เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ที่เปิดตัวด้วยกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ iPhone 11 และ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไรมาชมกันเลย สำหรับดีไซน์หลักๆ ด้านหน้าจะมีรอยบากเหมือนเดิม ขณะที่ด้านหลังก็มาตามภาพหลุดด้วยกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ทางมุมซ้ายบน โดย iPhone 11 จะมีกล้อง 2 เลนส์ ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมีกล้องหลัง 3 เลนส์เหมือนกัน โดย iPhone 11 มาพร้อมกับกล้อง 2 เลนส์ความละเอียด 12 (Wide ซูม 2 เท่า) รูรับแสง f/1.8 + 12 (Ultra-Wide) ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 โดยกล้องหน้ามาพร้อมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.2 และสามารถถ่ายวิดีโอ Slow-Motion ได้ ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ความละเอียด 12 (Wide) + 12 (Ultra-Wide) ล้านพิกเซล + 12 (Telephoto) ล้านพิกเซล โดยมีกล้องหน้าความละเอียดเหมือนกัน ด้านฟีเจอร์กล้องก็จัดเต็มมีเพิ่มเข้ามาเพียบไม่ว่าจะเป็น Night mode แบบใหม่ ที่จะเพิ่มความสว่างให้ภาพอย่างมาก โดยจำถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพรวมไว้เป็นภาพเดียว, Portrait Mode สามารถใช้งานร่วมกับสัวต์เลี้ยงได้แล้ว, สามารถถ่ายภาพขณะถ่ายวิดีโอได้ ขณะที่กล้องหน้าจะมี FaceID ที่เร็วขึ้น และสามารถถ่าย Slow-Motion ได้ในนาม “Slofies” iPhone 11 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 5.8 และ 6.5 นิ้วตามลำดับ ใช้หน่วยประมวลผล A13 Bionic เหมือนกันทั้งหมด ควบคู่กับ GPU ที่ทาง Apple บอกว่าเร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน และเรื่องของแบตเตอรี่ iPhone 11 สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone XR 1 ชั่วโมง ขณะที่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone XS และ iPhone XS Max อยู่ 4-5 ชั่วโมงตามลำดับ สรุปสเปค iPhone 11
สรุปสเปค iPhone 11 Pro
สรุปสเปค iPhone 11 Pro Max
iPhone 11 มีให้เลือกทั้งหมด 6 สีด้วยกัน ได้แก่ ดำ, เขียว, เหลือง, ม่วง, สีแดง (PRODUCT) RED และขาว iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน และสีใหม่อย่างเขียวมิดไนท์กรีน ราคาและวันวางจำหน่าย
โดยจะเริ่มเปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนนี้เป็นต้นไป |