การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพควรใช้เวลาเท่าไร

          โอ้ยเหนื่อย อุตส่าไปออกกำลังกาย แต่ทำม้ายทำไมน้ำหนักไม่ลด  เเต่คุณทราบหรือไม่ว่าปัญหาเหล่านี้อาจจะเกิดจากการกินที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงานสำรองออกไป

           อธิบายได้ดังนี้ 15 นาทีแรกของการออกกำลังกาย ร่างกายจะดึงพลังงานหลัก(น้ำตาลจากตับ)ไปใช้ ซึ่งเป็นพลังงานที่เตรียมไว้ใช้ในกิจกรรมปกติของร่างกาย เมื่อถึงนาทีที่ 15 – 30 นาที เมื่อร่างกายรู้แล้วว่า กิจกรรมนี้ใช้พลังงานมากกว่าที่เตรียมไว้ก็จะเริ่มไปดึงแป้งมาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเพื่อให้ได้พลังงาน 30 นาทีขึ้นไป ก็ยังไม่พออีก คราวนี้แหละจะเริ่มไปดึงพลังงานสำรอง ซึ่งเก็บไว้ในรูปของไขมันมาใช้

            จึงอธิบายว่า ทำไมต้องออกกำลังกายไม่ต่ำกว่าครั้งละ 45 นาที เพราะถ้าต่ำกว่านี้ พลังงานสำรอง ยังไม่ได้ใช้อะไรเลยภายหลังหยุดออกกำลังกาย ร่างกายจะผลิตกรดชนิดนึงออกมา ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (คนที่ออกกำลังกายบ่อย จะมีความต้านทานต่อกรดชนิดนี้ได้มาก จึงปวดเมื่อยน้อยกว่า) แต่กระบวนการผลิตที่ว่านี้ จะต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก ร่างกายจึงยังคงต้องการพลังงานต่อเนื่องต่อไปอีกอย่างน้อย 15 นาที ดังนั้นร่างกายก็ยังคงดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานต่อไป อธิบายว่า ทำไมหลังจากหยุดออกกำลังกาย เราถึงปวดเมื่อย อุณหภูมิร่างกายสูง เหงื่อออกต่อเนื่องต่อไปอีกประมาณ 15 นาที

แต่ทะว่า….

           ใน 15 นาทีหลังหยุด หากมีการกินอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลลงไปแม้แต่นิดเดียว (ลูกอม 1 เม็ดก็มีผลทันที) ร่างกายจะตรวจพบว่า มีน้ำตาลในแหล่งพลังงานหลักแล้ว ร่างกายก็จะหยุดดึงเอาไขมันมาใช้และหันไปใช้น้ำตาลจากพลังงานหลักทันที ดังนั้น หลังออกกำลังกาย 15 นาที หากดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ชาเขียว กินข้าว ขนมปัง  หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีแป้งและน้ำตาล คุณกำลังสูญโอกาสที่จะลดไขมันในตัวไปอย่างน่าเสียดาย ไม่คุ้มค่าเหนื่อย

คำแนะนำในการดื่มกินต่อกิจกรรมออกกำลังกาย

ก่อนออกกำลัง 1 ชั่วโมง

ไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายสะสมพลังงานหลักไว้มากเกิน ทำให้ช่วงเวลาที่จะดึงไขมันมาใช้ยืดออกไปอีก

ก่อนออกกำลัง 15 นาที

ให้เริ่มดื่มน้ำเปล่า ทีละอึกไปเรื่อยๆ เพราะขณะออกกำลังร่างกายจะเสียน้ำไปเร็วมาก จึงควรดื่มเพื่อสะสมน้ำเอาไว้ล่วงหน้าก่อน

ขณะออกกำลัง

หมั่นดื่มน้ำทีละน้อยๆ บ่อยๆ เพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป จากข้อมูลนักฟุตบอลต้องการน้ำขณะเล่นฟุตบอลถึง 2 ลิตรต่อคนทีเดียว ดังนั้นดื่มทีละน้อยๆ ให้มากที่สุดเป็นการดี

หลังออกกำลังกาย

นั่งพักเฉยๆ ดื่มน้ำเปล่าไปเรื่อยๆ จนกว่าเหงื่อจะแห้ง ค่อยอาบน้ำ (การอาบน้ำทันที ร่างกายจะถูกลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การเผาผลาญพลังงานหยุดได้เหมือนกัน) และห้ามดื่มน้ำตาลหรือแป้งเด็ดขาด

บางคนบอกว่า ก่อนออกกำลังรู้สึกหิว ควรจะกินหรือไม่

ตอบ ไม่ต้องกิน เพราะถึงจะรู้สึกหิว แต่เมื่อร่างกายเริ่มกิจกรรมไปประมาณ 10 นาที จะถูกสั่งให้หยุดหิวทันที และจะสั่งให้หิวอีกครั้ง เมื่อร่างกายเริ่มหยุดกิจกรรม แต่ 15 นาทีแรกที่หยุด อย่าเพิ่งกินเด็ดขาด ให้ดื่มน้ำประทังไปก่อน… เป็นเคล็ดลับในการกินและดื่ม เพื่อให้ร่างกายเกิดผลต่อการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่

ที่มา : lovefitt.com

รู้ไหม? ออกกำลังกายเวลาไหนดีที่สุด

การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพควรใช้เวลาเท่าไร

เมื่อเทรนด์ดูแลสุขภาพกำลังมา ทั้งอาหารคลีน ทั้งการวิ่ง ทั้งเข้าฟิตเนสเสริมสร้างกล้ามเนื้อก็เริ่มเป็นที่นิยมชมชอบสำหรับวัยหนุ่มสาวมากขึ้น แต่เคยสงสัยไหมว่าออกกำลังกายช่วงไหนจะให้ผลดีที่สุด Sanook! Health มีคำตอบค่ะ

ออกกำลังกายตอนเช้า ดีอย่างไร?

1. สามารถทำบ่อยๆ ได้จนกลายเป็นกิจวัตร ติดเป็นนิสัยได้ง่าย ไม่ติดงานติดธุระเหมือนตอนเย็น

2. ช่วยให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส พร้อมรับวันใหม่ และไปทำงานด้วยสมองที่โปร่งโล่งสบายมากขึ้น

3. ช่วยเรื่องของการนอนหลับได้สนิทมากยิ่งขึ้น

4. ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน

ออกกำลังกายตอนเย็น ดีอย่างไร?

1. ช่วง 4-5 โมงเย็นจะเป็นช่วงที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี

2. กล้ามเนื้อแข็งแรง พร้อมทำกายบริหาร ออกท่าทางต่างๆ ได้เต็มที่มากกว่าตอนเช้า

3. อัตราการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายจะน้อยกว่าตอนเช้า เพราะกล้ามเนื้อในร่างกายมีการขยับมาทั้งวันแล้ว

4. พลังงานในการออกกำลังกาย ความทน ความอึด มีมากกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพาะกล้าม

แต่ข้อควรระวังคือ ควรออกกำลังกายก่อนเข้านอน 4-6 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ใน 1 อาทิตย์ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ

ที่มา: http://health.sanook.com/2273/

ออกกำลังกายยังไงให้ได้ผล! ควรออกกําลังกายกี่ครั้งต่อสัปดาห์ วันละกี่นาที

การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพควรใช้เวลาเท่าไร

Faii_Natnista

23 พฤศจิกายน 2563 ( 12:00 )

     จะ ออกกำลังกาย ยังไงให้ได้ผล หลายๆ คนก็คงเกิดคำถามในใจว่า จะออกกําลังกายทั้งทีควรทำกี่ครั้งต่อสัปดาห์ วันละกี่นาทีดีนะ? ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว! 

     เนื่องจากการออกกำลังกายแต่ละแบบนั้นมีความหนักเบาและอัตราในการเผาผลาญที่ต่างกันไปค่ะ จึงต้องมีจำนวนครั้ง จำนวนเวลาในการออกกำลังแต่ละครั้งทีเหมาะสม ซึ่งหากทำไม่ถึงเวลาที่ควรจะเป็น ก็อาจทำให้การออกกำลังกายนั้นๆ ไม่ได้ผล ฉะนั้นใครที่ไม่อยากออกกำลังกายแบบเสียเปล่าต้องรีบมาดูให้ไวค่ะ ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมนั้นควรเป็นอย่างไร!

ออกกำลังกายแต่ละแบบควรทำกี่ครั้ง กี่วัน

     ต้องบอกว่าการออกกำลังกายนั้นมีหลากหลายค่ะ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการออกกำลังกายว่าต้องการออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ เพื่อลดน้ำหนัก หรือเพื่อลดอาการปวดของร่างกาย ซึ่งในแต่ละจุดประสงค์ก็มีความเหมาะสมในการทำที่ต่างกันไป ซึ่งเราก็ได้รวบรวมมาให้แล้วค่ะว่าโดยพื้นฐานแล้ว ออกกำลังกายแต่ละแบบควรทำกี่ครั้งหรือนานแค่ไหนกันนะ!

