Skip to content Show ขายข้าวไข่เจียว (ร้านอาหาร) เสียภาษีอย่างไร ?"ขายข้าวไข่เจียวหน้าบ้าน หรือ เปิดร้านอาหารข้างทาง เสียภาษียังไง ยืนก่อนเลยได้ไหม" เป็นคำถามที่น่าสนใจที่นำมาฝากกันวันนี้ครับ
โดยคำถามเต็มๆ ที่โพสท์ในกลุ่ม ภาษีมีคำตอบ : ถาม-ตอบ แลกเปลี่ยนปัญหาภาษี คือประโยคนี้ บอกเลยว่า อ่านคำถามนี้จบแล้ว รู้สึกเลยว่านี่คือคนดีที่โลกรอ หมอ... เดี๋ยว !! แต่สิ่งที่ต้องขอก่อน คือ อย่าเพิ่งไปจ่ายภาษีครับผม เพราะว่าเรายังไม่มีรายได้ใด ๆ และก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปยื่นส่งสรรพากรเหมือนกัน แนะนำให้มาดูสิ่งที่ต้องทำมีอะไรบ้าง โดยพรี่หนอมลองย่อยประเด็นสำคัญ ๆ ให้อ่านเพื่อตัดสินใจดังนี้ครับ (หลักการนี้สามารถใช้กับธุรกิจร้านอาหารที่เป็นบุคคลธรรมดาได้หมดนะครับ) จากคำถามการ "ขายไข่เจียวหน้าบ้าน" ขอเดาว่าน่าจะเริ่มทำในรูปแบบบุคคลธรรมดา เพราะว่าไม่น่าจะจดบริษัท มันดูยิ่งใหญ่อลังการไป ดังนั้นภาษีหลัก ๆ ที่ต้องเสียแน่ ๆ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม เอาเป็นว่าเราจะพูดถึงเรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก่อน ซึ่งภาษีตัวนี้มีวิธีคำนวณอยู่ 2 วิธี คือ วิธีเงินได้สุทธิ กับ เงินได้พึงประเมิน อ่านบทความเรื่อง วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ดูคลิปด้านล่างนี้ได้เลยครับ โดยปกติแล้ว เราจะเสียวิธีเงินได้สุทธิ เพราะมักจะคำนวณออกมาแล้วได้ภาษีที่ต้องเสียมากกว่า ซึ่ง หลักการคำนวณ คือ เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ ได้มาเท่าไร เอาไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษี ซึ่งจากกรณีนี้จะสรุปได้ว่า 1.
เงินได้ = รายได้จากการขายข้าวไข่เจียว (ถ้าคน ๆ นี้มีรายได้อื่น ก็ต้องเอามาเสียภาษีด้วยนะ) 3. ค่าลดหย่อน = หักค่าลดหย่อนภาษีที่กฎหมายมีให้ เช่น ลดหย่อนส่วนตัว ลดหย่อนอื่นๆ ทุกอย่างที่มี ถ้าใครคำนวณตรงนี้เป็น ก็จะเห็นตัวเลขภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกมาได้ล่ะครับ โดยถ้าเริ่มในปี 2563 เราจะมีหน้าที่ยื่นแบบ ปีละ 2 ครั้ง คือ ภาษีเงินได้ครึ่งปี เดือนกันยายน 2563 ภาษีเงินได้เต็มปีของปี 2563 ยื่นภายในมีนาคมปี 2564 ทีนี้มาภาษีอีกตัว คือ VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ตรงนี้คำนวณ 7% จากยอดขาย เรียกว่าภาษีขาย และมีหน้าที่ต้องจดเมื่อมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้น ถ้าคิดว่าร้านของเรายอดขายถึงแน่ ๆ ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า ก็ให้เตรียมจด VAT ล่วงหน้าไว้ได้เลยจ้า แต่ถ้ายังไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปีแน่ๆ แบบนี้อาจจะเลือกไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ เอาที่สะดวกใจ แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมคิดราคาขายที่รวม VAT ไว้ด้วยนะ คำแนะนำเพิ่มเติม คือ ทำบัญชีรายรับรายจ่ายไว้ด้วย เพื่อยืนยันว่า
รายได้เรามีเท่าไร สุดท้ายนี้ พรี่หนอมฝากทุกคนติดตามบทความภาษีที่ บล็อกภาษีข้างถนน และแฟนเพจ TAXBugnoms ด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม เมื่ออาหารเป็นปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ จึงไม่แปลกใจที่อาชีพเกี่ยวกับการขายอาหารได้ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งขนาดเล็กเรื่อยไปจนถึงใหญ่ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแบบหาบเร่ มีหน้าร้านแบบซื้อกลับ หรือเปิดเป็นร้านขายอาหารมีที่นั่งรับประทานในร้าน ถือเป็นอาชีพที่มั่นคงเพราะทุกคนย่อมต้องรับประทานอาหารอยู่แล้ว อีกทั้งธุรกิจยังสร้างรายได้ได้ตลอด ดังนั้น รายได้จากการขายอาหารนี้เอง ผู้ขายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ขายจะเสียภาษีในรูปแบบบุคคลธรรมดา แต่หากมีการเปิดเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง หรืออาจมีหุ้นส่วนร่วมธุรกิจร้านอาหารด้วย จะยังคงเสียภาษีรูปแบบบุคคลธรรมได้หรือไม่ หรือควรจดทะเบียนบริษัทจึงจะถูกต้อง และแบบไหนจะใช้ประโยชน์ทางภาษีได้มากกว่ากัน เราไปทำความเข้าใจกัน เปิดร้านอาหารแบบ...