1. เงื่อนไขการให้บริการ ► วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางอรรถคดี 1.2 เพื่อบำบัดฟื้นฟูผู้ติด/เสพยาเสพติด 1.3 เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันผู้ติด/เสพยาเสพติด ► กลุ่มผู้รับบริการ ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม หน่วยงานเอกชน 2. ขั้นตอนการให้บริการ
3. ตัวอย่างที่รับตรวจ ปัสสาวะ 4. การส่งตัวอย่าง 4.1 จำนวนตัวอย่าง ► ปัสสาวะไม่น้อยกว่า 30 มิลลิลิตร ► แนวทางการดำเนินการส่งตัวอย่างปัสสาวะ [download] 4.2 เอกสารประกอบการส่งตัวอย่าง ► บัตรประจำตัวผู้นำส่ง เช่น บัตรข้าราชการ บัตรประชาชน (กรณีส่งตัวอย่างด้วยตนเอง) ► หนังสือนำส่งของทางราชการ /หน่วยงานนำส่ง ที่ลงนามโดยผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ► เอกสารระบุรายละเอียด ดังนี้ ชื่อสกุลเจ้าของปัสสาวะและผู้นำส่ง, ชนิดสารเสพติดที่ต้องการตรวจ, วัตถุประสงค์, วันเวลาและผู้เก็บตัวอย่างปัสสาวะ, วันเวลาที่เกิดเหตุ, ชื่อเจ้าของคดี (ถ้ามี), ผลและเทคนิคการตรวจเบื้องต้น (ถ้ามี) [download] 4.3 วิธีการส่งตัวอย่าง ► ส่งด้วยตนเอง ส่งที่ สำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อาคาร 4 ชั้น 1 เวลา 8.30 – 15.30 น. เว้นวันหยุดราชการ ► ส่งทางไปรษณีย์ สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ โดยจัดส่งตัวอย่างในหีบห่อที่ปิดสนิท พร้อมเอกสารตามข้อ 4.2 ส่งไปที่ สำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อาคาร 4 ถ.ติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 4.4 ชำระเงินค่าตรวจวิเคราะห์ (ถ้ามี) และรับหลักฐานการรับตัวอย่าง ► ชำระเงินที่ ศูนย์รวมบริการ (One stop service center) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อาคาร 1 ชั้น 1 เวลา 8.30 - 15.30 น. เว้นวันหยุดราชการ โทรศัพท์ 02 951 0000 ต่อ 99968 โดยชำระเงินพร้อมการส่งตัวอย่าง ► ช่องทางการชำระเงิน ได้แก่ เงินสด ตั๋วแลกเงิน แคชเชียร์เช็ค ดราฟต์บัตรเดบิต และบัตรเครดิต ► แคชเชียร์เช็ค หรือตั๋วแลกเงิน สั่งจ่าย "เงินบำรุงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์" ► ค่าธรรมเนียมธนาคารการใช้บัตรเครดิตเรียกเก็บจากผู้ใช้ ► งดรับเช็คบุคคลธรรมดา หรือเช็คนิติบุคคล 5. การปฏิเสธการรับตัวอย่าง ► ตัวอย่างจากเอกชนที่ไม่ใช่ลักษณะของหน่วยงาน ► จำนวนตัวอย่างน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร ► ขวดตัวอย่างไม่ปิดผนึก ► ฉลากที่ขวดมีข้อความไม่ครบถ้วนหรือฉลากเลอะเลือน ► รายละเอียดหนังสือนำส่งไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงกับฉลากที่ขวด ► ชื่อผู้นำส่งไม่ตรงกับชื่อที่ระบุในหนังสือนำส่ง (กรณีไม่ใช่ผู้มิสิทธิตามกฎหมาย) ► ไม่แสดงบัตรประจำตัวผู้นำส่ง เช่น บัตรข้าราชการ บัตรประชาชน 6. ระยะเวลาการให้บริการ 30 วันทำการ 7. อัตราค่าบำรุงการตรวจวิเคราะห์ยาเสพติด ► อัตราค่าบำรุงการตรวจวิเคราะห์และให้บริการ อ้างอิงจาก ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 136 ตอนพิเศษ 130ง ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 [download] ► อัตราค่าบำรุงการตรวจวิเคราะห์และให้บริการ (ฉบับที่ 2) อ้างอิงจาก ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 137 ตอนพิเศษ 98ง ลงวันที่ 28 เมษายน 2563 [download] 8. การรับผลตรวจวิเคราะห์ ผู้รับบริการสามารถรับผลการตรวจวิเคราะห์ได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ ► ทางไปรษณีย์ ► รับด้วยตนเอง สำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อาคาร 4 ชั้น 1 เวลา 8.30 - 15.30 น. เว้นวันหยุดราชการ โดยต้องนำหลักฐานมาแสดงในวันรับผล ดังนี้