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio)

     การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญไขมันเป็นหลัก โดยจะเน้นการขยับร่างกายให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ซึ่งเมื่อระบบไหลเวียนโลหิตมีการสูบฉีด ร่างกายจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น ในขณะเดียวกันร่างกายก็ต้องการน้ำตาลมากขึ้น ทั้งนี้น้ำตาลที่อยู่ตามกล้ามเนื้อจะถูกนำมาใช้ ลดการแปรเปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นไขมัน ซึ่งนั่นจะถือเป็นการลดการสะสมไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

     โดยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอก็จะมีทั้งการเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก รวมไปถึงการออกำลังกายด้วยเครื่องเดิน เครื่องปั่นต่างๆ ซึ่งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอให้ได้ผลก็ควรทำ 2-3 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับความหนักของกิจกรรมที่เลือกทำค่ะ แต่ควรใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีพัก หรือพักในแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 นาที

การออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ (Weight Training)

     การออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ หรือ เวทเทรนนิ่ง เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการฝึกและสร้างกล้ามเนื้อ โดยอาศัยแรงของน้ำหนักจากอุปกรณ์ต่างๆ ในการเพิ่มแรงต้านทาน หรือหากไม่ใช่อุปกรณ์ก็อาจใช้น้ำหนักของร่างกายตัวเองในการเพิ่มแรงต้านทานได้

     สำหรับคนที่ต้องการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเพื่อลดไขมัน ควรทำ 1-3 เซ็ต เซ็ตละ 10-12 ครั้งต่อวัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และสำหรับใครที่อยากออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น ควรทำ มากกว่า 3 เซ็ต โดยแต่ละเซ็ต ทำให้ได้ 6-8 ครั้ง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ละเซ็ต ควรจะพักให้ห่างกันประมาณ 2-5 นาที ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ยกในแต่ละเซ็ต ยิ่งน้ำหนักหนักมากยิ่งพักนานขึ้น แต่หากใครยกด้วยน้ำหนักที่เบา พักระหว่างเซ็ตเพียง 1 นาทีก็พอค่ะ

  • รวม 10 ท่า ลดเอว ลดพุง สร้างกล้ามท้อง ลดเร็ว ได้ผลจริง!

การออกกำลังกายแบบยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ

     การออกกำลังกายแบบยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยยืดเหยียดและคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการเจ็บอาการปวดกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีการยืดหยุ่นได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีการเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการออกกำลังกายแบบนี้ก็ได้แก่ โยคะ พิลาทิส

     การออกกำลังกายแบบยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ ควรทำท่าละ 4 เซ็ต แต่ละท่าควรค้างไว้ 15-60 วินาที จากนั้นทำซ้ำและพยายามยืดให้ได้มากกว่าครั้งแรก หรือควรทำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

.........................................

อัพเดทเทรนด์เมคอัพ แฟชั่น เคล็ดลับลดน้ำหนัก และไลฟ์สไตล์ผู้หญิงใหม่ๆ ทุกวัน

ได้ที่แอปพลิเคชัน ทรูไอดี ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!

การออกกําลังกาย ควรออกกี่วัน

โดยหากใครสามารถออกกำลังได้ 3-4 วันต่อสัปดาห์ จะดีมาก เป็นการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย สุขภาพจะแข็งแรงขึ้น หัวใจและกล้ามเนื้อได้พัฒนา ส่วนใครที่ทำได้มากกว่านั้น ถือว่าเข้าขั้นเสพติดการออกกำลังกาย คือถ้าไม่ออกแล้วจะรู้สึกผิด ซึ่งลุงขอแสดงความยินดีด้วยเพราะคุณจะมีความแข็งแรง และกระปรี้กระเปร่าในแบบที่น้อยคนในโลกจะได้สัมผัส

เราควรออกกําลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละกี่ครั้ง

ระยะเวลาในการออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน และออกกำลังกาย 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและทำให้สุขภาพโดยรวมของเราดีขึ้น ส่งผลให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคความดันผิดปกติได้อีกด้วย

ออก กํา ลังกา ย ตอนเช้า เวลาไหนดีที่สุด

การออกกำลังกายตอนเช้า ถ้าอยากจะออกกำลังกายตอนเช้า เราควรรับประทานอาหารก่อนล่วงหน้า 2 ชั่วโมง จึงจะไปออกกำลังกายได้ ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ เช่น ถ้าต้องการออกกำลังกายตอน 6 โมงเช้า คุณก็ต้องตื่นมารับประทานอาหารตั้งแต่ตี 4.

ออกกําลังกายยังไง

5 ทริคง่ายๆ ออกกำลังกายตามเป้าหมายให้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง.
1. ดื่มน้ำก่อนออกกำลังกาย ... .
2. วอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย ... .
3. เริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ ก่อน ... .
4. อย่าลืมออกกำลังกายเฉพาะส่วน ... .
5. คูลดาวน์หลังออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ.