ได้มีผู้ให้ความหลากหลายแตกต่างกันไป เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต การเพิ่มปริมาณผลผลิต เป็นต้น ซึ่งความหมายการเพิ่มผลผลิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวคิด คือ Show 1. การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ หมายถึงอัตราส่วนระหว่างปัจจัยการผลิตที่ใช้ไป (Input) (แรงงาน เครื่องมือ วัตถุดิบ เครื่องจักร พลังงาน และอื่น ๆ ) กับผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิต (Output) ตู้เย็น รถยนต์ การขนส่ง) สามารถคำนวณได้จาก
การเพิ่มผลผลิต (Productivity) = ผลผลิต (Output) ปัจจัยการผลิต (Input) ซึ่งทำได้ทั้งการวัดเป็นจำนวนชิ้น น้ำหนัก เวลา ความยาว และการวัดตามมูลค่าในรูปของตัวเงิน 2. การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางเศรษฐกิจและสังคม หมายถึงการที่จะหาทางปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยมีความเชื่อว่าเราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ในวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้และวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ซึ่งเป็นความสำนึกในจิตใจ (Consciousness of Mind) เป็นความสามารถหรือพลังความก้าวหน้าของมนุษย์ที่จะแสวงหาทางปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นเสมอ ทั้งเรื่องของการประหยัดทรัพยากร พลังงาน และเงินตรา ที่ต้องร่วมมือปรับปรุงเร่งรัดการเพิ่มผลผลิตในทุกระดับ เพื่อหาความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยโดยรวม ความสำคัญของการเพิ่มผลผลิต💇 การเพิ่มผลผลิตเป็นสิ่งที่ทุกคนในองค์การต้องพยายามทำให้การผลิตขององค์การดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทรัพยากรต่าง ๆ นับวันจะขาดแคลนลงหรือลดน้อยลงไปทุกวัน ดังนั้นองค์การจึงต้องพยายามหาวิธีการเพิ่มผลผลิตในทุกวิถีทาง เพื่อที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการที่จะทำให้การผลิตสินค้าพอกับความต้องการของลูกค้า โดยพยายามให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด หรือไม่มีการสูญเสียใด ๆ เลยในกระบวนการผลิต ซึ่งก็จะเป็นการประหยัดทรัพยากรที่มีให้ได้ใช้อย่างคุ้มค่า ความสำคัญของการเพิ่มผลผลิต คือ 💞 ช่วยให้คนงานได้มีส่วนร่วมในการปรับปรุงวิธีการทำงานของตนเองหรือของหน่วยงานของตน 💞 ช่วยให้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาสู่กระบวนการผลิต 💞 ช่วยให้มีการพัฒนาและทักษะในการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น 💞 ช่วยให้ลูกค้าได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพและราคาถูก 💞 ช่วยให้คนงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 💞 ช่วยให้องค์สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในด้านคุณภาพและบริการ 💞 ช่วยทำให้ลดต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการ ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตจึงมีความสำคัญต่อองค์การในการช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้ สินค้าที่ผลิตได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสูญเสียต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต อีกทั้งช่วยให้คนงานมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน เป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน เพราะคนงานได้มีส่วนร่วมในการทำงาน มีการเรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นการเพิ่มทักษะในการทำงานและยังเป็นการพัฒนาให้คนงานมีความรู้ความสามารถความชำนาญในหน้าที่ของเขา ซึ่งผลดีก็จะตกอยู่กับองค์การนั่นเอง ปัจจัยการผลิต💪 ปัจจัยการผลิต หมายถึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการ ซึ่งประกอบด้วย คน เงิน วัตถุดิบ เครื่องจักร เทคโนโลยี ที่ดิน อาคาร การบริการจัดการ ตลอดจนสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ที่ต้องใช้การผลิตสินค้าหรือบริการ ปัจจัยการผลิตสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ 1. ด้านแรงงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเพิ่มผลผลิต คงไม่มีสินค้าหรือบริการใด ๆ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับคนงาน เพราะกิจการบางประเภทต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ปัจจัยการผลิตด้านแรงงานจึงมีความสำคัญในการเพิ่มผลผลิตที่ต้องการพิจารณาถึงจำนวนของพนักงาน เงินเดือน สวัสดิการ และอื่น ๆ 2. ด้านทุน ในกิจการทางอุตสาหกรรมบางประเภทต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ ที่ดิน อาคาร ค่าเสื่อมต่าง ๆ ดังนั้น การพิจารณาปัจจัยการผลิตด้านทุนจึงจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงด้วย 3. ด้านวัตถุดิบ วัตถุดิบจะถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น การผลิตกระดาษ การผลิตรถยนต์ เป็นต้น การทำให้ไม่มีของเสียในระบบผลิตเลยหรือหากมีก็ให้มีของเสียน้อยที่สุด ย่อมจะเป็นผลดี เพราะผลผลิตก็จะสูงขึ้นและได้ใช้วัตถุดิบคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป ปัจจัยการผลิตด้านวัตถุเป็นปัจจัยที่ต้องพยายามให้สูญเสียน้อยที่สุด ทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งด้านปริมาณ ราคา และจำนวนที่ใช้ 4. ด้านพลังงาน ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกิจกรรมทุกประเภทเสมอ ปัจจัยการผลิตด้านพลังงาน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา น้ำมัน ถ่านหิน ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเหล่านี้เป็นจำนวนเงินที่สูงมากในแต่ละเดือน ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้ปัจจัยการผลิตด้านพลังงานให้คุ้มค่าและประหยัด 5. ด้านบริการ ปัจจัยการผลิตด้านบริการจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางอ้อมทุกประเภทที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เป็นสวัสดิการสำหรับพนักงานด้วย เช่น ค่าโฆษณา ค่าประกัน เป็นต้น ปัจจัยในการผลิตทั้งหมดจะนำไปใช้ในการคำนวณวัดการเพิ่มผลผลิต เพราะเมื่อเป้าหมายหรือผลผลิตที่ต้องการแตกต่างกัน ความต้องการปัจจัยการผลิตก็ย่อมจะแตกต่างกัน หรืออาจจะมีเป้าหมายหรือผลผลิตเหมือนกันแต่ก็ยังมีความต้องการปัจจัยการผลิตแตกต่างกันได้ แนวทางการเพิ่มผลผลิตมีดังนี้👋 แนวทางที่ 1 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตเท่าเดิม คือ Output เพิ่มขึ้น Input เท่าเดิม แนวทางนี้นำไปใช้ในการเพิ่มผลผลิตในสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในสภาพปกติ คือเมื่อพนักงานมีเท่าเดิมต้องการให้ผลิตผลมากขึ้น ก็หาวิธีการปรับปรุงงานด้วยการนำเทคนิค วิธีการปรุงปรับการเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย เช่น ปรับปรุงวิธีการทำงาน ฝึกอบรมทักษะในเรื่องการทำงานให้มีทักษะคุณภาพ กิจกรรม 5 ส กิจกรรม QCC ฯลฯ จะเป็นการเพิ่มผลผลิตให้มีค่าสูงขึ้น โดยไม่เพิ่มปัจจัยการผลิต แนวทางที่ 2 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตลดน้อยลงคือ Output เพิ่มขึ้น Input ลดลง แนวทางนี้สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้การเพิ่มผลผลิตมีค่าสูงสุดมากกว่าวิธีอื่น ๆ เป็นแนวทางที่นำเอาแนวทางที่ 1 และแนวทางที่ 4 เข้าด้วยกัน ผู้ปฏิบัติต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับปรุงกระบวนการผลิตวิธีการทำงานทั้งหมด จนไม่มีการสูญเสียในกระบวนการผลิต เช่น โรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง ใช้คนงานสุ่มเช็คความเรียบร้อยของสินค้าก่อนบรรจุลงในกล่อง หากพบสินค้ามีรอยตำหนิไม่เป็นมาตรฐานก็จะแยกส่งออกไปแก้ไขใหม่ใช้พนักงาน 6 คน ในจำนวนพนักงานทั้งหมด12 คน ในสายตาการผลิต จะเห็นว่าเวลาส่วนใหญ่ของพนักงานทั้ง6 ที่ยืนสังเกตแยกสินค้าออกนี้ ถูกนำไปใช้งานที่ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นต้องปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ ในการหาวิธีตรวจสองสินค้าที่มีรอยตำหนิ โยกย้ายพนักงานออกไปทำหน้าที่อื่นที่ได้ประโยชน์ในการทำงานมากกว่าจะทำให้โรงงานได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น และลดปัจจัยการผลิตน้อยลง แนวทางนี้จะเป็นวิธี “การเพิ่มผลผลิตหรือเพิ่มประสิทธิภาพด้วยต้นทุนต่ำ” ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรอย่างคุ้มค่า หรือมีประสิทธิภาวะสูงสุด โดยเฉพาะการเพิ่มผลผลิตจากพนักงานให้สูงขึ้นและให้ลดความสูญเสียที่เกิดจาก “จุดรั่วไหล” ต่าง ๆ ให้มากที่สุด ประหยัดได้ต้องประหยัด ลดกันทุกจุกที่ทำได้ก็เท่ากับลดต้นทุน แนวทางที่ 3 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้น (ในอัตราที่น้อยกว่าการเพิ่มของผลิตผล) คือ Output เพิ่มขึ้น แต่ Input เพิ่มน้อยกว่า แนวทางนี้นำไปใช้ในสภาวะเศรษฐกิจกำลังเติบโตต้องการขยายกิจการและขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น มีทุนพอที่จะจัดซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มขึ้น จ้างแรงงานเพิ่มใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการผลิต ลงทุนในด้านปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้วอัตราส่วนของผลผลิตที่เพิ่มจะมากกว่าการเพิ่มของปัจจัยการผลิต แนวทางที่ 4 ทำให้ผลิตผลเท่าเดิม แต่ปัจจัยการผลิตลดลง คือ Output คงที่ แต่ Input ลดลง แนวทางนี้ไม่เพิ่มยอดการผลิต นั่นคือ การใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมาะที่จะใช้กับช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความต้องการของตลาดมีไม่มากนัก เช่น การประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ขจัดเวลาที่สูญเสียต่าง ๆ การประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่ให้ใช้อย่างจำกัดและจำเป็นลดความฟุ่มเฟือยต่าง ไหลหาจุดไหลในการผลิตและลดจุดรั่วนั้น ๆ แนวทางที่ 5 ทำให้ผลิตผลลดลงจากเดิมแต่ปัจจัยการผลิตลดลงมากกว่า (ในอัตราลดลงมากกว่าลดผลิตผล) คือ Output ลดลง Input ลดลงมากกว่าแนวทางนี้ใช้ในภาวะที่ความต้องการของสินค้าหรือบริการในตลาดน้อยลง เพื่อใช้เพิ่มค่าของการเพิ่มผลผลิตเช่นสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย คนไม่มีกำลังซื้อ สินค้าฟุ่มเฟือยไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น รถยนต์ น้ำหอมฯลฯ ขายไม่ได้มาก บริษัทที่ผลิตต้องลดปริมาณการผลิตลง และพยายามลดปัจจัยการผลิตให้มากกว่าด้วย เพื่อให้การเพิ่มผลผลิตค่าสูงขึ้น
|