9. การให้บริการอื่นๆ เกี่ยวกับรายงานผลวิเคราะห์ 9.1 การขอแก้ไขรายงาน ผู้รับบริการทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักยาและวัตถุเสพติด พร้อมแนบหลักฐานเอกสารที่ต้องการเปลี่ยน และใบรายงานผลการวิเคราะห์ฉบับจริง โดยผู้รับบริการต้องเสียค่าธรรมเนียมการออกรายงานใหม่ตามอัตราที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำหนด (หมายเหตุ ให้บริการเฉพาะหน่วยงานของผู้ส่งตัวอย่างเท่านั้น) 9.2 การขอสำเนาใบรายงานผลการวิเคราะห์ ผู้รับบริการทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักยาและวัตถุเสพติด พร้อมแนบหลักฐานสำเนาเอกสารใบรายงานผลการวิเคราะห์ หรือแจ้งเลขที่รายงาน/ เลขที่ตัวอย่าง เพื่อให้สามารถสืบค้นได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว โดยผู้รับบริการต้องเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท (หมายเหตุ ให้บริการเฉพาะหน่วยงานของผู้ส่งตัวอย่างเท่านั้น) 9.3 การแปลรายงานผลวิเคราะห์ฉบับภาษาอังกฤษ ผู้รับบริการทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักยาและวัตถุเสพติด แจ้งวัตถุประสงค์การขอใช้งานบริการที่ต้องการ พร้อมแจ้งเลขที่รายงานและเลขที่ตัวอย่าง โดยผู้รับบริการต้องเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท (หมายเหตุ ให้บริการเฉพาะหน่วยงานของผู้ส่งตัวอย่างเท่านั้น) 10. คำถามคำตอบที่พบบ่อย 10.1 ต้องเก็บปัสสาวะปริมาตรเท่าไร ตอบ: 30-60 มิลลิลิตร 10.2 ระยะเวลาการเก็บรักษาปัสสาวะ ตอบ: ควรส่งห้องปฏิบัติการภายใน 48 ชั่วโมง ในสภาพแช่เย็น 10.3 อุณหภูมิในการเก็บรักษาปัสสาวะที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร ตอบ: 4-8 องศาเซลเซียส 10.4 ค่าใช้จ่ายในการตรวจยืนยันผล ตอบ: ค่าใช้จ่ายการตรวจยืนยันผล 700 บาท/ชนิดสาร โดยไม่ขึ้นกับวิธีวิเคราะห์ (อ้างอิงจากราชกิจจานุเบกษาเล่ม 136 ตอนพิเศษ 130ง ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 หน้า 125-136) 10.5 ไอซ์ เป็นสารเสพติดประเภทไหน การออกฤทธิ์ และใช้ชุดทดสอบอะไรในการตรวจพิสูจน์ ตอบ: ไอซ์คือผลึกหรือผงเมทแอมเฟตามีน ที่มีความบริสุทธิ์สูง ที่ใช้สำหรับผลิตยาบ้า ไอซ์ออกฤทธิ์เหมือนยาบ้า และสามารถใช้ชุดทดสอบเมทแอมเฟตามีนในการตรวจปัสสาวะผู้ติด ผู้เสพ 10.6 มีชุดทดสอบสารระเหยในปัสสาวะหรือไม่ สามารถตรวจสารระเหยในปัสสาวะด้วยวิธีใด ตอบ: ปัจจุบันยังไม่มีชุดทดสอบสารระเหยในปัสสาวะ การตรวจสารระเหยในปัสสาวะสามารถตรวจสารเมตาบอไลต์ของสารระเหยคือสาร Hippuric acid โดยวิธี High Performance Liquid Chromatography หรือ Gas Chromatography/Mass Spectrometry 10.7 ชุดทดสอบแบบแถบ และแบบตลับ เหมือนกันหรือต่างกัน อย่างไร ตอบ: ชุดทดสอบแบบแถบ และแบบตลับ ใช้หลักการเดียวกัน ต่างกันที่ วัสดุ รูปแบบและวิธีการใช้ 10.8 หลังจากเสพเมทแอมเฟตามีนไปแล้วกี่วัน จะยังมีสารเสพติดในปัสสาวะ ตอบ: จะตรวจพบภายใน 1-3 วันหลังการเสพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคลและความถี่ของการเสพ 