การยุติของสงครามเย็นมีผลต่อการศึกษาพัฒนาการทางการเมืองโดยหันไปสนใจเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตย คือ การเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตย (democratization) และการทำให้ประชาธิปไตยมั่นคง (Democraic consolidation)
ความหมายของพัฒนาการทางการเมืองที่ฮันติงตันให้ไว้มีข้อเสียคือเป็นการมองพัฒนาการทางการเมืองที่แคบไปเป็นการมองพัฒนาการทางการเมืองในประเด็นเดียวเท่านั้นคือ “การสร้างความเป็นสถาบัน” ความสำคัญของพัฒนาการทางการเมือง การศึกษาและวิเคราะห์แบบระบบ-หน้าที่มีประโยชน์ในการวางรูปแบบจำลองที่กว้างเท่านั้น การระดมทางสังคม หรือ Social mobilization ของKarl Deutsch หมายความว่า
เป็นกระบวนการที่กลุ่มความผูกพันแบบเก่าทางสังคม เศรษฐกิจ และจิตวิทยาผุกร่อนหรือแตกสลายไปและคนพร้อมที่จะรับแบบแผนใหม่ ของการอบรมขัดเกลาทางสังคมและพฤติกรรม วิธีการศึกษาแบบประวัติศาสตร์เปรียบเทียบมีข้อดีคือ แม้ว่าวิธีการศึกษาแบบนี้ไม่ได้สร้างกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีมากนัก ไม่มีความรักกรมทางทฤษฎีแบบวิทยาศาสตร์ แต่สามารถสื่อความหมายกับผู้อ่านได้ดี โดยเฉพาะผู้อ่านที่ไม่ชอบศัพท์เทคนิคและตัวเลข การศึกษาพัฒนาการทางการเมืองที่ใช้วิธีการศึกษาแบบพฤติกรรมศาสตร์มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ ยังไม่สามารถสร้างทฤษฎีที่อธิบายได้ทั่วไป (General theory) ทางด้านพัฒนาการทางการเมือง ความหมายของประชาธิปไตยที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางคือ รูปแบบการปกครองที่ให้ประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เป็นผู้กำหนดตัวผู้ปกครอง
ซึ่งมักจะใช้วิธีการเลือกตั้ง ซึ่งต้องเป็นไปอย่างเสรีและต้องมีขึ้นเป็นระยะระยะต่อเนื่องกัน และยังต้องเป็นรูปแบบการปกครองที่ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ขั้นตอนแรกของการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่คือ ขั้นตอนที่ระบบการเมืองแบบอำนาจนิยมหรือเผด็จการยินยอมให้ประชาชนมีเสรีภาพมากขึ้น (Liberalization) โดยที่ตัวระบบการเมืองยังแบบเดิม ประเทศที่ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยและความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นโดยมีผู้นำในสมัยนั้นๆ ดังต่อไปนี้ ในการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นประชาธิปไตยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมทางการเมืองจากแบบดั้งเดิมที่มีความนิ่งเฉยทางการเมือง ไม่สนใจการเมืองระดับชาติ มาเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย การสร้างให้ประชาธิปไตยมีความมั่นคง(Consolidation of Democracy)ต้องอาศัยปัจจัยดังต่อไปนี้ ความรุนแรงทางการเมือง (political violence) ที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางการเมืองคือ ความรุนแรงทางการเมืองในส่วนที่ไม่ใช่ของรัฐที่ถือว่ามีความชอบธรรมคือ การก่อการร้าย (terrorism) มีลักษณะแตกต่างจากความรุนแรงทางการเมือง คือมักเป็นการใช้ความรุนแรงแบบ “ตกขอบ” ไม่คำนึงถึงกฎ กติกา คุณธรรม หรือศีลธรรมแต่อย่างใด และยังใช้กับประชาชนที่ไม่ใช่คู่กรณีอีกด้วย อิทธิพลภายนอกที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยความรุนแรงที่เห็นได้ชัดเจนคือ การให้การศึกษา อบรม ปลูกฝังความเชื่อและอุดมการณ์
และฝึกฝนการใช้อาวุธดังเช่นการปฏิบัติการก่อการร้ายของกลุ่มอาเคดะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ การเจรจาเพื่อนำไปสู่การยุติความรุนแรงทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเงื่อนไขดังต่อไปนี้ สาเหตุของการไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในช่วงที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงนั้นในทัศนะของไอเซนสตัดท์คือ สิ่งที่จะทำให้ประชาชนยอมรับระบบการเมืองสมัยใหม่ว่ามีความชอบธรรมก็ทำได้โดยการอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (political socialization) ซึ่งเป็นกระบวนการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมทางการเมืองหรือให้วัฒนธรรมทางการเมืองหนึ่งมีความมั่นคงยั่งยืน ระบบการเมืองมีวิธีการในการระดมหรือดึงดูดทรัพยากรทางวัตถุและทรัพยากรมนุษย์ ความยืดหยุ่น (flexibility) ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของความเป็นสถาบันทางการเมือง (political institutionalization) หมายถึงความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมต่างๆได้มากสามารถทำให้ระบบการเมือง ผ่านพ้นภาวะวิกฤตต่างๆและเผชิญกับการท้าทายต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ระบบการเมืองสมัยใหม่ต้องมีรัฐบาลกลางที่มีอำนาจครอบคลุมทั้งระบบ” ข้อความนี้ไม่จริงทั้งหมด
