Show
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ขอสินเชื่อทุกคนจะต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจขอสินเชื่อกับทางธนาคาร บทความนี้จะขอพาทุกท่านมาทำความรู้จัก อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เขาคิดกันอย่างไร เพื่อที่ผู้ขอสินเชื่อจะได้วางแผนการเงินถูก ทำความรู้จัก อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เขาคิดกันอย่างไรดอกเบี้ยเงินกู้ เรามักจะได้ยินคำว่าร้อยละ หรือเปอร์เซนต์ โดยจะคิดเป็นต่อปี คำนวณจากเงินต้นที่หยิบยืมไป เช่นร้อยละ 10 ต่อปี หมายถึงหากนายดำปล่อยเงินกู้ให้นายแดง 100 บาท โดยตกลงว่าจะต้องจ่ายคืนในระยะเวลา 1 ปี นายดำก็จะได้เงินจากนายแดงไปใช้ แต่ภายในเวลา 1 ปี นายแดงจะต้องหาเงินมาคืนนายดำ 100 บาท พร้อมดอกเบี้ยเงินกู้อีก 10 บาท เป็น 110 บาทนั้นเอง การกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้นมักจะมีอัตราดอกเบี้ยซึ่งถูกควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันกำหนดไม่ให้เกินร้อยละ 15 ต่อปี นอกจากนั้นเรายังอาจเคยได้ยิน ดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงตัว กับแบบลดต้นลดดอก เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้กู้ต้องทำความเข้าใจ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยกันก่อน โดยอาจะแบ่งตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงของมัน ดอกเบี้ยเงินกู้นั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
MLR, MOR และ MRR คืออะไร?คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้อ้างอิงในการเรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้า ซึ่งมีลักษณะเป็นดอกเบี้ยลอยตัว เช่น
พอทราบถึงอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินใช้แล้ว เราก็มาดูวิธีการคำนวณดอกเบี้ยกันบ้าง โดยมีอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ วิธีการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) กับแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)
มักใช้สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งจะคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งก้อนในตอนแรกสุดตลอดอายุของสัญญาแม้ว่าลูกค้าจะได้ทยอยผ่อนชำระเงินต้นบางส่วนแล้วก็ตามดอกเบี้ยเงินกู้ แบบเงินต้นคงที่ จะไม่สามารถนำเงินก้อนมาปิดยอดเงินต้นได้ก่อนถึงกำหนดชำระ ถึงแม้จะจ่ายก่อนดอกเบี้ยก็เท่าเดิม ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการจ่ายตามกำหนดเวลานั่นเอง มีวิธีการคำนวณดังต่อไปนี้ ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระยะเวลา (ปี) จำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวด = เงินต้น + ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด / จำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระทั้งหมด ตัวอย่างเช่น วัลลภทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์กับธนาคารแห่งหนึ่ง มูลค่า 100,000 บาท ธนาคารคิดดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี กำหนดระยะเวลาในการเช่าซื้อ 2 ปี หรือ 24 เดือน สัญญากำหนดให้วัลลภต้องชำระเงินแก่ธนาคารทุกเดือน วัลลภจะต้องชำระเงินให้แก่ธนาคารเดือนละเท่าใด
การคิดดอกเบี้ยแบบนี้ใช้ในการคำนวณดอกเบี้ยของสินเชื่อเกือบทุกประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวดส่วนมากเงินกู้แบบนี้ เราสามารถนำเงินก้อนมาปิดยอดได้ก่อนถึงกำหนดชำระ แต่อาจจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการปิดบัญชีก่อนเวลาที่ตกลงแต่แรกเพราะทำให้ธนาคารเสียกำไรไป โดยทั่วไปมีสูตรการคำนวณดังนี้ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย = เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด / จำนวนวันใน 1 ปี* เงินต้นที่ลดลง = จำนวนเงินที่ต้องจ่ายในงวดนั้น - ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น เงินต้นคงเหลือ = เงินต้นคงเหลือจากงวดก่อน - เงินต้นลดลง * จำนวนวันในหนึ่งปีอาจเป็น 360 วันหรือ 365 วันแล้วแต่ธนาคาร กรณีกำหนดให้ชำระหนี้เดือนละเท่าๆ กัน สมมติว่า ต้องการกู้เงิน 12,000 บาท ระยะเวลาผ่อน 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 24% ต่อปี สถาบันการเงินจะคำนวณจำนวนเงินผ่อนต่องวดจากสูตรดังต่อไปนี้ ในกรณีนี้สถาบันการเงินปัดยอดเงินต่องวดขึ้นและให้ผ่อนชำระงวดละ 2,150 บาท ยกเว้นเดือนสุดท้ายที่จะให้ผ่อนชำระ 2,093 บาท ซึ่งสามารถจำแนกเป็นสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละงวดตามสูตรที่ได้กล่าวถึงในกรณีทั่วไปได้ดังนี้ อยากรู้ว่าดอกเบี้ยที่ไหนถูกหรือแพง ลองแปลง Flat Rate เป็น Effective Rate ช่วยได้ในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่ต่างประเภทกัน เราไม่สามารถนำตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) มาเปรียบเทียบโดยตรงกับตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ได้ เพราะวิธีการคิดดอกเบี้ยแตกต่างกันดังที่ได้อธิบายข้างต้น แต่หากจะแปลงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่เป็นแบบลดต้นลดดอกแบบคร่าว ๆ ก็สามารถทำได้โดยใช้ 1.8 คูณกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ ตัวอย่าง วัลลภต้องการเช่าซื้อรถยนต์ แต่เขากำลังคิดว่าจะเลือกใช้บริการจากที่ไหนดีระหว่างผู้ให้เช่าซื้อ A และ B ถ้าดูกันแค่ตัวเลขก็เหมือนว่า A จะถูกกว่า แต่ที่จริงแล้ว เมื่อวัลลภลองแปลงอัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ของ A เป็นแบบลดต้นลดดอก ก็จะพบว่า อัตราดอกเบี้ยของ A แบบลดต้นลดดอกโดยประมาณ = 4% x 1.8 = 7.2% เห็นอย่างนี้แล้ว วัลลภก็ได้รู้ว่าเมื่อคำนวณเป็นแบบลดต้นลดดอกเหมือนกันเพื่อให้เปรียบเทียบกันได้แล้ว ดอกเบี้ยของ A แพงกว่า B ประมาณ 1.2% ต่อปี ดังนั้น B ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีของวัลลภ หากคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ย เช่น ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ความสะดวกในการชำระเงิน คุณภาพการให้บริการของ A และ B ประกอบด้วยแล้วไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก ดังนั้น ก่อนกู้เงินหรือขอสินเชื่อจึงต้องศึกษาข้อมูลให้แน่ใจว่าคิดดอกเบี้ยแบบไหน ใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอะไรและเท่าไหร่ โดยแปลงให้เป็นวิธีคิดแบบเดียวกันเพื่อให้เปรียบเทียบได้ว่าถูกแพงต่างกันอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวของ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ที่หลายคนควรรู้ไว้ หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้นแล้ว ก่อนจะตัดสินใจกู้เงิน เราก็ควรศึกษาดอกเบี้ยของแต่ละสถาบันการเงินให้ดีๆ ก่อน และถ้าใครมีหนี้อยู่ ลองดูว่า หนี้ที่เรามีอยู่เสียดอกเบี้ยยังไง และมีหนี้ก้อนไหนที่เรารีบกลบได้บ้าง เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องเสียเงินกับดอกเบี้ยไปนานๆ จะได้ลดภาระทางการเงินลงบ้าง ที่มา : ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ใครที่ยังไม่มีบัตรเครดิต MoneyGuru ขอแนะนำให้ท่านมีไว้สักใบ แต่ก่อนตัดสินใจเลือกใบไหนควรเข้ามาเปรียบเทียบบัตรเครดิตเพื่อค้นหาบัตรเครดิตที่ใช่สำหรับคุณ โดยสามารถค้นหาได้ที่นี่เลย |