10.9 สารเสพติดประเภทยาบ้า จะอยู่ในร่างกายนานเท่าไร ตอบ: ยาบ้าจะถูกขับออกมา 70% ภายใน 24 ชม. หลังเสพ และมักจะตรวจพบภายใน 1-3 วัน หลัง 7 วันไปแล้ว มักจะตรวจไม่พบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล ความถี่ของการเสพ และอาหารที่รับประทาน เช่น ถ้ารับประทานอาหารที่ทำให้ปัสสาวะเป็นด่างจะทำให้การขับยาออกจากร่างกายช้าลง 10.10 ถ้าชุดทดสอบเกิดแถบสีแดงที่ตำแหน่ง C ชัดมาก แต่แถบสีที่ตำแหน่ง T เลือนลาง ให้อ่านผลอย่างไร ตอบ: ให้อ่านเป็นผลลบ 10.11 สารเคมีที่ทำให้ตรวจหาสารเสพติดเป็นผลบวกลวง (ไม่ได้เสพยาบ้า แต่ให้ผลบวกกับชุดทดสอบ) มีอะไรบ้าง ตอบ: สารที่ให้ผลบวกลวงกับชุดทดสอบได้คือ สารที่มีโครงสร้างคล้ายสารเสพติด แต่ปัจจุบันชุดทดสอบมีความจำเพาะเจาะจงสูง ทำให้มีผลบวกลวงน้อยลง แต่ก็ยังพบสารที่อาจให้ผลบวกลวงกับชุดทดสอบ เช่น ยาลดความอ้วน ยาที่ทำให้ไม่ง่วง Ranitidine Pseudoephedrine Dextromethorphan เป็นต้น 10.12 ช่วยยกตัวอย่างว่ารับประทานอะไรบ้างที่จะตรวจพบสารเมทแอมเฟตามีน เพราะบางครั้งเขาจะอ้างว่าดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เช่น กระทิงแดง ตอบ: สารที่รับประทานหรือเสพแล้ว จะตรวจพบสารเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะ คือ ยาบ้า และไอซ์ สารที่ให้ผลบวกลวงกับชุดทดสอบ ได้แก่สารที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น ยาลดความอ้วน ยาที่ทำให้ไม่ง่วง แต่ในกระทิงแดงไม่มีสารเหล่านี้ การดื่มกระทิงแดงจึงไม่ทำให้เกิดผลบวกลวง 10.13 วิธีการใช้ชุดทดสอบที่ถูกต้อง จะต้องทำอย่างไร ตอบ: อ่านคู่มือให้เข้าใจ และทดสอบตามคำแนะนำในคู่มือ 10.14 การเก็บชุดทดสอบก่อนการใช้งานควรเก็บอย่างไร อุณหภูมิเท่าไร อุณหภูมิมีผลต่อชุดตรวจหรือไม่ ตอบ: เก็บรักษาตามที่ระบุในคู่มือของผลิตภัณฑ์ 10.15 การใช้ชุดทดสอบชนิดแถบที่ถูกต้อง ตอบ: การใช้ชุดทดสอบชนิดแถบที่ถูกต้องคือจุ่มปลายชุดทดสอบลงในปัสสาวะ อย่าให้เกินขีดบอกระดับ บนแผ่นทดสอบ ตามเวลาที่กำหนด (ประมาณ 10 วินาที) แล้วหยิบขึ้นวางบนพื้นราบ จับเวลาและอ่านผลตามที่ระบุในคู่มือ 10.16 ปริมาตรปัสสาวะที่หยดในหลุมทดสอบมีผลต่อการตรวจหรือไม่ จำเป็นต้องใช้หลอดหยดที่มากับชุดทดสอบนั้นหรือไม่ หากไม่ได้ใช้ จะมีผลกับการแปลผลหรือไม่ ตอบ: ปริมาตรปัสสาวะที่หยดในหลุมทดสอบมีผลต่อการแปลผลการทดสอบ และควรใช้หลอดหยดที่ให้มากับชุดทดสอบ โดยใช้จำนวนหยดตามที่ระบุในเอกสารกำกับ 10.17 การถ่ายปัสสาวะใส่ถ้วยในปริมาณมากน้อยต่างกัน มีผลต่อการตรวจเบื้องต้นหรือไม่ ตอบ: ปริมาตรของปัสสาวะที่เก็บได้ ไม่มีผลต่อการตรวจเบื้องต้น 10.18 สามารถเก็บปัสสาวะไว้ก่อนส่งตรวจยืนยันผลนานเท่าไหร่ ตอบ: หากเก็บที่อุณหภูมิ 4-8 °C ได้นาน 2-3 เดือน ถ้าแช่แข็งอาจเก็บได้ประมาณ 6 เดือน แต่แนะนำให้ส่งตรวจภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ปัสสาวะบูดเน่า 10.19 ถ้าใช้ชุดทดสอบของโรงพยาบาล และตำรวจ ได้ผลตรงกัน แต่ส่งตรวจยืนยันผลที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ แล้วได้ผลลบ จะแก้ปัญหาอย่างไร ตอบ: รายงานผลของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นการตรวจยืนยันผลโดยใช้วิธีแยกสกัดสาร และตรวจอย่างละเอียดเพื่อยืนยันว่ามีสารเสพติดอยู่ในปัสสาวะนั้นจริงๆ ควรยึดผลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหลัก |