ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายการให้คำนิยามของคำว่า กฎหมาย อาจแตกต่างกันไปตามสำนักความคิด แต่อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วคำว่ากฎหมายอาจอธิบายได้ ดังนี้ Show กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐ หรือผู้มีอำนาจสูงสุด (รัฏฐาธิปัตย์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม และมีสภาพบังคับเป็นเครื่องมือในการทำให้บุคคลในสังคมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับนั้น กฎหมายมีลักษณะ 5 ข้อ ดังต่อไปนี้
การเกิดของกฎหมาย กฎหมายที่เกิดในยุคแรกๆ นั้น เกิดจากความรู้สึกของมนุษย์และการประพฤติปฏิบัติของคนในสังคม เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก สามารถเข้าใจกันได้ว่าสิ่งนี้ผิด และปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน เราเรียกกฎหมายยุคนี้ว่า กฎหมายชาวบ้าน ต่อมาเมื่อสังคมมีการพัฒนามากขึ้น กฎหมายที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาอีกต่อไป ระบบกฎหมายระบบกฎหมายที่สำคัญของโลกปัจจุบันมี 2 ระบบ คือ ลำดับการใช้กฎหมายของไทยลำดับการใช้กฎหมายของไทยนั้น ปรากฏอยู่ในมาตรา 4 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยจะนำมาใช้ในกรณีที่เกิดช่องว่างทางกฎหมาย อันเป็นเครื่องมือให้ศาลหากฎหมายมาใช้พิจารณาคดีเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับคู่กรณีได้ เพราะศาลไม่อาจอ้างว่าไม่มีกฎหมายมาปรับใช้กับคดีเพื่อที่จะไม่ตัดสินคดีได้ โดยลำดับในการใช้มีดังต่อไปนี้
วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทย
การวิวัฒนาการของกฎหมายในประเทศไทยนั้น อาจแบ่งได้เป็น 2 ยุคที่สำคัญ คือ ยุคกฎหมายไทยเดิมและยุคกฎหมายไทยสมัยใหม่ ทั้งนี้ จุดแบ่งดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนแน่นอนเท่าใดนัก เนื่องจากนักประวัติศาสตร์กฎหมายหลายท่านมีความเห็นแตกต่างกัน กล่าวคือ
บางท่านเห็นว่าควรเริ่มนับจาสมัยรัชกาลที่ 4 นับแต่มีการปฏิรูปประเทศ แต่บางท่านเห็นว่าควรเริ่มนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปกฎหมายและปฏิรูปการศาล ด้วยเหตุนี้จุดแบ่งทีควรจะเป็นในการใช้แบ่งยุคสมัยทางกฎหมาย ก็คือการที่กฎหมายไทยยุคดังเดิมถูกยกเลิก มีการชำระกฎหมายและยกร่างประมวลกฎหมายตามแบบตะวันตก ต่อมา เมื่ออาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรอยุธยาก็เข้ามาแทนที่โดยเป็นอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่ขึ้น มีความรุ่งเรืองมากขึ้น แต่มีลักษณะประเพณีทางการปกครองที่แตกต่างกัน ดังนั้น ลักษณะกฎหมายที่ปรากฏจึงมีความแตกต่างไปด้วย กล่าวคือ ในสมัยสุโขทัย กฎหมายจะอิงตามหลักพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่และมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก แต่ในสมัยอยุธยานั้นได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียและมีการปกครองแบบเทวราชา คือ กษัตริย์เป็นสมมติเทพ อย่างไรก็ดี การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักการสำคัญคือ ทศพิธราชธรรม และ ประพฤติธรรม 4 ประการ ทั้งนี้เอกสารสำคัญที่แสดงถึงวิวัฒนาการทางด้านกฎหมาย สังคม และวัฒนธรรมที่สำคัญนับแต่สมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นก่อนที่จะมีการชำระกฎหมายและจัดทำประมวลกฎหมายแบบตะวันตกและถือว่าเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย ก็คือ กฎหมายตราสามดวง ซึ่งถูกใช้นับแต่ยุคอยุธยาและส่งต่อกันเรื่อยมา แม้บ้านเมืองจะถูกเปลี่ยนผ่านหรือถูกรุกรานอย่างไร ก็จะมีการส่งต่อหลักเกณฑ์ที่อยู่ในกฎหมายตราสามดวงเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 1 คือ คดีอำแดงป้อม แล้วเกิดเหตุอันไม่เป็นธรรมขึ้น ผู้ถูกหย่าจึงทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 พระองค์ท่านเห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงมีรับสั่งจัดตั้งคณะกรรมการชำระกฎหมายตราสามดวงขึ้น ให้ทำการรวบรวมเอกสารทางกฎหมายทีหลงเหลืออยู่มาตรวจสอบหาความถูกต้อง เพื่อทำการชำระกฎหมายให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ต่อมาในยุคล่าอาณานิคม ประเทศไทยก็เป็นเป้าหมายของประเทศตะวันตกเช่นกัน
และความไม่ทันสมัยของกฎหมายไทย ก็เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ชาติตะวันตกใช้เป็นเครื่องมือในการเอารัดเอาเปรียบประเทศไทย เช่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับอังกฤษ อันทำให้ไทยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไป การที่ไทยเสียสิทธิทางการศาลให้แก่ศาลตะวันตกหลายประเทศ แม้จะทำให้ไทยเสียเปรียบเป็นอย่างมาก แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่นำมาซึ่งการปฏิรูปประเทศในด้านการปกครอง กฎหมายและการศาล เศรษฐกิจ คมนาคม การศึกษา และขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทรงทำการปฏิรูปการศาลจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม ยกเลิกธรรมเนียมหมอบคลาน เลิกทาส ยกเลิกระบบไพร่ ยกเลิกการพิจารณาความโดยใช้จารีตนครบาล ประกาศใช้ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 และเริ่มจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2440 มาแล้วเสร็จสมบูณ์เมื่อ พ.ศ.2477 โดยระบบกฎหมายของไทยที่นำมาเป็นต้นแบบในการปฏิรูปกฎหมายคือระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรหรือ Civil Law นั่นเอง แม้ในตอนแรกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจอมอยู่หัวกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรดฤทธิ์ จะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของระบบกฎหมายที่ไทยควรนำมาใช้เป็นแบบอย่าง กล่าวคือ ระบบศาลไทยศาลไทยนั้นใช้ระบบศาลคู่ คือมีทั้งไต่สวนและกล่าวหา แยกระบบของผู้พิพากษาและแยกองค์กรศาลปกครองออกจากระบบศาลยุติธรรม
|