การควบคุมอารมณ์ตนเอง (อังกฤษ: Emotional self-regulation) เป็นความสามารถในการตอบสนองทางอารมณ์ต่อประสบการณ์ในรูปแบบที่สังคมยอมรับได้แต่ยืดหยุ่นพอที่จะเป็นปฏิกิริยาแบบฉับพลัน และเป็นความสามารถในการผัดผ่อนปฏิกิริยาแบบฉับพลันถ้าจำเป็น[1] หรือสามารถนิยามได้ว่า เป็นกระบวนการไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ประเมิน และเปลี่ยนปฏิกิริยาทางอารมณ์[2] การควบคุมอารมณ์ของตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการควบคุมอารมณ์ ซึ่งรวมการควบคุมทั้งตัวเองและผู้อื่น[3][4] Show
การควบคุมอารมณ์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนรวมทั้งการเริ่ม การยับยั้ง หรือปรับสภาพหรือพฤติกรรมในสถานการณ์หนึ่ง ๆ เช่นปรับความรู้สึกในใจที่เป็นอัตวิสัย การรู้คิด การตอบสนองทางสรีรภาพที่สัมพันธ์กับอารมณ์ (เช่นการเต้นของหัวใจหรือการทำงานทางฮอร์โมน) และพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับอารมณ์ (ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางสีหน้า) นอกจากนั้น โดยกิจ การควบคุมอารมณ์ยังอาจหมายถึงกระบวนการต่าง ๆ เช่น การใส่ใจในงานที่กำลังทำ และการหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่คนอื่นบอก การควบคุมอารมณ์เป็นกิจที่สำคัญมากในชีวิตมนุษย์ ทุก ๆ วัน มนุษย์ได้รับสิ่งเร้ามากมายหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดการตื่นตัว ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม สุด ๆ หรือไม่ระวัง อาจจะทำให้เข้ากับสังคมไม่ได้ ดังนั้น ทุกคนต้องควบคุมอารมณ์ของตนในรูปแบบต่าง ๆ เกือบตลอดเวลา[5] ในเรื่องสุขภาพจิต การควบคุมอารมณ์ที่ผิดปกติ (emotional dysregulation) นิยามว่าเป็นความลำบากในการควบคุมอิทธิพลของความตื่นตัวทางอารมณ์ต่อรูปแบบและคุณภาพทางความคิด ทางการกระทำ และทางปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น/สิ่งอื่น บุคคลที่มีการควบคุมอารมณ์ผิดปกติจะแสดงรูปแบบการตอบสนองที่เป้าหมาย การตอบสนอง และ/หรือวิธีการแสดงออก ไม่เข้ากับสิ่งที่สังคมยอมรับได้[6] ยกตัวอย่างเช่น การควบคุมอารมณ์ผิดปกติสัมพันธ์อย่างสำคัญกับอาการของโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ความผิดปกติในการรับประทาน และการติดสารเสพติด[7][8] การควบคุมอารมณ์ได้น่าจะสัมพันธ์กับสมรรถภาพทางสังคมและกับการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม[9][10] ทฤษฎี[แก้]แบบจำลองกระบวนการ (process model) ของการควบคุมอารมณ์ อาศัยสมมติฐานว่า กระบวนการสร้างอารมณ์เกิดเป็นลำดับโดยเฉพาะ ๆ ไปตามเวลา โดยมีลำดับดังต่อไปนี้คือ
เพราะการตอบสนองทางอารมณ์ (4) สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ (1) แบบจำลองนี้มีวนป้อนกลับจาก 4 คือการตอบสนอง ไปยัง 1 คือสถานการณ์ ซึ่งแสดงว่า กระบวนการก่ออารมณ์สามารถเวียนเกิด เป็นไปต่อเนื่อง และเปลี่ยนแปลงได้[11] แบบจำลองอ้างว่า ขั้นตอนทั้งสี่ในกระบวนการนี้สามารถควบคุมได้ จากแนวคิดนี้ แบบจำลองวางวิธีการควบคุมอารมณ์ 5 รูปแบบเพื่อควบคุมขั้นตอนทั้ง 4 ซึ่งเกิดไปตามลำดับดังต่อไปนี้
แบบจำลองยังแบ่งกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ออกเป็นสองหมวด คือ เน้นสิ่งที่เกิดก่อน หรือเน้นการตอบสนอง กลยุทธ์ที่เน้นสิ่งที่เกิดก่อน ก็คือ การเลือกสถานการณ์ การเปลี่ยนสถานการณ์ การเปลี่ยนการใส่ใจ และการเปลี่ยนการรู้คิด จะเกิดขึ้นก่อนที่การตอบสนองทางอารมณ์จะเกิดอย่างสมบูรณ์ กลยุทธ์ที่เน้นการตอบสนอง ก็คือ การปรับการตอบสนองที่เกิดขึ้นหลังจากการตอบสนองทางอารมณ์ได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว[13] กลยุทธ์[แก้]การเลือกสถานการณ์[แก้]กลยุทธ์เลือกสถานการณ์เป็นการเลือกที่จะหลีกเลี่ยงหรือเข้าหาสถานการณ์ที่อาจก่ออารมณ์ ถ้าเลี่ยงหรือถอยออกจากสถานการณ์ ก็จะลดโอกาสประสบกับอารมณ์ หรือถ้าเลือกที่จะเข้าหาหรือเผชิญกับสถานการณ์ โอกาสก็สูงขึ้นที่จะประสบกับอารมณ์[12] ตัวอย่างอาจเห็นได้กับเหตุการณ์ระหว่างบุคคล เช่น เมื่อพ่อแม่เอาเด็กออกจากเหตุการณ์ที่สร้างอารมณ์ไม่ดี[14] การเลือกสถานการณ์สามารถเห็นได้เกี่ยวเนื่องกับความผิดปกติทางจิตด้วย ยกตัวอย่างเช่น การหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมเพื่อควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดในคนไข้โรคกลัวการเข้าสังคม (social anxiety disorder)[15] และความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยง[16] การเลือกสถานการณ์ให้ดีไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเสมอ ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์มีปัญหาพยากรณ์ความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต ดังนั้น จึงอาจมีปัญหาตัดสินใจให้แม่นยำและเหมาะว่าควรจะเข้าหาหรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจก่ออารมณ์ต่าง ๆ[17] การเปลี่ยนสถานการณ์[แก้]กลยุทธ์เปลี่ยนสถานการณ์เป็นความพยายามเปลี่ยนสถานการณ์เพื่อเปลี่ยนผลทางอารมณ์[12] โดยเฉพาะก็คือ เป็นการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและวัตถุภายนอก การเปลี่ยนสภาพภายในเพื่อคุมอารมณ์เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนการรู้คิด[11] ตัวอย่างของการเปลี่ยนสถานการณ์รวมทั้งการใช้มุกตลกเพื่อให้คนอื่นหัวเราะ[18] หรือการถอยกายห่างออกจากอีกคนหนึ่ง[19] การเปลี่ยนการใส่ใจ[แก้]กลยุทธ์เปลี่ยนการใส่ใจเป็นการเลือกใส่ใจไปที่ หรือออกจาก สถานการณ์ที่สร้างอารมณ์[12] การหันไปสนใจเรื่องอื่น[แก้]การสนใจเรื่องอื่น (Distraction) เป็นการเปลี่ยนการใส่ใจวิธีหนึ่ง เป็นกลยุทธ์การเลือกในระยะต้น ซึ่งเปลี่ยนความสนใจไปจากสิ่งเร้าที่สร้างอารมณ์ไปยังเรื่องอื่น[20] โดยมีหลักฐานว่าสามารถช่วยลดระดับความรู้สึกเจ็บปวด[21] หรืออารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง[22] เพื่อลดระดับสีหน้าที่แสดงอารมณ์[22] และเพื่อบรรเทาความทุกข์ทางใจ[23] เทียบกับ การประเมินใหม่ มนุษย์มักจะเลือกหันไปสนใจเรื่องอื่นเมื่อเผชิญกับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอารมณ์ลบสูง เพราะว่า การสนใจเรื่องอื่นจะช่วยกรองเนื้อความเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์ ซึ่งถ้าไม่ทำแล้ว ก็จะเป็นเหตุการณ์ที่ยากในการประเมินและประมวล[24] การครุ่นคิด[แก้]การครุ่นคิดเป็นตัวอย่างการเปลี่ยนการใส่ใจอย่างหนึ่ง[16] ซึ่งมีนิยามว่า เป็นการสนใจที่ไม่ตั้งใจแบบซ้ำ ๆ ต่ออาการความทุกข์ของตนและผลของอาการนั้น ๆ ที่ทั่วไปแล้วพิจารณาว่าเป็นกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ที่เป็นการปรับตัวผิด (maladaptive) เพราะว่า มักจะเพิ่มอารมณ์ทุกข์ และยกว่าเป็นตัวการของความผิดปกติทางจิตหลายอย่างรวมทั้งโรคซึมเศร้า (MDD)[25] ความกังวล[แก้]ความกังวล (worry) เป็นอีกตัวอย่างของการเปลี่ยนการใส่ใจ[16] เป็นการใส่ใจในความคิดและจินตภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายที่เป็นไปได้ในอนาคต[26] คือโดยใส่ใจในเหตุการณ์เหล่านี้ ความกังวลในเรื่องหนึ่งอาจลดความกังวลที่จะเป็นหนักกว่าในอีกเรื่องหนึ่ง[16] แต่แม้ว่า ความกังวลอาจจะช่วยจูงใจให้แก้ปัญหา การกังวลไม่หยุดหย่อนพิจารณาว่าเป็นการปรับตัวผิด เป็นลักษณะสามัญของโรควิตกกังวล โดยเฉพาะโรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder)[27] การห้ามความคิด[แก้]การห้ามความคิดเป็นตัวอย่างการเปลี่ยนการใส่ใจ เป็นความพยามยามเปลี่ยนความใส่ใจไปจากความคิดและจินตภาพบางอย่าง ไปยังเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนสภาพอารมณ์ของตนเอง[16] แม้ว่า การห้ามความคิดอาจช่วยบรรเทาความคิดที่ไม่ต้องการชั่วคราว แต่ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความคิดที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้น[28] และกลยุทธ์บริหารเยี่ยงนี้โดยทั่วไปถือเป็นการปรับตัวผิด ที่พบมากที่สุดในคนไข้โรคย้ำคิดย้ำทำ[16] การเปลี่ยนการรู้คิด[แก้]การเปลี่ยนการรู้คิดเป็นการเปลี่ยนการประเมินเหตุการณ์เพื่อเปลี่ยนความหมายทางอารมณ์ของเหตุการณ์[12] การประเมินใหม่[แก้]การประเมินใหม่เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนการรู้คิด เป็นกลยุทธ์การเลือกที่ทำทีหลัง ซึ่งเป็นการแปลความเหตุการณ์ใหม่เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ที่เป็นผล[12] ยกตัวอย่างเช่น อาจจะแปลความเหตุการณ์ใหม่โดยขยายมุมมองเพื่อให้เห็น "ภาพรวม"[29] การประเมินใหม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการตอบสนองทางอารมณ์ทั้งทางกาย[30] ทางจิตใจ[13] และทางประสาท[31] เทียบกับการสนใจเรื่องอื่น บุคคลมักจะเลือกประเมินเหตุการณ์ใหม่เมื่อเผชิญสิ่งเร้าที่สร้างอารมณ์เชิงลบในระดับต่ำเพราะง่ายที่จะประเมินและแปลความหมายสิ่งเหล่านั้นใหม่[24] การประเมินใหม่ทั่วไปพิจารณาว่าเป็นกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ที่เป็นการปรับตัวที่ดี เทียบกับการห้ามความคิด ซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์กับความผิดปกติทางจิตหลายอย่าง[7] การประเมินใหม่สัมพันธ์กับผลในระหว่างบุคคลที่ดีกว่า และสัมพันธ์กับความอยู่เป็นสุข (wellbeing)[32] แต่ว่า ก็มีนักวิจัยบางท่านที่อ้างว่า บริบทก็เป็นเรื่องสำคัญเมื่อพิจารณาคุณค่าโดยเป็นการปรับตัวของกลยุทธ์ คือแสดงว่า ในบางบริบท การประเมินใหม่อาจเป็นการปรับตัวผิด[33] การแยกตัวห่าง[แก้]การแยกตัวห่าง (distancing) เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนการรู้คิด เป็นการเปลี่ยนมุมมองไปเป็นของบุคคลที่สามที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเมื่อประเมินเหตุการณ์ที่สร้างอารมณ์[34] การแยกตัวออกห่างมีหลักฐานว่าเป็นรูปแบบการพิจารณาตนเอง (self-reflection) ที่เป็นการปรับตัวที่ดี ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลสิ่งเร้าที่สัมพันธ์กับอารมณ์เชิงลบ[35] โดยลดปฏิกิริยาทางอารมณ์และทางระบบหลอดเลือดหัวใจต่อสิ่งเร้าเชิงลบ และเพิ่มพฤติกรรมช่วยแก้ปัญหา[36] มุกตลก[แก้]การใช้มุกตลก เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนการรู้คิด ที่มีหลักฐานว่าเป็นกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ที่มีประสิทธิผล โดยเฉพาะก็คือ มุกตลกเชิงบวก แบบใจดี มีหลักฐานว่าช่วยเพิ่มอารมณ์เชิงบวกและลดอารมณ์เชิงลบอย่างมีประสิทธิผล และโดยเทียบกันแล้ว มุกตลกแบบใจร้ายมีประสิทธิผลน้อยกว่า[37] การปรับการตอบสนอง[แก้]กลยุทธ์ปรับการตอบสนองเป็นความพยายามที่จะมีอิทธิพลโดยตรงต่อระบบตอบสนองทางการรับรู้ ทางพฤติกรรม และทางกาย[12] การคุมสีหน้า[แก้]การคุมสีหน้า (expressive suppression) เป็นตัวอย่างการควบคุมการตอบสนอง เป็นการห้ามการแสดงอารมณ์ ที่มีหลักฐานว่าสามารถลดการแสดงสีหน้า ความรู้สึกดีในใจ อัตราหัวใจเต้น และการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก (ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการตอบสนองแบบสู้หรือหนี และการควบคุมภาวะธำรงดุล) แต่ว่า งานวิจัยแสดงผลไม่ชัดเจนว่าวิธีนี้มีประสิทธิผลในการลดอารมณ์เชิงลบหรือไม่[38] และแสดงว่า การคุมสีหน้าอาจมีผลเชิงลบทางสังคม สัมพันธ์กับการลดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความยากลำบากเพิ่มขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์[39] การคุมสีหน้าโดยทั่วไปพิจารณาว่าเป็นกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ที่เป็นการปรับตัวผิดเทียบกับการประเมินใหม่ เป็นกลยุทธ์ที่สัมพันธ์กับความผิดปกติทางจิตหลายอย่าง[7] กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่แย่กว่า และกับความอยู่เป็นสุขที่ไม่ดี[32] เป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้ความพยายามทางสมองมากเพื่อจะทำ[40] แต่ว่า ก็มีนักวิจัยบางท่านที่อ้างว่า บริบทก็เป็นเรื่องสำคัญเมื่อพิจารณาคุณค่าโดยเป็นการปรับตัวของกลยุทธ์ คือแสดงว่า ในบางบริบท การคุมสีหน้าอาจเป็นการปรับตัวที่ดี[33] การใช้ยาเสพติด[แก้]การใช้ยาเสพติดเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนการตอบสนอง โดยสามารถเปลี่ยนการตอบสนองทางกายต่อเหตุการณ์ที่สร้างอารมณ์ เช่น สุรามีฤทธิ์ระงับประสาทและความวิตกกังวล[41] และยาเบต้า บล็อกเกอร์สามารถมีผลต่อระบบประสาทซิมพาเทติก[11] (ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการตอบสนองแบบสู้หรือหนี และการควบคุมภาวะธำรงดุล) การออกกำลังกาย[แก้]การออกกำลังกายเป็นตัวอย่างของการปรับการตอบสนอง ซึ่งสามารถช่วยลดผลทางกายและทางใจของอารมณ์เชิงลบ[11] การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอมีหลักฐานว่าช่วยลดความทุกข์ใจและเพิ่มการควบคุมอารมณ์[42] การนอน[แก้]การนอนมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ แม้ว่า ความเครียดและความกังวลก็สามารถกวนการนอนเช่นเดียวกัน งานวิจัยแสดงว่า การนอนหลับ โดยเฉพาะในช่วงที่ตาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (REM sleep) ลดความไวปฏิกิริยาของอะมิกดะลา ซึ่งเป็นโครงสร้างทางสมองที่มีส่วนในการประมวลอารมณ์ โดยอาศัยประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เคยมีมาในอดีต[43] ในนัยตรงกันข้าม การขาดนอนสัมพันธ์กับความไวอารมณ์และการมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไปต่อสิ่งเร้าที่ไม่ดีหรือก่อความเครียด ซึ่งเป็นผลของทั้งการทำงานเพิ่มขึ้นของอะมิกดะลา และการไม่ทำงานประสานกันระหว่างอะมิกดลาและ prefrontal cortex ซึ่งเป็นตัวควบคุมอะมิกดะลาโดยการยับยั้ง (inhibition) ซึ่งรวมกันมีผลเป็นสมองที่ไวอารมณ์เกินไป[43] เนื่องจากผลเป็นการขาดการควบคุมอารมณ์ การขาดนอนอาจสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้า ความหุนหันพลันแล่น และอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ยังมีหลักฐานด้วยว่า การขาดนอนอาจลดปฏิกิริยาทางอารมณ์ต่อสิ่งเร้าและเหตุการณ์ที่ดี และขัดขวางการเข้าใจ/เห็นใจผู้อื่น[44] กลยุทธ์เพื่อควบคุมความอ่อนแอทางอารมณ์[แก้]เนื่องจากแต่ละคนมีธรรมชาติทางอารมณ์ที่ซับซ้อนและไม่เหมือนใคร มันอาจจะยากที่จะควบคุมตนเองเมื่อเกิดความอ่อนแอ เป็นเรื่องสำคัญที่จะกำหนดอารมณ์นี้ เข้าใจสิ่งเร้าที่มาจากสถานการณ์หรือจากการรู้คิด และปัญหาที่มันสร้าง เมื่อจำเป็นต้องรักษาเพราะเหตุความผิดปกติบางอย่าง เป็นการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกทั้งสำหรับคนไข้และผู้รักษาเพื่อหาวิธีเยียวยา ความรู้สึกหรือการรู้คิดบางอย่างเช่นความวิตกกังวล ความล้า การโทษ/ตำหนิตนเอง การรู้คิดที่มีผลไม่ดี และความสิ้นหวัง ได้พบในงานวิจัยแล้วว่า ล้วนแต่เป็นเหตุที่นำบุคคลไปสู่ความอ่อนแอทางอารมณ์ สำหรับผู้รักษา เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยคนไข้ให้ลดความถี่ (Frequency) ความรุนแรง (Intensity) และระยะการเกิด (Duration) ของการเกิดความผิดปกติต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้สึกปลอดภัย เป็นเรื่องธรรมดาที่บุคคลจะเข้าสู่สภาวะสู้-หนี-ตัวแข็ง คนไข้จำเป็นต้องเข้าใจว่า ปฏิกิริยาเยี่ยงนี้เป็นเพียงพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่อาจมีเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา ถ้าไม่กำหนดยืนยันแล้วแทรกแซงรักษาประสบการณ์ที่ทำให้เกิดความอ่อนแอทางอารมณ์อย่างสมควร นี้อาจทำให้เกิดปัญหาทางจิตที่เกิดร่วมกันเช่นความเครียด ความวิตกกังวล โรคโซมาโตฟอร์ม ความผิดปกติในการรับประทาน เป็นต้น ทักษะที่ช่วยให้เป็นนายของเหตุที่ทำให้อ่อนแอก็คือความหวังและการกระทำที่ดี และการเข้าใจแบบจำลองทางจิตวิทยาของอารมณ์ก็ช่วยด้วย วิธีหนึ่งที่ใช้ในจิตบำบัดที่เรียกว่า "พฤติกรรมบำบัดวิภาษวิธี" (DBT) มีตัวย่อให้จำง่าย ๆ ว่า "ABC PLEASE" ซึ่งหมายถึง[45]