บุคคลธรรมดา การเปิดร้านอาหารที่ผู้ประกอบการต้องการทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ซึ่งสิ่งที่ต้องทำประกอบด้วย 1. จดทะเบียนพาณิชย์ (ทะเบียนการค้า) ผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการทำธุรกิจในนาม "บุคคลธรรมดา" ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ทะเบียนการค้า) ตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เริ่มประกอบการร้านอาหารโดยระบุวัตถุประสงค์ของการจดทะเบียนพาณิชย์ว่า “เป็นการประกอบกิจการร้านอาหารหรือจำหน่ายอาหาร” ทั้งนี้ ร้านอาหารในเขตกรุงเทพฯ สามารถยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตที่ร้านอาหารตั้งอยู่ ส่วนต่างจังหวัดให้ยื่นคำขอได้ที่ เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลที่ร้านอาหารตั้งอยู่ในท้องที่ สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์คือ - คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้จดทะเบียนพาณิชย์ - สำเนาทะเบียนบ้านของผู้จดทะเบียนพาณิชย์ กรณีที่ผู้จดทะเบียนพาณิชย์ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านของสถานที่ตั้งร้าน ต้องแนบเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้ 1) หนังสือให้ความยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 2) สำเนาทะเบียนบ้านที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ความยินยอมเป็นเจ้าบ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า โดยมีผู้ให้ความยินยอมเป็นผู้เช่า หรือเอกสารสิทธิ์อย่างอื่นที่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้ความยินยอม - แผนที่ตั้งของร้าน - หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ไม่ได้ไปยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเอง) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี) - ค่าธรรมเนียม 50 บาท หลังจากจดทะเบียนพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องแสดงใบทะเบียนพาณิชย์ ไว้ที่สำนักงานในบริเวณที่เปิดเผยและมองเห็นได้ง่าย และต้องติดป้ายชื่อร้านที่ใช้ในการประกอบพาณิชย์ไว้หน้าร้านและร้านสาขา (ถ้ามี) บริเวณที่เปิดเผย 2. ภาษีที่ต้องเสีย สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่จดทะเบียนพาณิชย์ และเลือกเสียภาษีในนามบุคคลธรรมดา จัดเป็นอาชีพเงินได้ประเภทที่ 8 หรือ เงินได้ 40(8) หลักการเสียภาษีจะเหมือนบุคคลธรรมดาผู้มีเงินได้ทั่วไป ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ 2.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีที่ผู้ประกอบการร้านอาหารมีรายได้ 120,000 บาท/ปี ต้องยื่นแบบฯ ภาษีแต่ไม่เสียภาษี ทว่าถ้าหากมีรายได้เกิน 150,000 บาท/ปี จึงต้องเสียภาษี โดยใช้วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามอัตราภาษีขั้นบันได ตั้งแต่ 5-35% โดยยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ - ครั้งที่ 1 ยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน (รายได้ 6 เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน) ซึ่งสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th - ครั้งที่ 2 ยื่นชำระภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) ช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ของปีถัดไป (รายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม โดยนำภาษีที่จ่ายครั้งแรกมาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ในครั้งที่ 2) ซึ่งสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ถึงวันที่ 8 เมษายน ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th 2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการร้านอาหารมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ภายใน 30 วัน และต้องทำการยื่นภาษีแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน 2.3 ภาษีป้าย ในกรณีที่ร้านอาหารมีการติดป้ายชื่อร้าน ยี่ห้อ เครื่องหมายการค้า หรือการโฆษณาร้าน เป็นต้น จะต้องเสียภาษีตามพ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 โดยเก็บภาษีตามลักษณะป้าย ดังนี้ - ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยล้วน อัตราภาษีป้าย 5,10 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. - ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ และ/หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น อัตราภาษีป้าย 26, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. - ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใดๆ หรือไม่ และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ อัตราภาษีป้าย 50, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม. 2.4 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต้องพิจารณาก่อนว่าพื้นที่ร้านอาหารเป็นของผู้ประกอบการเองหรือเช่า