ไม่อยากทําอะไรเลย อยากอยู่เฉยๆ

ทำไมช่วงนี้ถึงรู้สึกเฉื่อยๆ ไม่อยากทำอะไรเลย

“ ต่อให้ร้องไห้ฟูมฟายและเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ก็ยังไม่รู้สึกแย่เท่าความว่างเปล่านี้เลย”
.
ใครบางคนอ่านแค่ฟังคำว่า “ว่างเปล่า” ก็เข้าใจเป็นอย่างดี ความรู้สึกที่ไม่เศร้าไม่รู้สึกใยดีกับเรื่องเลวร้ายที่กำลังเข้ามา ในขณะเดียวกันก็ #ไร้ความสุข ไม่รู้สึกยินดีกับพลังด้านบวกที่อยู่รอบตัว หัวใจของเราว่างเปล่าไม่รู้สึกถึงอะไรเลยนั้น จนเหมือน #เราไม่มีตัวตนอยู่จริง มีแค่กายแต่ไม่มีจิตใจ… เป็นภาวะเสี่ยงทางใจที่มีชื่อเรียกว่า “Anhedonia”

ภาวะ Anhedonia หรือในชื่อที่คุ้นเคยว่า #ภาวะสิ้นยินดี ความรู้สึกที่ดึงเราออกจากทุกความชอบที่เราเคยมี #สิ่งที่เคยรักวันนี้กลับไม่รักแล้ว งานอดิเรกหรือสิ่งต่างๆ ที่เคยชอบวันนี้กลับส่ายหน้าไม่อยากทำ เช่น การอ่านหนังสือ เล่นดนตรี ทำอาหาร ก็กลายเป็นเรื่องเฉยๆ ไปหมด ซึ่งเป็นภาวะหนึ่งที่สำคัญของความผิดปกติทางอารมณ์ชนิด #ภาวะซึมเศร้า และภาวะดังกล่าวยังพบได้ในโรคจิตเภทชนิดอื่นๆ ด้วย
.
ประสบการณ์ในอดีดร้ายๆ ที่เราเจอส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเรามาเสมอ เราอาจจะเคยถูกทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ และส่งผลให้เราเกิดความผิดปกติทางจิตใจขึ้นและเกิดภาวะ Anhedonia ร่วมด้วยในบางราย ในช่วงเริ่มต้นไม่มีใครสังเกตเห็นแม้กระทั่งตัวเราเอง เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เกิดความเบื่อหน่ายเหมือนคนทั่วไป เรายังมีความพยายามที่อยากทำในสิ่งที่เคยทำ หัวเราะกับเรื่องที่เคยยินดี จนวันนึงเรารู้สึกว่ามันฝืนไปหมด
.
ความสิ้นยินดีกำลังกัดกันในใจเราเรื่อยๆ จนเราปล่อยทุกอย่างที่เคยชอบทิ้งไว้อย่างนิ่งเฉย บางคนก็เอาแต่นอน และบางคนก็เอาแต่กิน เริ่มไม่สนกิจวัตรที่ตัวเองเคยทำไม่อยากขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น และเวลาของเราก็หยุดนิ่ง การที่เราจะก้าวผ่านภาวะนี้ไปได้เราต้อง “รู้ตัว” ก่อนว่าเรากำลังเป็นอะไร จากนั้นเราจะเริ่มกระบวนการแก้ไขมันในขั้นต่อไป
.
#ดึงความมั่นใจของเรากลับมา สิ่งหนึ่งที่เราเคยเจอกับตัวเองคือความรู้สึกด้อยค่าจากการเรียน การใช้ชีวิตจนเรารู้สึกว่างเปล่า เมื่อเรารู้ตัวเราเลยออกตามหาความมั่นใจนั้นกลับคืนมา ว่าอะไรคือต้นเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกนี้ เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจตัวเองในท้ายที่สุดความรู้สึกนี้ก็ค่อยหายไป
.
#คุยกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เราจะรักษาความรู้สึกของเราเองได้ยังไงหาเราไม่ค้นหาว่าอะไรคือต้นตเหตุบางทีเราเองก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้ ต้องลองพูดคุยกับคนอื่นๆ เพื่อดูตัวเองจากหลากหลายมุม ซึ่งการพูดคุยกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะมีคนรับฟังให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพใจที่เรามั่นใจได้ว่าเขาจะแนะนำทางที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเรามากที่สุด
.
ลองสังเกตพฤติกรรมของเราว่ามีลักษณะแบบที่กล่าวมาไหม ถ้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นแบบนี้ทางที่ดีที่สุดคือปรึกษาจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อมองหาทางแก้ไข อย่าปล่อยให้ความรู้สึกว่างเปล่ากัดกินใจเราไปเรื่อยๆ เพราะจิตใจที่ไม่มั่นเป็นเรื่องอันตรายที่สุดที่เราควรระวัง

ไม่อยากทําอะไรเลย อยากอยู่เฉยๆ

ในประเทศไทยมีคนที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคนต่อปี แต่มีคนที่เข้ารับการรักษาแค่ร้อยละ 30 เท่านั้น หมายความว่ายังมีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ หรือบางคนรู้แต่คิดว่าไม่ต้องรักษาเดี๋ยวก็หายเองได้ และคนที่เป็นอยู่แต่ขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่หายขาดก็กลับมาเป็นใหม่ ทำให้โรคนี้กลายเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่พรากชีวิตคนไทยไปอย่างคาดไม่ถึง