พฤติกรรมบำบัดแนะนำให้ทำตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะว่า อารมณ์จะเปลี่ยนไปถ้าหยุดการเสริมแรงโดยทำสิ่งดี ๆ[46] ศ.ดร.มาชา ไลน์แฮน ผู้คิดค้น DBT แนะนำให้ฝึกเทคนิคผ่อนคลายแบบย่อย ๆ เพราะว่าการตอบสนองที่แสดงออกให้เห็นจุดชนวนโดยอารมณ์ได้เร็วกว่าความคิด พัฒนาการ[แก้]ทารก[แก้]การควบคุมอารมณ์ในวัยทารกเชื่อว่ามาจากระบบการตอบสนองทางกายภาพที่มีแต่กำเนิด[47] โดยปรากฏเป็นการเข้าหาหรือหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ดีหรือไม่ดี เมื่ออายุ 3 เดือน ทารกอาจจะมีพฤติกรรมปลอบตนเองเช่นการดูด และสามารถตอบสนองโดยรีเฟล็กซ์ต่อความทุกข์และแสดงให้เห็น[48] ยกตัวอย่างเช่น มีการสังเกตเห็นทารกพยายามห้ามความโกรธหรือความเศร้าโดยขมวดคิ้วหรือเม้มปาก[49] เมื่ออายุระหว่าง 3-6 เดือน ทักษะเคลื่อนไหวและกลไกการใส่ใจขั้นพื้นฐานเริ่มจะมีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ ทำให้ทารกสามารถเข้าหาหรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่มีผลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น[50] ทารกอาจจะหันไปสนใจเรื่องอื่นเองและหาคนช่วยเพื่อคุมอารมณ์[51] เมื่ออายุปีหนึ่ง ทารกสามารถหาทางไปได้รอบ ๆ ตัวเอง และตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางอารมณ์อย่างพลิกแพลงดีขึ้นเพราะสามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น[52] และเริ่มจะเห็นคุณค่าของคนดูแลที่ช่วยให้ตนควบคุมอารมณ์ได้[53] ยกตัวอย่างเช่น ทารกโดยทั่วไปมีปัญหาควบคุมความกลัว[54] และดังนั้น จึงมักหาวิธีแสดงความกลัวที่เรียกร้องความสนใจและการปลอบโยนจากผู้ดูแล[55] การช่วยควบคุมอารมณ์ให้โดยผู้ดูแล รวมทั้งการเลือกสถานการณ์ การเปลี่ยนสถานการณ์ และการให้ไปสนใจเรื่องอื่น เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทารก[56] กลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ที่ผู้ดูแลใช้ในการลดความทุกข์หรือเพิ่มความสุขในทารกอาจมีผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์และพฤติกรรมของทารก เพราะเป็นการสอนวิธีการควบคุมอารมณ์ให้[57] ดังนั้น สไตล์การผูกพันระหว่างผู้ให้ความดูแลกับทารก อาจมีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ที่ทารกเรียนรู้เพื่อใช้[58] งานวิจัยปี 2558 สนับสนุนแนวคิดว่า การร้องเพลงให้ลูกฟังมีผลบวกต่อการควบคุมอารมณ์ของทารก[59] การร้องเพลงเด็กให้ฟัง มีผลต่อความสุขที่ยาวนานขึ้นของทารกอย่างเห็นได้ และแม้แต่ช่วยบรรเทาความทุกข์ นอกจากจะช่วยอำนวยความสัมพันธ์กับทารก เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวหรือการสัมผัสเป็นจังหวะ การร้องเพลงของแม่เพื่อปรับอารมณ์สามารถใช้ได้กับทารกในห้องไอซียูของเด็กแรกเกิด หรือกับคนไข้ผู้ใหญ่ที่มีปัญหาทางบุคลิกภาพ หรือมีปัญหาปรับตัว เด็กวัยหัดเดิน[แก้]โดยสิ้นปีแรก ทารกวัยหัดเดินจะเริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อลดความตื่นตัวเชิงลบ ซึ่งอาจจะเป็นการโยกตัว กัดสิ่งของ หรือหลีกไปจากวัตถุที่ไม่ชอบ[60] ในวัย 2 ขวบ เด็กจะสามารถเพิ่มยิ่งขึ้นในการใช้กลยุทธ์ควบคุมอารมณ์[48] โดยใช้วิธีหลายอย่างในการปรับเปลี่ยนสภาพ[56] นอกจากนั้นแล้ว การทำงานทางสมองที่ดีขึ้น ภาษา และทักษะการเคลื่อนไหวจะช่วยให้บริหารการตอบสนองทางอารมณ์และบริหารระดับการตื่นตัวได้อย่างมีประสิทธิผลกว่า[61] แต่ตัวช่วยภายนอกเพื่อควบคุมอารมณ์ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กวัยหัดเดิน ผู้สามารถเรียนรู้วิธีจากผู้ดูแลเพื่อควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม[62] ยกตัวอย่างเช่น ผู้ดูแลสามารถช่วยวิธีควบคุมตนเองโดยหันความสนใจของเด็กไปจากสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ (เช่น เมื่อฉีดวัคซีน) หรือช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ที่ทำให้กลัว[63] วัยเด็ก[แก้]ความรู้ในการควบคุมอารมณ์จะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงวัยเด็ก ยกตัวอย่างเช่น เด็กวัย 6-10 ขวบจะเริ่มเข้าใจกฎว่าเมื่อไร ที่ไหน และอย่างไรควรจะแสดงอารมณ์ จะเริ่มเข้าใจบริบทที่การแสดงอารมณ์บางอย่างเหมาะสมที่สุดทางสังคม และดังนั้นควรคอยควบคุมอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น เด็กอาจเข้าใจว่าเมื่อได้รับของขวัญก็ควรจะยิ้ม ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรจริง ๆ กับของที่ได้นั้น[64] ในวัยนี้ เด็กมีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ทางความคิดมากขึ้น นอกเหนือไปจากการหันไปสนใจสิ่งอื่น เข้าหา หรือหลีกหนี[65] เกี่ยวกับพัฒนาการควบคุมอารมณ์ที่ผิดปกติของเด็ก ผลอย่างหนึ่งที่ทนพิสูจน์แสดงว่า เด็กที่ได้อารมณ์ไม่ดีที่บ้านมากกว่ามีโอกาสสูงกว่าที่จะแสดง และมีปัญหาควบคุม อารมณ์ไม่ดีที่อยู่ในระดับสูง[66][67][68][69] วัยรุ่น[แก้]วัยรุ่นแสดงสมรรถภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดในการควบคุมอารมณ์ และการตัดสินควบคุมอารมณ์ก็กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งเป็นเพราะว่า ผลที่ได้ในระหว่างบุคคลสำคัญยิ่งขึ้นสำหรับเด็ก ดังนั้น เมื่อควบคุมอารมณ์ เด็กมีโอกาสสูงกว่าที่จะต้องคิดถึงบริบททางสังคมด้วย[70] ยกตัวอย่างเช่น วัยรุ่นมีแนวโน้มแสดงอารมณ์มากกว่าถ้าคิดว่าจะได้ความเห็นใจจากเพื่อน[71] นอกจากนั้นแล้ว การใช้กลยุทธ์ควบคุมอารมณ์โดยความคิดแบบทันควันจะเพิ่มมากขึ้นในวัยนี้ ซึ่งได้หลักฐานจากทั้งข้อมูลที่เด็กรายงานเอง[72] และจากภาพทางสมองแบบ fMRI[73] ภาพรวมของมุมมองต่าง ๆ[แก้]ทางประสาทจิตวิทยา[แก้]ทางอารมณ์[แก้]เมื่ออายุมากขึ้น การตอบสนองต่ออารมณ์ของบุคคลจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าในเชิงบวกหรือลบ งานศึกษาหลายงานแสดงว่า อารมณ์เชิงบวกจะเพิ่มขึ้นเมื่อบุคคลอายุเพิ่มจากวัยรุ่นไปถึงช่วงอายุ 70 กลาง ๆ โดยเปรียบเทียบกัน อารมณ์เชิงลบจะลดลงจนถึงช่วงอายุ 70 กลาง ๆ อารมณ์ในช่วงเป็นผู้ใหญ่จะต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์บวกหรือลบ แม้งานศึกษาบางงานจะพบว่า อารมณ์จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่บางงานก็สรุปว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนประสบกับอารมณ์ดีมากกว่า และอารมณ์ไม่ดีน้อยกว่าผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า ชายมีอารมณ์ดีมากกว่าหญิง และหญิงมีอารมณ์ไม่ดีมากกว่าชาย รวมทั้งคนโสดด้วย เหตุผลที่ให้อย่างหนึ่งว่าทำไมผู้ใหญ่วัยกลางคนมีอารมณ์ไม่ดีน้อยกว่าก็เพราะว่าได้ชนะ "บททดสอบและความยากลำบากของคนอายุน้อย เขาอาจจะประสบดุลทางอารมณ์ที่ทำให้เป็นสุขเพิ่ม ๆ ขึ้น อย่างน้อยจนกระทั่งช่วงวัย 70 กลาง" อารมณ์เชิงบวกอาจเพิ่มขึ้นในวัยกลางคน แต่เมื่อไปถึงปลายชีวิตในช่วงอายุ 70 มันจะเริ่มลดลง โดยอารมณ์เชิงลบก็จะเป็นนัยตรงกันข้าม นี่อาจจะเป็นเพราะสุขภาพแย่ลง กำลังไปถึงช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต และการเสียชีวิตของเพื่อน ๆ ญาติ ๆ[74] นอกจากจะพบอัตราพื้นฐานของอารมณ์บวกและลบ งานศึกษาต่าง ๆ ยังพบความแตกต่างระหว่างบุคคลในการดำเนินของการตอบสนองทางอารมณ์ต่อสิ่งเร้าตามกาลเวลา พลศาสตร์ของการควบคุมอารมณ์ตามกาลเวลา (ที่เรียกว่า temporal dynamics of emotional regulation หรือ affective chronometry) มีตัวแปรกุญแจสำคัญสองอย่างในกระบวนการตอบสนองทางอารมณ์ คือ ช่วงเพิ่มจนถึงยอด (rise time to peak) และช่วงกลับคืนสู่ระดับพื้นฐาน (recovery time to baseline)[75] งานศึกษาเช่นนี้มักจะแยกอารมณ์บวกและลบออกคนละหมวด (โดยไม่ต่อเนื่องกัน) เพราะว่า งานวิจัยก่อน ๆ แสดงว่า มนุษย์สามารถประสบความเปลี่ยนแปลงในหมวดหมู่เหล่านี้โดยเป็นอิสระจากกัน (แม้ว่าจะมีงานที่พบค่าสหสัมพันธ์ด้วย)[76] งานศึกษาในเรื่องนี้ทำกับคนไข้ที่มีความผิดปกติทางความวิตกกังวล ทางอารมณ์ (mood disorders) และทางบุคลิกภาพ แต่ก็ยังใช้เป็นเครื่องวัดประสิทธิผลของวิธีรักษาการควบคุมอารมณ์ที่ผิดปกติ (emotional dysregulation) ต่าง ๆ เช่นการฝึกสติ ด้วย[77] ทางประสาทวิทยา[แก้]การพัฒนาเทคนิคสร้างภาพสมองด้วย fMRI ช่วยให้สามารถศึกษาการควบคุมอารมณ์โดยลักษณะทางชีวภาพ โดยเฉพาะก็คือ งานวิจัยในทศวรรษที่ผ่านมาแสดงอย่างชัดเจนว่า การควบคุมอารมณ์มีมูลเหตุทางประสาท[78] มีหลักฐานเพียงพอที่แสดงสหสัมพันธ์ระหว่างการควบคุมอารมณ์กับรูปแบบการทำงานโดยเฉพาะ ๆ ของสมองส่วน prefrontal cortex (ซึ่งรวมเขต orbital prefrontal cortex, ventromedial prefrontal cortex และ dorsolateral prefrontal cortex) ส่วนอะมิกดะลา และส่วน anterior cingulate cortex โครงสร้างต่าง ๆ เหล่านี้มีบทบาทในด้านต่าง ๆ ของการควบคุมอารมณ์ และความผิดปกติในเขตหนึ่งหรือมากกว่านั้น และ/หรือในการทำงานร่วมกันของเขตเหล่านี้ สัมพันธ์กับการควบคุมอารมณ์ที่ล้มเหลว ผลที่ตามมาอย่างหนึ่งของเรื่องที่ค้นพบเหล่านี้ก็คือ ความแตกต่างในการทำงานของ prefrontal cortex ของแต่ละคน สามารถใช้พยากรณ์สมรรถภาพในการควบคุมอารมณ์เมื่อทำงานที่ใช้ทดสอบต่าง ๆ ในการทดลอง[79] ทางสังคม[แก้]มนุษย์มักจะเลียนแบบสีหน้าคนอื่นโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตปกติ ความคล้ายคลึงกันข้ามวัฒนธรรมต่าง ๆ ในการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด (nonverbal communication) ได้ก่อประเด็นว่า นี่เป็นภาษาสากลหรือไม่[80] ดังนั้น จึงอ้างได้ว่า การควบคุมอารมณ์มีบทบาทกุญแจสำคัญต่อสมรรถภาพในการตอบสนองอย่างถูกต้องในสถานการณ์ทางสังคม มนุษย์สามารถควบคุมสีหน้าตนเองได้โดยทั้งเหนือสำนึกและใต้สำนึก คือ อารมณ์ภายในจะเกิดขึ้นปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก และมีผลทันทีเป็นการตอบสนองทางอารมณ์และโดยปกติแล้ว เป็นการตอบสนองทางสีหน้าด้วย[81] มีหลักฐานชัดเจนแล้วว่า อารมณ์มีผลต่อสีหน้า แต่ว่างานวิจัยอย่างช้าที่สุดตั้งแต่ปี 2533 ได้ให้หลักฐานแสดงนัยตรงกันข้ามด้วย[82] เป็นแนวคิดที่ให้ความเชื่อว่า บุคคลไม่เพียงแค่ควบคุมอารมณ์ของตนได้เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลอย่างอื่นต่อมันได้ด้วย การควบคุมอารมณ์มีก็เพื่อให้เกิดอารมณ์ที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่เหมาะสม มีแม้แต่ทฤษฎีว่า อารมณ์แต่ละอย่างมีหน้าที่จำเพาะในการประสานความต้องการของสิ่งมีชีวิตกับความจำเป็นทางสิ่งแวดล้อม (cole 1994) ทักษะเช่นนี้ แม้จะปรากฏชัดในทุก ๆ เชื้อชาติ[80] แต่ก็ยังประยุกต์ใช้สำเร็จได้ไม่เท่ากันในคนอายุต่าง ๆ ในงานทดลองที่เปรียบเทียบผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกับที่สูงวัยกว่าเมื่อได้สิ่งเร้าที่ไม่น่ายินดี ผู้ที่สูงวัยกว่าสามารถควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ของตน โดยวิธีที่ดูจะหลีกเลี่ยงการการเผชิญหน้าในทางลบได้[83] ซึ่งเป็นผลงานที่สนับสนุนทฤษฎีว่า คนจะพัฒนาการควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีขึ้นไปตามอายุ ความสามารถที่พบในผู้ใหญ่เช่นนี้ดูเหมือนจะช่วยให้มีปฏิกิริยาที่ดีกว่าในรูปแบบที่พิจารณาว่าสมควรกว่าในสถานการณ์ทางสังคมบางอย่าง และช่วยให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ร้ายซึ่งมองว่ามีผลเสีย การควบคุมการแสดงอารมณ์เมื่ออยู่คนเดียว[แก้]เมื่ออยู่คนเดียว การควบคุมอารมณ์อาจเป็นแบบ minimization-miniaturization effect (ปรากฏการณ์น้อยสุด-ย่อสุด) ที่ทดแทนรูปแบบการแสดงออกทางอารมณ์ที่สามัญโดยการแสดงออกแบบเดียวกันในระดับที่น้อยกว่า นี่ไม่เหมือนสถานการณ์อื่น ที่การแสดงออกทางกาย (และการควบคุมมัน) มีจุดประสงค์ทางสังคม (เช่น ตามกฎการแสดงออกที่ยอมรับได้ทางสังคม หรือเพื่อแสดงอารมณ์ต่อคนอื่น) การอยู่คนเดียวไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกทางอารมณ์ (แม้ว่า อารมณ์ที่รุนแรงจะแสดงออกไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม) ดังนั้น แนวคิดในเรื่องนี้ก็คือว่า คนที่มีอายุมากขึ้น จะรู้แล้วว่าจุดประสงค์ในการแสดงออก (เพื่อดึงความสนใจจากผู้อื่น) ไม่จำเป็นในสถานการณ์ที่ไม่มีใครอื่น[84] และดังนั้น ระดับการแสดงออกทางอารมณ์จะมีน้อยกว่าในสถานการณ์ที่อยู่คนเดียว ความเครียด[แก้]ตามนักวิชาการท่านหนึ่ง ความเครียดทางอารมณ์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่นในการสอบเรียน สามารถลดได้โดยทำกิจกรรมที่ช่วยควบคุมอารมณ์ก่อนสถานการณ์นั้น เพื่อศึกษาผลการควบคุมตนเองต่อกระบวนการทางจิตและทางสรีรภาพภายใต้ความเครียดที่เกิดจากการสอบ เขาได้ทดลองกับกลุ่มนักศึกษา โดยมีกลุ่มทดลอง 28 คนและกลุ่มควบคุม 102 คน[85] ในขณะก่อนสอบ ระดับความเครียดเนื่องจากเหตุการณ์จะเพิ่มขึ้นในทั้งสองกลุ่มเทียบกับสภาวะปกติ ในกลุ่มทดลอง นักศึกษาใช้เทคนิคควบคุมตนเอง 3 อย่าง คือ ตั้งสมาธิที่การหายใจ การผ่อนคลายร่างกายทั่วไป และการจินตนาการว่าจะสอบผ่าน ในช่วงการสอบ ระดับความวิตกกังวลของกลุ่มทดลองต่ำกว่าของกลุ่มควบคุม นอกจากนั้นแล้ว อัตรานักศึกษาที่คะแนนไม่ผ่านในกลุ่มทดลองมีน้อยกว่า 1.7 เท่าของกลุ่มควบคุม จากข้อมูลนี้ นักวิชาการสรุปว่า การประยุกต์ใช้เทคนิคควบคุมตนเองก่อนการสอบช่วยลดระดับความตึงเครียดทางอารมณ์ ซึ่งยังช่วยให้สอบได้ดีขึ้นอีกด้วย[85] การตัดสินใจ[แก้]การรู้จักกระบวนการควบคุมอารมณ์ของตนสามารถช่วยในการตัดสินใจ[86] วรรณกรรมเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์แสดงว่า มนุษย์พยายามควบคุมประสบการณ์ทางอารมณ์ของตน[87] ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า สภาพอารมณ์ที่เรามีในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนได้โดยกลยุทธ์ควบคุมอารมณ์ ซึ่งแสดงโอกาสว่า กลยุทธ์ควบคุมต่าง ๆ กันจะมีผลต่อการตัดสินใจต่าง ๆ กัน ผลเมื่อคุมตัวเองไม่ได้[แก้]เมื่อบุคคลไม่สามารถคุมอารมณ์ของตน นั่นหมายถึงการเริ่มเกิดการทำหน้าที่ผิดปกติทางจิต-สังคมและทางอารมณ์[88] ซึ่งมีเหตุจากประสบการณ์สะเทือนใจ ที่มักเกิดขึ้นในโรงเรียนระดับประถม และบางครั้งสัมพันธ์กับการถูกรังแกซ้ำ ๆ เป็นประจำ เด็กที่ไม่สามารถควบคุมตนเองจะแสดงอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ โดยหลายวิธี รวมทั้งกรีดร้องถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการ ต่อยด้วยมือ หรือรังแกเด็กอื่น ๆ พฤติกรรมเช่นนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบจากสังคม ซึ่งก็จะทำปัญหาควบคุมตัวเองไม่ได้ให้แย่ลงหรืออย่างน้อยก็ช่วยรักษาปัญหาต่อไป เด็กเช่นนี้มีโอกาสมีความสัมพันธ์แบบเป็นศัตรูกับทั้งครูและเด็กอื่น ๆ สูงกว่า ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหามากขึ้น เช่นไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโรงเรียน และยังเป็นตัวพยากรณ์ว่าจะเลิกเรียนต่อไปในอนาคต เด็กที่ไม่สามารควบคุมตนเองจะโตเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหาเพิ่มขึ้น เพื่อน ๆ จะเริ่มสังเกตเห็น "ความไม่โต" และเด็กเช่นนี้มักจะถูกเพื่อนกีดกันไม่ให้ร่วมวง ถูกล้อ และถูกรังควาน "ความไม่โต" จะเป็นเหตุให้วัยรุ่นบางคนกลายเป็นผู้ที่คนไม่คบหา ทำให้ตัวเองทำหรือว่าร้ายผู้อื่นด้วยความโกรธและความรุนแรง โดยการถูกล้อหรือการกลายเป็นคนที่ไม่มีคนคบหาในช่วงวัยรุ่นสร้างความเสียหายเป็นพิเศษและอาจจะทำให้อนาคตไม่ดี[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งเป็นเหตุการแนะนำให้สนับสนุนเด็กควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดูเพิ่ม[แก้]
เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]
|