ในกรณีที่เช่าจะต้องทำการตกลงให้ชัดเจนกับเจ้าของพื้นที่ว่าภาษีในส่วนนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ต้องเสียหากเป็นที่ดินจะใช้การประเมินทุนทรัพย์สิน และสิ่งปลูกสร้างจะใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์สิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ มูลค่า 0-50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.30% มูลค่า >50 – 200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.40% มูลค่า >200 – 1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.50% มูลค่า >1,000 – 5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.60% มูลค่า >5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.70% เปิดร้านอาหารแบบจดบริษัท...นิติบุคคล การเปิดร้านอาหารที่ผู้ประกอบการต้องการทำธุรกิจในนาม "นิติบุคคล" ซึ่งสิ่งที่ต้องทำประกอบด้วย 1. จดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล การจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล หรือการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้น ส่วนใหญ่จะนิยมจดอยู่ 2 ประเภท คือ บริษัทจำกัดกับห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล ค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากกว่าการจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา (ทะเบียนการค้า) ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหาร จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท ดังนี้ - ให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ กำหนดทุนจดทะเบียน และหาผู้ร่วมทุนเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท - กำหนดมูลค่าหุ้น และผู้ถือหุ้นสามารถจัดสรรกันเองได้ว่า ผู้ถือหุ้นจะถือหุ้นคนละจำนวนเท่าไร - ผู้ถือหุ้นทั้งหมดทำการเลือกกรรมการหนึ่งคนหรืออาจจะหลายคนก็ได้ ให้เข้ามาบริหารจัดการร้านอาหาร ซึ่งทั้งหมดจะต้องจดแจ้งไว้ในรายการที่จดทะเบียน และผู้ประกอบการต้องระบุวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับการจำหน่ายอาหาร หรือธุรกิจร้านอาหารในหนังสือรับรองนิติบุคคล ทั้งนี้ ร้านอาหารที่ขอจดทะเบียนนิติบุคคล หากอยู่กรุงเทพมหานคร ยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานทะเบียนพาณิชย์เขต ส่วนต่างจังหวัดสามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์จังหวัด โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอจดทะเบียนนิติบุคคลคือ - คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน - สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน - หนังสือหรือสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล - หนังสือให้ความยินยอมให้ใช้สถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ - สำเนาทะเบียนบ้านที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ความยินยอมเป็นเจ้าบ้านหรือผู้ขอเลขที่บ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า โดยมีผู้ให้ความยินยอมเป็นผู้เช่า หรือเอกสารสิทธิ์อย่างอื่นที่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้ความยินยอม - แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และสถานที่สำคัญบริเวณใกล้เคียงโดยสังเขป - หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่ผู้ประกอบร้านค้าไม่ได้ไปยื่นจดทะเบียนด้วยตัวเอง) - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี) - ค่าทำเนียมการจดทะเบียน 50 บาท หลังจากจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเป็นนิติบุคคลแล้ว การดำเนินการจะต้องผ่านกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทที่ได้กำหนดไว้ในรายการจดทะเบียน 2. ภาษีที่ต้องเสีย เมื่อผู้ประกอบการร้านอาหารได้จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคลแล้ว กำไรที่เกิดขึ้นจะถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งมีหลักการ (สำหรับกิจการที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี และมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท จะได้รับสิทธิภาษีอัตราของ SME) ดังนี้ กำไร 300,000 บาทแรก = ยกเว้นภาษี กำไร 300,001 – 3 ล้าน = ภาษี 15% กำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป = ภาษี 20% โดยยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ - ครั้งที่ 1 ยื่นแบบชำระภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) โดยต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี - ครั้งที่ 2 ยื่นแบบชำระภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) โดยต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีป้าย และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเหมือนกับรูปแบบบุคคลธรรมดา ความแตกต่างของการจดทะเบียนบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ระหว่างจดบริษัทนิติบุคคล หรือไม่จดยังคงอยู่ในรูปแบบบุคคลธรรมดาดีกว่า สามารถสรุปข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 แบบได้ดังนี้
ลักษณะ บุคคลทั่วไป ข้อดี - จัดตั้งง่ายเหมาะกับกิจการขนาดเล็ก - จะได้กำไรหรือขาดทุน เจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบแต่พียงผู้เดียว - อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือเจ้าของ มีอิสระในการบริหารเต็มที่ - ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่ำ - อยากยกเลิกกิจการเมื่อไหร่ก็ทำได้ง่าย - ข้อบังคบทางกฎหมายน้อย ข้อเสีย - เจ้าของรับผิดชอบในหนี้สิน ไม่จำกัดจำนวน - การหาเงินทุนเพิ่มอาจทำได้ยาก - ขาดความน่าเชื่อถือ - กิจการมีอายุอยู่ตราบเท่าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ยืนยาวและไม่ต่อเนื่อง - เสียเปรียบด้านภาษีอากร
ลักษณะ บุคคล 3 คนขึ้นไป ลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นรับผิดในหนี้ต่างๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุนแต่ละคนลงทุน และต้องจดทะเบียนนิติบุคคล ข้อดี - ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระ - มีจำนวนหุ้นส่วนได้ไม่จำกัด - ซื้อ ขายหรือโอนหุ้นให้แก่บุคคลอื่นได้ - สามารถหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ (เสียภาษีจากกำไรสุทธิทางภาษี) - มีความน่าเชื่อถือ - เสียภาษีน้อยกว่าบุคคลธรรมดา ข้อเสีย - ขั้นตอนการจัดตั้งยุ่งยาก - จำนวนผู้ถือหุ้นที่ลดลง อาจเป็นเหตุให้เลิกบริษัทได้ - การเลิกบริษัทมีขั้นตอนยุ่งยาก - ค่าใช้จ่ายการดำเนินการสูงกว่า - ต้องจัดการเอกสาร ยุ่งยากวุ่นวายกว่าบุคคลธรรมดา - มีเรื่องภาษีต่างๆมากเกี่ยวข้องมากขึ้น สรุป จะเห็นได้ว่าตั้งแต่บรรทัดแรกจนมาถึงบรรทัดนี้ แม้ว่าทั้ง 2 รูปแบบ จะมีรายละเอียดที่เหมือนและแตกต่างกันไปบ้าง รวมถึงข้อดีและข้อเสียที่ช่วยในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบุคคลธรรมดา มีธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีเจ้าของเพียงคนเดียว หรือต้องการเติบโตเป็นธุรกิจอาหารที่มีความมั่นคงในรูปแบบนิติบุคคลก็ตาม แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการร้านอาหารเองว่า ได้มองเป้าหมายของการทำธุรกิจร้านอาหารของตนเองไว้อย่างไร แล้วตัดสินใจไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ไม่ยาก ----------------------------------- ขายของต้องเสียภาษีอะไรบ้างภาษีอะไรบ้าง ที่คนทำธุรกิจต้องทำความรู้จัก. 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล ... . 2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ... . 3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ... . 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ... . 5. อากรแสตมป์. เปิดร้านค้าต้องเสียภาษีที่ไหนสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th (ยื่นออนไลน์อาจยื่นได้ถึงต้นเดือนตุลาคม) ครั้งที่ 2 ภ.ง.ด.90 ยื่นภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป สามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ (จะได้รับสิทธิขยายเวลายื่นภาษีไปอีก 8 วัน)
ขายของต้องเสียภาษีไหมดังนั้น รายได้จากการขายอาหารนี้เอง ผู้ขายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ขายจะเสียภาษีในรูปแบบบุคคลธรรมดา แต่หากมีการเปิดเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง หรืออาจมีหุ้นส่วนร่วมธุรกิจร้านอาหารด้วย จะยังคงเสียภาษีรูปแบบบุคคลธรรมได้หรือไม่ หรือควรจดทะเบียนบริษัทจึงจะถูกต้อง และแบบไหนจะใช้ประโยชน์ทางภาษีได้มากกว่า ...
ขายอาหารยื่นภาษีแบบไหนร้านอาหารที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะต้องยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้งเช่นกัน คือ - ครั้งแรก ภ.ง.ด.51 เรียกว่าภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ยื่นภายใน 2 เดือนเมื่อครบ 6 เดือนของรอบระยะเวลาบัญชี - ครั้งที่สอง ภ.ง.ด.50 เรียกว่าภาษีเงินได้สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ยื่นภายใน 150 วันนับตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
|