ว่าความสุขท่านหายไปแล้ว แต่ในตอนนั้นท่านก็ยังอยากใช้ชีวิตแบบฆราวาสอีก กระทั่งมีภรรยาคนที่ 2 กับนางกำแพง อยู่ด้วยกันนานถึง 5 ปี แต่คราวนี้ไม่มีลูก

ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน นำลูกบ้านเลี้ยงโค-กระบือ ในสมัยนั้น


กาลต่อมาพระอาจารย์สาร มาที่หมู่บ้านดงเย็น และสั่งสอนอบรมคนในหมู่บ้าน จนก็มีใจที่จะบวช และเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2469 ขณะมีอายุได้ 37 ปี ที่วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดราชธานี มีพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูประสาทคุณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “จิรปุญโญ”

เรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติและเดินธุดงค์เท้าเปล่ากับพระอาจารย์สารเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นจึงลาพระอาจารย์เดินธุดงค์ไปทั่วภาคอีสานและในประเทศลาว พร้อมหลานชาย 1 คน และเมื่อจะธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อแสวงหาหลวงปู่มั่น ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับหลวงปู่ชอบ พระสหธรรมิก

ครั้นเมื่อได้พบหลวงปู่มั่นแล้ว ได้รับฟังโอวาทและประพฤติปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงปู่มั่นอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ไปทั่วภาคเหนือ

เวลาต่อมา อยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส และศึกษาพระธรรมวินัยกับหลวงปู่มั่น จนกระทั่งมีความรอบรู้

ธรรมะคำสั่งสอนอบรมให้แก่คณะศิษย์ ให้จงทำแต่ความดีที่มีคุณประโยชน์ จงอย่าทำความชั่ว มีสติปัญญา พิจารณาตรึกตรองให้มีทาน มีศีล มีภาวนา ก็จะบังเกิดปัญญาธรรมอันล้ำค่ามหาศาล

ที่วัดบ้านดงเย็น มักมีบรรดาผู้เดินทางไปกราบนมัสการอยู่เสมอๆ แม้หนทางในสมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวกอย่างเช่นปัจจุบันนี้ การเข้าไปพบเพื่อนมัสการมิใช่ของง่าย ทางก็ไม่ดี อีกทั้งยังเป็นป่าไม้อันหนาแน่น ถึงกระนั้นทุกคนก็ได้พยายามจนไปถึงที่ท่านจำพรรษาอยู่อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง

มีบุคคลที่ไปทำบุญด้วยแต่มีสิ่งหวังตั้งใจมา จะพูดเตือนสติทันทีเมื่อพบหน้ากัน ดังนี้ “การที่จะทำบุญทำทานนั้นต้องมีใจตั้งมั่นและให้เกิดศรัทธาในบุญกุศลทานเสียก่อน ถ้าไม่ศรัทธา ใจไม่ตั้งมั่นแล้ว…อย่าทำ…จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย..”

บางคราวจะมีญาติโยมชาย-หญิง ที่เดินทางไปถึง ก็เที่ยวเดินชมวัดและบริเวณต่างๆ แล้วพูดคุยในลักษณะประจบทำบุญเอาหน้าเอาตากันว่า…ฉันจะต้องมาสร้างโน่นมาสร้างนี่ จะทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่จิตใจนั้นมีเจตนาหวังผลหรือตั้งตัวเองให้เป็นผู้มีสนิทชิดเชื้อกับตัวท่าน มีบุญมีคุณต่อท่านแล้ว ท่านมักจะเตือนว่า ถ้าไม่ศรัทธา มีเจตนาเป็นอื่น ก็ไม่ควรจะทำ

แต่ถ้าญาติโยมคนใดเข้าไปนมัสการและมีเจตนาดี มองเห็นคุณ มองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นโดยส่วนรวมแล้ว แม้ยังไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดเลย ก็จะอนุโมทนาและกล่าวขึ้นพอเป็นปฐมดังนี้ว่า “ท่านมีเจตนาดีก็ทำไปเถิด เพราะสิ่งนั้นเป็นบุญเป็นกุศล”

มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2512

สิริอายุ 81 ปี พรรษา 44

 

เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า
เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า
เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า
เหรียญ เลื่อน สมณศักดิ์ ปี 08 เนื้อ อัลปาก้า


สีผึ้ง,เทียนชัย สำนัก ที่4 สีผึ้งคงกระพัน หลวงพ่อเม็ด(บุญมี) วัดบึงกระจับ อ.พนามสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ และหลวงพ่อฟู
วัดบางสมัคร
หลวงพ่อพรหม วันขนอนเหนือ ท่านจะยอมรับอยู่ 4 รูป คือ
1. หลวงพ่อจุ้ย วัดพงษาราม
2. หลวงพ่อเม็ด วัดบึงกระจับ รูปนี้ไม่ธรรมดาเชี่ยวชาญ วิชากันพรายน้ำ เขี้ยวงายาสั่ง ทุกชนิดคงกระพันก็เยี่ยม
3. หลวงพ่อกวย ของพวกเรา ภายหลังไปมาหาสู่กันเลย
4. หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน ภายหลังหลวงพ่อพรหม นิมนต์มาปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นนารายณ์ครองเมืองถึงวัดขนอนเหนือ
เมื่อ ปี 2521

สีผึ้งเทียนชัยสำนักนี้เป็นสีผึ้งที่ออกจากแหวกแนวกว่าสำนักใด เพราะมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน ผู้เขียนมีญาติของรุ่นพี่ท่านนึงเคยมีประสบการณ์ด้านคงกระพันกับสีผึ้งลูกอมหลวงพ่อเม็ด โดยโดนดักยิงขณะขับมอเตอร์ไซต์บริเวณศรีษะแต่กระสุนทะลุแก้มไปตกอยู่ในปาก ทั้งเนื้อทั้งตัวแขวนเพียงลูกอมสีผึ้งของหลวงพ่อเม็ดเพียงอย่างเดียวทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์
จริงๆแล้วหลวงพ่อเม็ด ท่านไม่ได้ชื่อเม็ดนะครับ ท่านชื่อ “บุญมี” เหตุที่เรียกเม็ดเพราะท่านทำเม็ดอมสีผึ้งนี้แจก พอคนไปขอๆกับท่านก็พลอยเรียกท่านว่า

“หลวงพ่อเม็ด”พระครูวิชัยบุญสาร นามเดิม บุญมี (เม็ด) นามสกุล จันทรสุวรรณ์ เกิดวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๔๙ ที่บ้านบึงกระจับ หมู่ที่ ๑๐๐ตำบลหนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บิดาชื่อ เฉย มารดาชื่อ ชม นามสกุล จันทรสุวรรณ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม ๔ คนคือ ๑ นางเหลี่ยม ทัพมงคล ๒. นายล้วน จันทรสุวรรณ์ ๓. พระครูวิชัยบุญสาร (บุญมี หรือ เม็ด) ๔ นายหนู จันทรสุวรรณ์ ในวัยเด็กหลวงพ่อได้ศึกษาหาความรู้จนอ่านออกเขียนได้ เมื่ออายุครบเกณฑ์ได้เข้าอุปสมบท ที่วัดบึงกระจับในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๖๙ พระสมุห์ก้อย วัดมหาเจดีย์ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้เริ่มการทำวัติปฏิบัติ ฝึกการเจริญสมาธิ ใช้จิตภาวนาและเรียนวิปัสสนากัมมัฎฐานได้ออกธุดงค์วัตร
สำหรับวิชาลูกอมนี้ #นอกจากจะมีพุทธคุณทางคงกระพันแคล้วคลาดกันเขี้ยวงาแล้ว อาถรรพ์ในป่าลึกหรือสถานที่มีวิญญาณมาก ยัง กันพรายน้ำ และ กันสิ่งแปลกปลอมอาถรรพ์ที่ปะปนมากับสายน้ำด้วยการทำวิชาทำคุณไม่ได้ทำกันมาตามอากาศทางเดียว ใครที่ว่าแน่ๆเสร็จทางน้ำกับพวกพรายและวิชาที่ทำมาทางน้ำทั้งนั้น เพราะเมื่อหมดสติก็จมน้ำ ขาดอากาศหายใจน้ำแค่คืบก็ตายเรื่องพรายน้ำหลวงพ่อเม็ดดังมาก มีหนังสือพระรายเดือนหลายปีก่อนเขียนประวัติท่านไว้ด้วย ว่าท่านสามารถจับ พรายน้ำ ขึ้นมาได้ โดยนำสายสิญจน์มีดินเหนียวเป็นลูกตุ้มหย่อนลงน้ำ ท่านอยู่บนแพแล้วลากแพไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายสิญจน์ มีอาการเหมือนปลาติดเบ็ด เมื่อดึงขึ้นมาปรากฏ มีสิ่งมีชีวิตตัวใสเหมือนแมงกะพรุน หน้าตาเหมือนเด็กเหี่ยวๆมีฟันแหลม ดิ้นไปมาปรากฏพ่อเด็กที่ถูกพรายน้ำตัวนั้นเล่นงานตรงเข้ามากระทืบเละคาเท้าเลย อาการเมื่อโดนพรายน้ำทำร้ายคือ ขาจะชาไม่มีแรงจมน้ำเข้าใจว่าพรายน้ำพวกนี้จะดูดเลือดเป็นอาหาร เพราะใครจมน้ำเสียชีวิตถ้าไม่นานตัวจะไม่ซีดมาก แต่ถ้าโดนพรายน้ำเล่นงานว่ากันว่าเลือดไม่รู้ไปไหนหมดไม่มีเอาเสียเลย ตัวจะซีดและเขียวมากทั้งที่จมน้ำไปไม่เกิน ช.ม. (ใช้วิจารณญาณในการอ่าน) สาเหตุที่ท่านเชี่ยวชาญวิชานี้เป็นพิเศษ เพราะหลังวัดท่านเป็นบึงชื่อ บึงกระจับ
วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำเวลา ๒๒.๒๐ น. ท่านได้มรณะภาพลง สิริอายุรวมได้ ๘๗ ปี พรรษานับได้ ๖๗
Cr:ศรัทธา หลวงพ่อเม็ด (บุญมี) วัดบึงกระจับ / g-pra.com