ระบบการเมืองที่ทันสมัยหรือสมัยใหม่ต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจควบคุมทางระบบก็จริงแต่มีอำนาจหลักหลักเท่านั้น และได้มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการตนเองตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ ความสำคัญของระบบไพร่ในสมัยอยุธยา ลักษณะของระบบเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตัวเอง ลักษณะการบริหารภาครัฐในสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ลักษณะของการบริหารภาครัฐโดยพัฒนาในการรับคนเข้ามาทำหน้าที่รับใช้ผู้ปกครองในสมัยสุโขทัย ที่มาของแนวคิดทางการเมืองไทยที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่มาของการก่อตัวของชนชั้นกลาง ลักษณะของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมโดยรัฐ ุ ปัญหาการบริหารภาครัฐภายใต้การก่อตัวของระบอบธนาธิปไตย ลักษณะของประชาธิปไตยแบบจําแลงภายใต้เผด็จการคณาธิปไตยโดยคณะทหารมีลักษณะที่การเมืองเป็นการปกครองในระบอบเผด็จการคณาธิปไตยโดยคณะทหาร แต่อย่างไรก็ตามก็ได้มีความพยายามที่จะทำการจัดตั้งสถาบันและกระบวนการทางการเมืองแบบประชาธิปไตยขึ้นมาแต่ตามความเป็นจริงแล้วสถาบันและกระบวนการทางการเมืองที่คณะทหารพยายามจัดตั้งขึ้นมาหาเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่อาจแต่เป็นเพียงประชาธิปไตยแบบจําแลงภายใต้เผด็จการคณาธิปไตยโดยคณะทหารเท่านั้น ลักษณะของระบอบการปกครองแบบคณาธิปไตยเป็นเรื่องของการใช้อำนาจเงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจทางการเมืองทำให้เกิดสภาพของระบอบธนาธิปไตยหรืออธิปไตยของเงินตราทำให้การเมืองไทยในช่วงนี้กลายเป็นเรื่องของเงินตรา (Money Politics) ที่เงินเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทยโดยการใช้เงินในแทบทุกขั้นตอนของคณะกรรมการทางการเมือง ลักษณะของระบบทุนนิยมไทยภายใต้ระบบอุปถัมภ์ในช่วงปีพ. ศ 2490 ถึง 2500 ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ขาดดุลยภาพ กรณีที่เกิดข้อเสนอแนะการปฏิรูปปรัชญาหรือกระบวนทัศน์ในการบริหารภาครัฐที่มา เกิดจากปัญหาอุปสรรคที่ทำให้เกิดความพยายามในการปฏิรูปปัญญาหรือกระบวนทัศน์ในการบริหารภาครัฐที่มีชื่อว่า “กระบวนทัศน์การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่” ปัญหาของการเมืองไทยภายใต้ระบอบธนาธิปไตยมีดังนี้ การปฏิรูปการเมืองทั้งระบบได้มีการมุ่งเน้นไปใน 3 เรื่องได้แก่ 2.4กระบวนการเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายของระบอบธนาธิปไตยสู่ระบอบประชาธิปไตยทางเลือกการเกิดขึ้นของระบอบธนาธิปไตยได้นำไปสู่การทำให้การเมืองเป็นเรื่องของธุรกิจ หรือ”ธุรกิจการเมือง” ทำให้การเมืองไทยเริ่มกลายเป็นเรื่องของเงินตรา นำมาสู่การปฏิรูปการเมืองที่ทำให้เป็นที่มาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 และภายหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ทำให้เป็นที่มาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ที่นำแนวคิดเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตยแนวทางใหม่” หรือ “ประชาธิปไตยทางเลือก” มาบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผลทำให้การเมืองแบบตัวแทนลดบทบาทและอำนาจลง ระบบการเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้มีส่วนสนับสนุนส่งเสริมการเมืองภาคพลเมืองหรือการเมืองภาคประชาชนที่ถือว่ามีผลต่อพัฒนาการทางการเมืองไทยทางด้านบวก จากการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยดังกล่าวข้างต้น ส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งเกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมรวมทางเศรษฐกิจการบริหารและกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเองด้วย แต่เนื่องจากระบอบธนาธิปไตยที่ได้เริ่มก่อตัวในช่วงต้นและพัฒนาเรื่อยมาจนกระทั่งช่วงปลายทำให้เกิดการก่อตัวของการเคลื่อนไหวของสังคมแนวใหม่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่หลังการมีรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช 2550 จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันที่นำไปสู่การเสื่อมลงของระบอบการเมืองดังกล่าวและอาจนำไปสู่จุดจบของระบอบการปกครอง2.4.1 จากสังคมที่นิยมในวัตถุและบริโภคนิยมสู่สังคมและวัฒนธรรมการบริโภคเชิงสัญญะ |
ประเภท | จุดหมาย | พื้นที่ทางการเมือง | วิธีการเคลื่อนไหว |
1.ประชาคมแบบชุมชนนิยม | -การสร้างจุดเชื่อมไปสู่พื้นที่ภาครัฐ/ธุรกิจ-การเกิดความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ | -เวทีความร่วมมือแบบ “สมานฉันท์” | -การพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้-การจัดทำแผนแบบมีส่วนร่วม ฯลฯ |
2. ประชาสังคมแบบเสรีนิยม | -การต่อรองผลักดันนโยบายเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตน | -พื้นที่ ช่องทางและกลไกในระบบการเมืองปกติ | -การล็อบบี้ เคลื่อนไหวผลักดันโดยกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ |
3. ประชาสังคมแบบขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม | -การปรับสัมพันธภาพทางอำนาจในสังคม-สร้างและจรรโลงประชาธิปดไตยแบบมีส่วนร่วม | -การสร้างพลังการเคลื่อนไหวจากภายนอกระบบการเมือง | -กระทำการแบบถึงลูกถึงคน (Direct action)-การท้าทาย ขักขวาง ระบบการเมืองปกติ |
สาเหตุที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทนและกลไกปกติของระบบราชการไม่สามารถตอบสนองการเข้าถึงทรัพยากรของสังคมและการปกป้องวิธีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นได้และส่งผลต่อกระบวนการทางการเมือง
บริบททางการเมืองตั้งแต่ราวทศวรรษที่ 2530
เป็นต้นมาระบบการเมืองปกติคือประชาธิปไตยแบบตัวแทนและกลไกปกติของระบบราชการไม่สามารถตอบสนองการเข้าถึงทรัพยากรของสังคมและการปกป้องวิถีชีวิตปกติของชุมชนท้องถิ่นเนื่องจากว่าระบบการเมืองปกติทำให้ชุมชนท้องถิ่นถูกกันออกไปจากกระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจการมีส่วนร่วมที่อาศัยช่องทางสำคัญผ่านกระบวนการเลือกตั้งเป็นเพียงมายาภาพหรือเป็นการบังคับให้ยอมจำนนหรือเป็นหลุมพรางที่บอกว่าประชาชนได้มีส่วนร่วมแล้วประชาธิปไตยแบบตัวแทนของสังคมไทยจึงมีข้อจำกัดไม่สามารถรองรับการเข้ามามีส่วนร่วมท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างภาครัฐ
ภาคธุรกิจกับชุมชนท้องถิ่นและนำมาสู่การเติบโตขึ้นของประชาสังคมในลักษณะขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ซึ่งรูปแบบการเคลื่อนไหวสำคัญที่กลุ่มองค์กรเหล่านี้ได้อาศัยเป็นพลังในการต่อสู้เพื่อสร้างอิทธิพลในกระบวนการตัดสินตกลงใจของรัฐบาลและองค์กรบริหารจัดการปกครองต่างๆก็คือการอาศัยวิธีการเดินขบวน ชุมนุมประท้วง หรือการใช้เสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะ
13.4 ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย
ปัญหาประชาธิปไตยแบบตัวแทนและความจำกัดด้านรูปแบบ ช่องทาง กลไกการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง กระบวนการเลือกตั้ง การคัดสรรบุคลากรในสังคมการเมืองไทยนำมาสู่การสร้างการเมืองภาคประชาชนที่พยายามขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองภายใต้แนวคิดประชาธิปไตยทางตรงหรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
13.4.1ปัญหาด้านโครงสร้างสถาบันทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองในเชิงโครงสร้างและสถาบันที่สถาปนาผ่านแนวคิดในการสร้างการเมืองภาคประชาชนที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ 2540 และฉบับพศ 2550
ประสบปัญหาในเชิงปฏิบัติการเพราะไม่มีการออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญปัญหาการถ่ายโอนอำนาจมายังประชาชนในการตัดสินใจทางการเมืองอย่างมีระดับต่ำและปัญหาในเชิงประสิทธิภาพในเชิงการบริหารจัดการทำให้ต้นทุนการมีส่วนร่วมของประชาชนสูงขึ้น
13.4.2ปัญหาด้านวัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองสามารถมองได้จากมิติวัฒนธรรมทางการเมืองและปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ-สังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในระดับปัจเจกบุคคลแต่ก็มีข้อถกเถียงที่เสนอให้พิจารณาวัฒนธรรมการเมืองในฐานะที่เป็นผลมาจากความไม่พัฒนาประชาธิปไตย เส้นทางออกจึงควรอยู่ที่การขยายพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง การส่งเสริมให้พลเมืองมีรูปแบบจัดการชีวิตสาธารณะเอง ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไข กลไก และพื้นที่การเมืองเข้ามาใกล้ชีวิตของผู้คน
13.4.3ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอการมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบการเดินขบวน
ชุมนุมประท้วง
ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบการเดินขบวน ชุมนุมประท้วง
มันจะมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญยอมรับเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะแต่ยังมีกฎหมายที่ยังขัดแย้งและเป็นอุปสรรคอยู่จำนวนมากและอีกด้านหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนของการใช้เสรีภาพที่ต้องเป็นการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธและไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นและกระทบต่อสาธารณะจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะเป็นการเฉพาะที่ตั้งอยู่บนหลักการคุ้มครองเสรีภาพแต่ต้องไม่อยู่ภายใต้วิธีคิดว่าการชุมนุมเป็นการทำลายความมั่นคงและออกกฎหมายเพื่อควบคุมการชุมนุมสาธารณะ
ปัญหาของการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่พยายามพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมหรือประชาธิปไตยทางตรงที่ถูกออกแบบฐานบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญพ. ศ. 2540 และฉบับพ.ศ 2550 คือ