โรคซึมเศร้าเกิดได้หลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ เนื่องจากสารสื่อประสาทในสมอง (neurotransmitters) ที่ไม่สมดุลกัน กรรมพันธุ์ก็ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนอื่น ๆ แต่จะต้องประกอบกับปัจจัยข้ออื่น ๆ ด้วย เช่น ชอบคิดมาก หงุดหงิดง่าย รู้สึกสิ้นหวัง ชอบว่าตัวเอง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทำอะไรคนเดียวบ่อย ๆ พฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างลดลง รวมไปถึงการเข้าสังคมและการทำงาน ควรพาไปพบจิตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

นอกจากนี้คนที่ขาดความมั่นใจ วิตกกังวลง่าย มีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่าย ความเครียดสะสม ปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ได้ อาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ตกงาน ไม่มีเงินใช้ ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดไม่ราบรื่น รวมทั้งพบเจอกับความสูญเสียในชีวิตอย่างรุนแรง สิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นอาการป่วยให้แสดงออกมา รวมถึงอาการป่วยจากโรคและการใช้ยารักษาโรคที่ตามมาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงในลักษณะอาการซึมเศร้าได้

10 สัญญาณบ่งบอกโรคซึมเศร้า

  1. มีอารมณ์ซึมเศร้า บางคนอาจมีอารมณ์หงุดหงิด ก้าวร้าว
  2. ขาดความสนใจ ความชอบในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำ
  3. เบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมากขึ้น น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก
  4. นอนไม่หลับ หรือนอนนานกว่าปกติ
  5. เคลื่อนไหวหรือพูดจาช้ากว่าปกติ รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยตลอดเวลา
  6. มองโลกในแง่ร้าย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า โดดเดี่ยว และมีความรู้สึกผิด
  7. ไม่มีสมาธิ ความจำแย่ลง และขาดการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ
  8. รอบเดือนผิดปกติ มีความสนใจเรื่องเพศลดลงหรือมากขึ้น
  9. เจ็บปวดตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ
  10. มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง

หมายเหตุ: ต้องมีอาการ 5 ใน 10 ข้อติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และเป็นอยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน

การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในคนที่เป็นโรคซึมเศร้า อาจเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเป็นเดือน ๆ หรือเกิดขึ้นเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มากระทบรุนแรงแค่ไหน แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน เนื่องจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองเสียสมดุลส่งผลให้มีอาการป่วยทางด้านร่างกาย จิตใจและความคิด ร้องไห้บ่อยกับเรื่องเล็กน้อย รู้สึกเบื่อคน เบื่องาน เบื่อโลก เบื่อชีวิต คิดว่าตัวเองเป็นภาระคนอื่น กลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ หลงลืมง่ายโดยเฉพาะกับเรื่องใหม่ ๆ วางของไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก พูดด้วยเมื่อเช้าก็จำไม่ได้ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานได้ไม่ละเอียดเพราะไม่มีสมาธิ เริ่มลางาน ขาดงานบ่อยขึ้น ไม่อยากเข้าสังคม เก็บตัวไม่พูดคุยกับใคร อ่อนเพลีย ซึ่งคนรอบข้างมักจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเปลี่ยนไป เมื่ออารมณ์เศร้าหรือความรู้สึกหมดหวังมีมากขึ้น ก็จะเริ่มคิดเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทำอย่างไร ซึ่งหากมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจในช่วงนี้ก็อาจเกิดการทำร้ายตัวเองไปจนถึงคิดฆ่าตัวตายได้

โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อให้อาการดีขึ้นและหายในที่สุด รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต และให้ความร่วมมือกับนักจิตบำบัดในการรักษา ซึ่งปัจจุบันการรักษาโรคซึมเศร้ามี 3 วิธีหลักได้แก่ ยารักษาโรคซึมเศร้า(ปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุล) จิตบำบัด และการรักษาด้วยการกระตุ้นเซลล์สมอง

เราสามารถฝึกรับมือกับภาวะซึมเศร้าได้ด้วยตนเองโดยไม่ตั้งเป้าหมายการทำงานที่ยากเกินไป อย่าตัดสินใจเรื่องที่สำคัญต่อชีวิต เช่น การหย่า การลาออกจากงาน ในช่วงที่ซึมเศร้า บริหารจัดการเวลา ลำดับความสำคัญ วางแผนสิ่งที่ต้องทำให้เป็นระเบียบในแต่ละวันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ เขียนบันทึกระบายความรู้สึกออกมาบ้าง ออกกำลังกายผ่อนคลายความเครียดจะช่วยให้หลับได้ดีขึ้น กินอาหารได้ดี ชวนเพื่อนมาเล่นที่บ้านหรือทำกิจกรรมร่วมกันกับครอบครัว พฤติกรรมทั้งหมดนี้จะช่วยให้เราก้าวผ่านโรคซึมเศร้าได้

ความเข้าใจจากคนรอบข้างก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่าคิดว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเป็นคนอ่อนแอ คิดมากเกินไป หรือเป็นคนไม่สู้ปัญหา แต่เพราะคนเป็นโรคซึมเศร้าคือผู้ป่วย ฉะนั้นถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมก็จะกลับมาเป็นคนที่มีอารมณ์มั่นคง พร้อมทำกิจวัตรต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม และอย่าเพิกเฉย ถ้าคนข้างกายของเราพูดถึงเรื่องการตายหรือไม่อยากมีชีวิตอยู่เด็ดขาด ควรรีบแจ้งแพทย์หรือนักบำบัดทางจิตทันที