Show
เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้มีเงินได้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ หรือที่เป็นผู้พิการ จะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ไม่เกิน 190,000 บาท เรื่องนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร มาทำความเข้าใจให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ... การยกเว้นเงินได้ให้แก่ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ เมื่อปี 2548 รัฐบาลได้มีการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ไม่เกิน 190,000 บาท ให้แก่ผู้มีเงินได้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการบรรเทาภาษีให้แก่ผู้สูงอายุ ทำให้มีเงินเพื่อใช้ดำรงชีพเพิ่มขึ้น ต่อมาในปี 2553 ก็มีการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ไม่เกิน 190,000 บาท ให้แก่ผู้พิการ โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน สิ่งที่หลายคนยังเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีในกรณีนี้ก็คือ การยกเว้นเงินได้ 190,000 บาทนี้ เป็นการนำไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน (คล้ายกับการนำเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนที่เกิน 10,000 บาท หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ มาหักออกจากเงินได้ประเภทเงินเดือนก่อนหักค่าใช้จ่าย 50% ไม่เกิน 100,000 บาท) ซึ่งจะแตกต่างจากการยกเว้นภาษีในกรณีอื่น ๆ ที่เป็นการยกเว้นเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าเป็นการยกเว้นเงินได้ในขั้นตอนเดียวกับการหักลดหย่อนนะครับ แล้วควรใช้สิทธิหักยกเว้นเงินได้อย่างไรดี? อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า จำนวนเงิน 190,000 บาท จะนำไปหักออกจากเงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย โดยในกรณีที่คุณมีเงินได้หลายประเภท สามารถนำจำนวนดังกล่าวไปหักจากเงินได้ประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงประเภทเดียว หรือจะนำมาแบ่งหักจากเงินได้หลายประเภทก็ได้ ดังนั้น กรณีนี้ ขอแนะนำว่าควรใช้สิทธิหักจากเงินได้ประเภทที่หักค่าใช้จ่ายได้น้อยที่สุดก่อน หากใช้สิทธิยังไม่ครบก็เลือกหักจากเงินได้ที่หักค่าใช้จ่ายน้อยรองลงมาตามลำดับนะครับ (สมมติว่าเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาทั้งหมด) ตัวอย่างที่ 1 ผู้มีเงินได้ได้รับเงินปันผล 200,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายไม่ได้เลย) ค่าเช่าบ้าน 300,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายได้ 30%) และเปิดร้านอาหารได้เงิน 200,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายได้ 60%) จะเลือกวิธีต่าง ๆ กันในการหักยกเว้นเงินได้ 190,000 บาทได้ดังนี้ ตัวอย่างที่ 2 ผู้มีเงินได้ได้รับเงินบำนาญข้าราชการ 300,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) ค่าเช่าที่ดินสำหรับทำเกษตรกรรม 60,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายได้ 20%) และเปิดร้านขายของได้เงิน 500,000 บาท (หักค่าใช้จ่ายได้ 60%) จะเลือกวิธีต่าง ๆ กันในการหักยกเว้นเงินได้ 190,000 บาทได้ดังนี้ จะเห็นได้ว่า การเลือกนำเงินได้ที่ได้รับยกเว้น 190,000 บาท ไปหักออกจากเงินได้ที่หักค่าใช้จ่ายได้น้อยที่สุดก่อน ตามด้วยเงินได้ที่หักค่าใช้จ่ายได้น้อยรองลงมา จะทำให้เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย (ก่อนหักลดหย่อนต่อไป) น้อยที่สุด ซึ่งจะทำให้ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้สูงอายุหรือผู้พิการสามารถประหยัดภาษีได้มากที่สุด และยังสามารถนำภาษีที่ประหยัดได้มาใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น หรือนำไปต่อยอดความมั่งคั่งเพิ่มเติมด้วยการลงทุนได้มากขึ้นนั่นเองครับ... ติดต่อผู้เขียนได้ที่ www.facebook.com/vinaya.chysirichote หรือ LINE: vinayachy อ้างอิง ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ, 43, 46 พ.ร.ฎ. ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 5 (1) (ก) (ข), 8 วรรคหนึ่ง (7) (25) กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (72) (81) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 150) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีได้รับ ข้อ 3, 5 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 197) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ผู้มีเงินได้เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการฯ ข้อ 3, 5 #ยกเว้นภาษี #ยกเว้นเงินได้ #ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา #SiamWealthManagement #VinayaChy
การจ่ายภาษี เป็นหนึ่งในหน้าที่ของประชาชนพลเมืองไทย คนไทยทุกคนที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ที่มีเกณฑ์ต้องยื่นภาษีจะต้องรวบรวมเอกสารจำเป็นให้ถูกต้องและครบถ้วน และนำไปยื่นที่กรมสรรพากร หรือจะใช้ช่องทางออนไลน์โดยการยื่นเอกสารผ่านทางเว็บไซต์หรือในแอปพลิเคชันก็แล้วแต่จะสะดวก และหากใครกำลังสงสัยว่าสิทธิลดหย่อนภาษี ปี 2565 มีอะไรบ้าง บทความนี้ FINNOMENA ได้รวบรวมเอาสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีในปี พ.ศ. 2565 มาไว้แล้ว หาคำตอบได้ที่นี่ ครบในที่เดียว! อ่านเพิ่มเติม สรุปวิธีคำนวณภาษี: รายได้เท่าไรต้องเสียภาษีเท่าไร?
ความสำคัญของการวางแผนลดหย่อนภาษีการวางแผนลดหย่อนภาษี เป็นวิธีที่จะทำให้เราได้เงินภาษีคืน และประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองได้มากขึ้น วิธีลดหย่อนภาษีที่เราเลือกก็ถือเป็นผลประโยชน์กับตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ค่าลดหย่อนภาษีที่กฎหมายได้ระบุไว้ เป็นสิ่งที่รัฐเห็นว่าเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในชีวิต หรือเป็นสิทธิพิเศษที่รัฐต้องการจะสนับสนุน เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมบางอย่าง โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงใน ทุก ๆ ปี ดังนั้น ประชาชนผู้เสียภาษีจึงควรหมั่นติดตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขในทุกปี เพื่อที่จะได้วางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเซฟงบในกระเป๋าไปได้อีกมาก ประเภทค่าลดหย่อนภาษี1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัวประกอบด้วย
ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพลภาพเป็นบิดามารดา – บุตร – คู่สมรสของตนเอง สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้งสองส่วน ตัวอย่างเช่น คู่สมรสไม่มีรายได้และเป็นผู้พิการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท และค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000 บาท) 2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุนประกอบด้วย
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันชนิดต่าง ๆ และสิทธิประโยชน์ทางการลดหย่อนภาษีได้ที่ สรุป ซื้อประกันแบบไหน ได้ลดหย่อนภาษี? สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่ต้องรู้
*** สำหรับกลุ่มค่าลดหย่อนประกันชีวิตและการลงทุนในการวางแผนเกษียณ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุน SSF กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท *** 3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาคประกอบด้วย
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ที่ บริจาคอะไร ลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า ! 4. ค่าลดหย่อนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วย
5. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐประกอบด้วย
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรูปแบบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ 2 แบบ คือ ภ.ง.ด.90 (สำหรับผู้มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือน) และ ภ.ง.ด.91 (สำหรับผู้มีรายได้เป็นเงินเดือนโดยไม่มีรายได้เสริมอื่น) และจะต้องเตรียมเอกสารดังนี้
สถานที่สำหรับการยื่นภาษี
กรณียกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และทั้งหมดนี้ก็คือ รายการลดหย่อนภาษีสำหรับปี พ.ศ. 2565 ที่ทาง FINNOMENA ได้รวบรวมเอาไว้ให้ การวางแผนเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีในแต่ละปีก็เป็นการวางแผนทางการเงินอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในหมวดหมู่ของภาษี และเพื่อสิทธิประโยชน์ของตนเองไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่าย การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ หรือการลงทุนเพื่อผลตอบแทนในอนาคต การวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างรัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น และไม่ได้ส่งผลในเรื่องของการเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังส่งผลต่อการวางแผนชีวิตของตัวเราเองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประกันชีวิต ประกันสุขภาพ การลงทุนเพื่อวัยเกษียณ การออมเพื่ออนาคต การซื้อที่อยู่อาศัย เป็นต้น ดังนั้น หากยิ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีมากเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากขึ้นเท่านั้น
FINNOMENA Admin ผู้เขียน
FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง |