�����������Ԫҡ�� ����Ѻ��ЪҪ������ Show 28 ����Ҥ� 2552 08:02:06 �����������Ѻ��ЪҪ� ����ͧ���������ͺ��ç���١�����Ӥѭ ���˵���лѨ�������§ �ҡ�âͧ���������ͺ��ç���١ ��õ�Ǩ�����ԹԨ��� ����ѡ�� ��þ�ҡó��ä A : เป็นมะเร็งทางนรีเวชที่พบได้บ่อยรองจากมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย จากสถิติล่าสุด 2560 พบมากกว่าในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความสัมพันธ์กับความสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย ซึ่งอาจ สร้างขึ้นเองหรือได้รับฮอร์โมนจากภายนอก เช่น การทานอาหารบางชนิด อาหารเสริม ยาบางชนิด ที่มีผลทำให้ปริมาณฮอร์โมนในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งจะกระตุ้น เยื่อบุโพรงมดลูกให้มีการหนาตัวผิดปกติ Q : อาการแสดงของโรค ?A : อาการนำของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้แก่ ประจำเดือนมาผิดปกติ มามาก มานาน มาไม่สม่ำเสมอภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน ส่วนใหญ่ตรวจพบตั้งแต่ในระยะต้น เนื่องจาก มีอาการนำที่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะพบในสตรีที่อายุ > 40 ปี ภาวะอ้วน ไม่มีบุตร เป็นต้น Q : การตรวจวินิจฉัย ?A : สามารถทำได้โดยการตรวจอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด ซึ่งจะตรวจพบลักษณะของเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ และการนำชิ้นเนื้อส่งตรวจ อาจใช้วิธีดูดเซลล์ เยื่อบุโพรงมดลูก หรือส่องกล้องโพรงมดลูกเพื่อวินิจฉัย Q : การรักษา ?A : สามารถทำได้โดยการผ่าตัดทั้งการผ่าตัดทางหน้าท้อง และการผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งจะเป็นการบอกระยะของโรคเพื่อวางแผนการรักษาต่อเนื่องอย่างถูกต้อง มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นมะเร็งเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ภายในมดลูก โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ ความอ้วน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง อายุมาก การได้ฮอร์โมนทดแทน ยาบางชนิด พันธุกรรม ส่วนใหญ่วินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะแรก โดยผู้ป่วยมักมาด้วยอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หลักการการรักษา โดยทั่วไปหากโรคยังไม่มีการแพร่กระจาย การผ่าตัดถือเป็นการรักษาหลักในมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หลังผ่าตัดแพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการฉายแสงหรือให้ยาเคมีบำบัดเพิ่มเติมตามระยะของโรคและสภาพร่ายกายของผู้ป่วย หากโรคมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น การรักษาหลักจะเป็นการให้ยาเคมีบำบัด ส่วนการฉายรังสีจะมีบทบาทในการช่วยทุเลาอาการ เช่น อาการปวดจากก้อน อาการเลือดออกทางช่องคลอด เป็นต้น การฉายรังสี การฉายรังสีเป็นการให้เอกซเรย์พลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยแบ่งออกเป็นสองวิธี ได้แก่
ผลข้างเคียงจากการฉายรังสี ผลที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปริมาณรังสี หรือการรักษาอื่นร่วมด้วย ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้ในระหว่างฉายรังสี ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด ท้องเสีย อ่อนเพลีย เม็ดเลือดต่ำลด ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ช่องคลอดตีบหรือแห้ง การตรวจติดตามระหว่างฉายรังสี ระหว่างฉายรังสีจะมีการตรวจสัปดาห์ละครั้งเพื่อประเมินผลข้างเคียงจากการฉายรังสี ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดควบคู่กับการฉายแสง จะมีการให้ยาสัปดาห์ละครั้ง โดยจะมีการตรวจเลือดเพื่อประเมินเม็ดเลือดและการทำงานของไตทุกสัปดาห์ก่อนให้ยา การดูแลตนเองระหว่างฉายรังสี การดูแลตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญในการฉายรังสี ผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารให้เพียงพอครบทั้ง 5 หมู่ โดยเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เลือกอาหารที่สะอาดและปรุงสุกเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่ได้ยาเคมีบำบัด พักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ที่ต้องกลั้นปัสสาวะก่อนฉายรังสีควรดื่มน้ำให้ระหว่างฉายรังสีรู้สึกปวดปัสสาวะใกล้เคียงกับวันจำลองฉายรังสีให้มากที่สุด หลังจากกฉายรังสีครบควรขยายช่องคลอดทุกวันเพื่อป้องกันลดโอกาสเกิดช่องคลอดตีบ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมีอาการอย่างไรQ : อาการแสดงของโรค ? A : อาการนำของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้แก่ ประจำเดือนมาผิดปกติ มามาก มานาน มาไม่สม่ำเสมอภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน ส่วนใหญ่ตรวจพบตั้งแต่ในระยะต้น เนื่องจาก มีอาการนำที่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะพบในสตรีที่อายุ > 40 ปี ภาวะอ้วน ไม่มีบุตร เป็นต้น
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก อยู่ได้กี่ปีผลการรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นกับระยะของมะเร็งและชนิดของเซลล์มะเร็ง อัตราการ อยู่รอด 5 ปีโดยรวมประมาณร้อยละ 80-85 ถ้าเป็นมะเร็งในระยะเริ่มแรก อัตราการอยู่รอด 5 ปีสูงถึงร้อยละ 96 ถ้าเป็นมะเร็งแพร่กระจายอยู่ในเชิงกรานหรือแพร่กระจายไปไกล อัตราการอยู่รอด 5 ปี ลดลงเหลือ
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกรักษายังไงการรักษาโดยการผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาหลักของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกโดยจะตัดมดลูก รังไข่ และท่อนำไข่ 2 ข้าง,ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานและต่อมน้ำเหลืองข้างเส้นเลือดใหญ่ การผ่าตัดนั้นนอกจากจะเอาเนื้อมะเร็งที่ในโพรงมดลูกออกมาแล้วยังใช้ผลของการผ่าตัดมาบอกระยะของโรคด้วย เมื่อทราบระยะของโรคและการกระจายของมะเร็งแล้ว เราจะใช้ผล ...
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มีกี่ชนิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักตามปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ชนิดที่สัมพันธ์กับเอสโตรเจน (The Estrogen Related; Type I, Endometrioid) และชนิดที่ไม่สัมพันธ์กับเอสโตรเจน (Nonestrogen related; Type II, nonendometrioid)(3) ซึ่งพบว่าในแต่ละกลุ่มมักสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่แตกต่างกัน(4 ...
|