1 ปัญหาความจำกัดของกลไกและกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่จะนำมาสู่การสร้างบูรณาการระหว่างพลเมืองกับผู้มีอำนาจและองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการนโยบายสาธารณะที่เพียงพอ กลไกที่สำคัญคือ การลงประชามติ การริเริ่มกฎหมายโดยประชาชน การถอดถอนผู้บริหารทางการเมืองระดับสูง
ยังมีลักษณะที่ขยายมาสู่การ “ร่วมส่วน” ของประชาชนเท่านั้น การซื้ออำนาจตัดสินใจสูงสุดยังอยู่ที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมือง
2 ปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติกลไกการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ขยายขึ้นมาหลายรูปแบบเกิดปัญหาในระดับปฏิบัติการเพราะหากไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงได้ก็เท่ากับประชาชนไม่มีสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองในช่องทางนั้นๆ
ตามความคิดของณรงค์ พ่วงพิศ
มองว่าระบบไพร่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยดังนี้
ระบบไพร่ฟ้าที่ฝังรากลึกมาเป็นระยะเวลายาวนาน ยังคงมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ กล่าวคือทำให้เกิดการคงอยู่ของความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ในแทบทุกระดับของสังคม
การยึดถือในระดับบกอาวุธสงทำให้ผู้มีอาวุโสต่ำกว่าไม่กล้าโต้แย้งผู้มีอาวุโสสูงกว่าการยอมรับตนเองในฐานะเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินซึ่งมีผลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขาดความสำนึกในทางการเมืองและการมีลักษณะเป็นผู้ตามที่ดีมีผลทำให้ขาดความคิดริเริ่มและความเป็นตัวของตัวเองโดยเห็นว่าวัฒนธรรมทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการปกครองในวัฒนธรรมดังกล่าวได้นำมาสู่ระบบอุปถัมภ์ที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายเกี่ยวโยงกันจากระดับล่างสุดจนกระทั่งถึงระดับบนสุดคือนักการเมืองที่มีตำแหน่งบริหาร
ปัญหาและอุปสรรคของการมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบชุมนุมประท้วง
การแสดงออกซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองและรูปแบบการเดินขบวน ชุมนุมประท้วงแม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับพ. ศ. 2550 จะมีบทบัญญัติรองรับเอาไว้แต่ไม่มีการบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะโดยตรงบังคับใช้จึงเป็นปัญหาทางด้านผู้ชุมนุมที่ต้องการใช้เสรีภาพในการชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งต้องดูแลสนับสนุนการชุมนุม รวมทั้งผู้คนสังคมที่อาจได้รับผลกระทบจากการเดินขบวนชุมนุมประท้วง
หน่วยที่ 14 ขบวนการภาคประชาสังคมกับพัฒนาการทางการเมืองไทย
14.1 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับขบวนการภาคประชาสังคม
ขบวนการภาคประชาสังคมเป็นการรวมตัวกันของประชาชนที่จำนวนน้อยหรือจำนวนมาก มีพฤติกรรมการรวมกลุ่มกำหนดวัตถุประสงค์บางประการที่แน่นอนมีผลประโยชน์ร่วมเพื่อสร้างหลักประกันในเป้าหมายร่วมกันใช้ความเชื่อและค่านิยมบางประการเป็นหลักในการรวมกลุ่มมากกว่าการใช้เหตุผลรุ่งเรืองการเปลี่ยนแปลงของสังคมและมีขอบข่ายความร่วมมือมีลักษณะที่กว้างขวางจนมีการขยายตัวทางจากภายในประเทศ ภูมิภาค หรือทั่วโลก ขบวนการภาคประชาสังคมจึงมีความแตกต่างจากกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มกดดัน และพรรคการเมือง ขบวนการภาคประชาสังคมไทยเกิดขึ้นในบริบทซึ่งกลุ่มนักกิจกรรมทางสังคมที่ได้ลงไปทำงานกับชาวบ้านในยุคหลังความเสื่อมถอยของขบวนการสังคมนิยมหรือองค์กรพัฒนาเอกชนนอกจากนี้ความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนของไทยทำให้เกิดกระแสการปฏิรูปการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาคมพ. ศ. 2535 และการก่อตัวของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างกว้างขวางส่งผลให้องค์กรพัฒนาเอกชนมีส่วนสำคัญในอันส่งผลให้เกิดการเมืองแบบมวลชนนับตั้งแต่พ. ศ. 2548 เป็นต้นมา
14.1.1 ความหมายและความสำคัญของกระบวนการภาคประชาสังคม
ขบวนการภาคประชาสังคมหมายถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันโดยเน้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการรณรงค์ในกิจกรรมทางการเมืองสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญกระแสท้าทายและความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมการเมืองส่วนล่างก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนแสดงถึงกระบวนทัศน์ที่ยกระดับอีกขั้นหนึ่งในการอธิบายปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วม และกระบวนการประชาสังคม
14.1.2ลักษณะสำคัญของขบวนการภาคประชาสังคมและความแตกต่างจากการรวมกลุ่มอื่นๆ
ขบวนการภาคประชาสังคมเป็นการรวมกันของประชาชนจำนวนน้อยหรือจำนวนมากมีพฤติกรรมการรวมกลุ่มกำหนดวัตถุประสงค์บางประการที่แน่นอนมีผลประโยชน์ร่วมเพื่อสร้างหลักประกันในเป้าหมายร่วมกันใช้ความเชื่อและค่านิยมเป็นหลักในการรวมกลุ่มมากกว่าการใช้เหตุผลมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงของสังคมและมีขอบข่ายความร่วมมือมีลักษณะที่กว้างขวางจนมีการขยายตัวทางจากภายในประเทศ ภูมิภาค หรือทั่วโลก ขบวนการภาคประชาสังคมจึงมีความแตกต่างจากกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มกดดัน และพรรคการเมือง
14.1.3ความเป็นมาของขบวนการภาคประชาสังคมในการเมืองไทย
ขบวนการภาคประชาสังคมไทยเกิดขึ้นในบริบทซึ่งกลุ่มนักกิจกรรมทางสังคมที่ได้ลงไปทำงานกับชาวบ้านในยุคหลังความเสื่อมถอยของขบวนการสังคมนิยมโดยองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) นอกจากนี้ความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนของไทยทำให้เกิดกระแสการปฏิรูปการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาคมพ. ศ. 2535 และการก่อตัวของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างกว้างขวางส่งผลให้องค์กรพัฒนาเอกชนมีส่วนสำคัญในอันส่งผลให้เกิดการเมืองแบบมวลชนมาตั้งแต่พ. ศ. 2548 เป็นต้นมา
ขบวนการภาคประชาสังคมหมายถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันโดยเน้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการรณรงค์ในกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
ความแตกต่างของขบวนการภาคประชาสังคมกับการรวมกลุ่มอื่นๆ
ขบวนการภาคประชาสังคมมีความแตกต่างจากองค์กรหรือสถาบันทางสังคมและการรวมกลุ่มอื่นที่สำคัญคือกลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นการรวมกลุ่มเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันหากเป็นกลุ่มกดดันการรวมกลุ่มเพาะมีอุดมการณ์ร่วมกันหากเป็นประชาสังคมเป็นการรวมกลุ่มเพาะมีความรู้สึกร่วมกันในการเป็นเจ้าของ ขบวนการภาคประชาสังคมเป็นการรวมกลุ่มทอการนำสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ
หรือองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งทางสังคมเข้ามาเป็นหลักสำคัญในการรวมกลุ่มและแตกต่างจากพรรคการเมืองที่เป็นการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐอย่างชอบธรรมทำให้บุคคลในสังกัดพรรคการเมืองต้องลงสมัครรับเลือกตั้งขณะที่ขบวนการทางประชาสังคมต้องการครอบงำต่อต้านสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยที่อาจผ่านรัฐหรือไม่ก็ได้ ขบวนการภาคประชาสังคมซึ่งอาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคการเมืองในการเผยแพร่อุดมการณ์ทางภายในประเทศและระหว่างประเทศ เช่น กรณีพรรคคอมมิวนิสต์
หรือพรรคนาซีของเยอรมนีเป็นต้น
ขบวนการภาคประชาสังคมมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมการเมืองดังนี้
บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมโดยเป็นปฏิสัมพันธ์กับสังคมการเมืองอยู่โดยตลอดเวลาซ่อมเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองหลายยุคสมัยล้วนเกิดจากบทบาทของกระบวนการภาคประชาสังคมในทางกลับกันพัฒนาการเชิงบทบาทของกระบวนการภาคประชาสังคมไทยได้รับอิทธิพลจากพัฒนาการทางสังคมการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน
14.2 บทบาทของกระบวนการภาคประชาสังคมในการพัฒนาการเมืองไทย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ. ศ. 2475 บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมจะเป็นการต่อต้านอำนาจรัฐของชุมชนท้องถิ่นที่ปรากฏในรูปของการรวมกลุ่มและส่วนหนึ่งเป็นการส่งเสริมการรวมกลุ่มจากรัฐบทบาทของขบวนการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางการเมืองความชอบธรรมทางการเมืองและยังมีการรวมตัวกันโดยกลุ่มบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าในการพัฒนาการเมืองไปสู่ความทันสมัยเหตุการณ์ 14 ตุลาคมพศ 2516 ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของขบวนการภาคประชาสังคมอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตามบทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมสะดุดหยุดลงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมพ. ศ. 2519 ก่อนกลับมามีบทบาทและมีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่พ. ศ. 2523 ในรูปแบบองค์กรพัฒนาเอกชนเหตุการณ์พฤษภาคมพ.ศ 2535 ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามต่อความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนและกระแสการปฏิรูปการเมืองการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญพ.ศ 2540 เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดการเปิดพื้นที่ให้แก่การเมืองภาคประชาชนอย่างยิ่งขบวนการภาคประชาสังคมจึงมีความเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทต่อการสร้างเสถียรภาพ ความชอบธรรม ประสิทธิภาพประสิทธิผล และความทันสมัยทางการเมือง ความขัดแย้งระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนซึ่งเป็นขบวนการภาคประชาสังคมที่มีความสำคัญกับรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ส่งผลต่อการก่อเกิดขบวนการภาคประชาสังคมในการต่อต้านขับไล่รัฐบาลในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำมาสู่การทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนพ. ศ. 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญพ. ศ. 2550 จนเกิดกลุ่มต่อต้านในนามแนมร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และเกิดการต่อต้านขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในนามคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ในพ. ศ. 2556 ถึง 2557
14.2.1 บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ. ศ. 2475
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ. ศ. 2475 บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมจะเป็นการต่อต้านอำนาจรัฐของชุมชนท้องถิ่นที่ปรากฏในรูปของการรวมกลุ่มเช่นกบฏหมอลำน้อยชาดาพ.ศ 2479 กบฏนายสิงห์โตพ. ศ 2483 กบฏนายศิลา วงศ์สิน พ. ศ. 2502 และส่วนหนึ่งเป็นการส่งเสริมการรวมกลุ่มจากรัฐ เช่น
การเกิดขึ้นของระบบสหกรณ์ บทบาทของขบวนการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางการเมือง ความชอบธรรมทางการเมือง และยังมีการรวมตัวกันโดยกลุ่มบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าในการพัฒนาการเมืองไปสู่ความทันสมัย เช่น คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย
14.2.2 บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคมพ.ศ 2516
เหตุการณ์ 14 ตุลาคมพศ 2516 ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของกระบวนการภาคประชาสังคมอย่างกว้างขวาง เช่น ขบวนการนิสิตนักศึกษา ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเสถียรภาพ ความชอบธรรม และประสิทธิภาพ
ประสิทธิผลทางการเมืองผ่านการร่างรัฐธรรมนูญพ. ศ. 2517 อย่างไรก็ตาม บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมสะดุดหยุดลงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมพ. ศ. 2519 ก่อนกลับมามีบทบาทและมีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่พ. ศ. 2523 ในรูปแบบองค์กรพัฒนาเอกชน
14.2.3 บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมหลังเหตุการณ์พฤษภาคมพ. ศ. 2535
เหตุการณ์พฤษภาคมพ.ศ 2535 ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามต่อความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนและกระแสการปฏิรูปการเมือง การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญพ. ศ. 2540
เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดการเปิดพื้นที่ให้แก่การเมืองภาคประชาชนอย่างยิ่ง ขบวนการภาคประชาสังคมจึงมีความเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทต่อการสร้างเสถียรภาพความชอบธรรมประสิทธิภาพประสิทธิผลและความทันสมัยทางการเมือง
14.2.4บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมช่วงความขัดแย้งทางการเมืองพ. ศ. 2548 ถึง 2557
ความขัดแย้งระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนซึ่งเป็นขบวนการภาคประชาสังคมที่มีความสำคัญกับรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
ส่งผลต่อการก่อเกิดขบวนการภาคประชาสังคมในการต่อต้านขับไล่รัฐบาลในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำมาสู่การทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนพ.ศ 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญพ. ศ. 2550 จนเกิดกลุ่มต่อต้านในนามแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และเกิดการต่อต้านขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในนามคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ในพ. ศ. 2556 ถึง 2557
บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ. ศ. 2475
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ. ศ. 2475 บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมจะเป็นการต่อต้านอำนาจรัฐของชุมชนท้องถิ่นที่ปรากฏในรูปของการรวมกลุ่มเช่น กบฏหมอลำน้อยชาดา พ. ศ. 2479 กบฏนายสิงห์โต พ. ศ. 2483 กบฏนายศิลา วงศ์สิน พ. ศ. 2502 และส่วนหนึ่งเป็นการส่งเสริมการรวมกลุ่มจากรัฐ เช่น การเกิดขึ้นของระบบสหกรณ์ บทบาทของขบวนการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางการเมือง
ความชอบธรรมทางการเมือง แล้วยังมีการรวมตัวกันโดยกลุ่มบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าในการพัฒนาการเมืองไปสู่ความทันสมัย เช่น คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย
บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคมพ. ศ. 2516
เหตุการณ์ 14 ตุลาคมพ. ศ. 2516 ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของขบวนการภาคประชาสังคมอย่างกว้างขวาง เช่น ขบวนการนิสิตนักศึกษา ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเสถียรภาพ ความชอบธรรม
และประสิทธิภาพประสิทธิผลทางการเมืองผ่านการร่างรัฐธรรมนูญพ.ศ 2517 อย่างไรก็ตาม บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมสะดุดหยุดลงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมพ.ศ๒๕๑๙ก่อนกลับมามีบทบาทและมีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่พ. ศ. 2523 ในรูปแบบองค์กรพัฒนาเอกชน
บทบาทของกระบวนการภาคประชาสังคมหลังเหตุการณ์พฤษภาคมพ.ศ 2535
เหตุการณ์พฤษภาคมพ. ศ. 2535
ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามต่อความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนและประแสการปฏิรูปการเมืองการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญพ. ศ. 2540 เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดการเปิดพื้นที่ให้แก่การเมืองภาคประชาชนอย่างยิ่งขบวนการภาคประชาสังคมที่มีความเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทต่อการสร้างเสถียรภาพ/ความชอบธรรม/ประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล/และความทันสมัยทางการเมือง
บทบาทของขบวนการภาคประชาสังคมช่วงความขัดแย้งทางการเมืองพ. ศ. 2548 ถึง 2557
ความขัดแย้งระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนซึ่งเป็นกระบวนการภาคประชาสังคมที่มีความสำคัญกับรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ส่งผลต่อการก่อเกิดขบวนการภาคประชาสังคมในการต่อต้านขับไล่รัฐบาลในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นมัสการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนพ. ศ. 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญพ.ศ 2550 จนเกิดกลุ่มต่อต้านในนามแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แล้วเกิดการต่อต้านขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ในนามคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ในพ. ศ. 2556 ถึง 2557
14.3 ปัญหาและอุปสรรคของขบวนการภาคประชาสังคมในการพัฒนาการเมืองไทย
การเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาสังคมในไทยมักถูกแทรกแซงจากปัจจัยภายนอกในทุกยุคสมัยทั้งอำนาจรัฐและอำนาจทุนส่งผลให้ขบวนการภาคประชาสังคมแม่สามารถของรากลึกในสังคมและเชื่อมต่อกับประชาชนได้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระดับการมีส่วนร่วมที่ต่ำการถูกชี้นำโดยกลุ่มชนชั้นนำความอ่อนแอของขบวนการภาคประชาสังคมในเขตเมืองความน่าสนใจเข้าร่วมในกระบวนการภาคประชาสังคมเท่าที่ควรของกลุ่มคนที่มีสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจที่สูงการที่ผมคนสมัยใหม่เข้าร่วมในขบวนการภาคประชาสังคมน้อยและการถูกครอบงำจากแนวคิดการเมืองกระแสหลักแบบเก่าเป็นต้นเพราะต้นทุนทางสังคมของประชาสังคมของไทยเป็นต้นทุนทางสังคมที่ผูกพันกับลักษณะเครือญาติและลักษณะพรรคพวก(family and kinship) ที่เรียกว่า “สังคมถอยหลัง” (Backward Society) ที่เป็นสังคมก่อนสมัยใหม่และเอาองค์ประกอบนี้มาใช้รวมคนไม่ใช่รวมกันในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมหนึ่งที่จะรวมกันเพื่อปกป้องสิทธิทางการเมืองของตัวเองแต่เป็นการรวมกันในเครือข่ายแบบเครือญาติ พรรคพวก เพราะมีความเป็นไทยปนอยู่ด้วย
14.3.1การแทรกแซงกระบวนการภาคประชาสังคมจากอำนาจรัฐและอำนาจทุน
การเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาสังคมในไทยมักถูกแทรกแซงจากปัจจัยภายนอกในทุกยุคสมัยทั้งอำนาจรัฐและอำนาจทุนส่งผลให้ขบวนการภาคประชาสังคมแม่สามารถฝังรากลึกในสังคมและเชื่อมต่อกับประชาชนได้อย่างแท้จริง
14.3.2ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของขบวนการภาคประชาสังคม
การเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาสังคมในประเทศไทยตลอดช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะส่งผลให้ทางบวกต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยมากกว่าด้านลบแต่ในมิติด้านคุณภาพของกระบวนการภาคประชาสังคมไทยยังไม่เข้มแข็งเท่าใดนักไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระดับการมีส่วนร่วมที่ต่ำการถูกชี้นำโดยกลุ่มชนชั้นนำความอ่อนแอของขบวนการภาคประชาสังคมในเขตเมืองความน่าสนใจเข้าร่วมในขบวนการภาคประชาสังคมเท่าที่ควรของกลุ่มคนที่มีสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจที่สูงการที่กลุ่มคนสมัยใหม่เข้าร่วมขบวนการภาคประชาสังคมน้อยและการถูกครอบงำจากแนวคิดการเมืองกระแสหลักแบบเก่าเป็นต้น
14.3.3ความสับสนของขบวนการภาคประชาสังคมในการพัฒนาการเมืองไทย
ขบวนการภาคประชาสังคมไทยแตกต่างจากขบวนการภาคประชาสังคมของตะวันตกคือต้นทุนทางสังคมของประชาสังคมของไทยเป็นต้นทุนทางสังคมที่ผูกพันกับลักษณะเครือญาติและลักษณะพรรคพวก (family and kinship) ที่เรียกว่า “สังคมถอยหลัง” (Backward Society) ที่เป็นสังคมก่อนสมัยใหม่และเอาองค์ประกอบนี้มาใช้รวมคนไม่ใช่รวมกันในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมหนึ่งที่จะรวมกันเพื่อปกป้องสิทธิทางการเมืองของตนเองแต่เป็นการรวมกันในเครือข่ายแบบเครือญาติ พรรคพวก
เพราะมีความเป็นไทยปนอยู่ด้วย
ปัญหาการแทรกแซงกระบวนการภาคประชาสังคมจากอำนาจรัฐและทุนที่มีต่อกระบวนการภาคประชาสังคมของไทย
การเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาสังคมในไทยมักถูกแทรกแซงจากปัจจัยภายนอกในทุกยุคสมัยทางอำนาจรัฐและอำนาจทุนส่งผลให้กระบวนการภาคประชาสังคมไม่สามารถฝังรากลึกในสังคมและเชื่อมต่อกับประชาชนได้อย่างแท้จริง
ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของขบวนการภาคประชาสังคมในประเทศไทย
การเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาสังคมในประเทศไทยตลอดช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะส่งผลให้ทางบวกต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยมากกว่าด้านลบแต่ในมิติด้านคุณภาพของกระบวนการภาคประชาสังคมไทยยังไม่เข้มแข็งเท่าใดนักไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระดับการมีส่วนร่วมเพศต่างกันถูกชี้นำโดยกลุ่มชนชั้นนำความอ่อนแอของขบวนการภาคประชาสังคมในเขตเมืองความไม่สนใจเข้าร่วมในขบวนการภาคประชาสังคมเท่าที่ควรของกลุ่มคนที่มีสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจที่สูงการที่กลุ่มคนสมัยใหม่เข้าร่วมในขบวนการภาคประชาสังคมน้อยและการถูกครอบงำจากแนวคิดการเมืองกระแสหลักแบบเก่าเป็นต้น
ความสับสนของขบวนการภาคประชาสังคมในการพัฒนาการเมืองไทย
ขบวนการภาคประชาสังคมไทยแตกต่างจากกระบวนการภาคประชาสังคมของตะวันตกคือต้นทุนทางสังคมของประชาสังคมของไทยเป็นต้นทุนทางสังคมที่ผูกพันกับลักษณะเครือญาติและลักษณะพรรคพวกที่เรียกว่า “สังคมถอยหลัง” ที่เป็นสังคมก่อนสมัยใหม่ และเอาองค์ประกอบนี้มาใช้รวมคนไม่ใช่รวมกันในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมหนึ่งที่จะรวมกันเพื่อปกป้องสิทธิทางการเมืองของตัวเอง
แต่เป็นการรวมกันในเครือข่ายแบบเครือญาติ พรรคพวก เพราะมีความเป็นไทยปนอยู่ด้วย
หน่วยที่ 15 แนวโน้มของพัฒนาการทางการเมืองไทย
15.1 ความโน้มเอียงของแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมือง
แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองมีความโน้มเอียงที่เกี่ยวข้องไม่ใช่คำนึงถึงแต่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียวแต่การเปลี่ยนให้เป็นประชาธิปไตยต้องพิจารณากระบวนการทางการเมืองในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความตื่นตัวและความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม และการสร้างความเป็นสถาบันทางการเมืองด้วย เพื่อความยั่งยืนของประชาธิปไตยและเสถียรภาพทางการเมืองและการบริหารจัดการภาครัฐอย่างมีธรรมาภิบาล
15.1.1 ความโน้มเอียงในแนวคิดพัฒนาการทางการเมือง
พัฒนาการทางการเมืองเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของการเมืองที่มีแนวคิดทางการเมืองที่แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ระบบการเมืองของทุกประเทศจึงมิได้หยุดนิ่ง แต่พัฒนาทางการเมืองตลอดเวลา เพื่อการรักษาระบบการเมืองให้มั่นคงสืบไป
15.1.2
ความโน้มเอียงในแนวทางการศึกษาพัฒนาการทางการเมือง
พัฒนาการทางการเมืองมีแนวทางการศึกษา 3 แบบคือ แบบประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ แบบโครงสร้าง-หน้าที่ และแบบกระบวนการทางสังคม
15.1.3 ความโน้มเอียงในกระบวนการพัฒนาการทางการเมือง
กระบวนการพัฒนาการทางการเมืองเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนให้เป็นประชาธิปไตยที่ไม่คำนึงถึงแต่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว ถ้าต้องการคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
จำเป็นต้องพิจารณากระบวนการทางการเมืองในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความตื่นตัวและความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม และการสร้างความเป็นสถาบันทางการเมือง
15.1.4 ความโน้มเอียงในเป้าหมายของพัฒนาการทางการเมือง
ความโน้มเอียงเป้าหมายของพัฒนาการทางการเมืองอยู่ที่ความยั่งยืนของประชาธิปไตย เสถียรภาพทางการเมือง และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างมีธรรมาภิบาล
ลูเซียน พาย
ได้สรุปความหมายของพัฒนาการทางการเมืองไว้ 10 ประการ
1 การเมืองที่จำเป็นต่อการปรับปรุงและพัฒนาเศรษฐกิจ
2 การพัฒนาระบบบริหารและกฎหมาย
3 การระดมประชาชนให้มีส่วนร่วมทางการเมือง
4 การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย
5 ลักษณะหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ความโน้มเอียงในแนวทางการศึกษาพัฒนาการทางการเมือง
แนวทางการศึกษาพัฒนาการทางการเมืองมีความโน้มเอียงที่จะศึกษาแบบประวัติศาสตร์เปรียบเทียบไปสู่การศึกษาแบบโครงสร้าง-หน้าที่ตามทฤษฎีระบบการเมือง และไปสู่การศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองในกระบวนการทางสังคม
เป้าหมายของพัฒนาการทางการเมืองมีความโน้มเอียงที่จะสร้างความยั่งยืนของประชาธิปไตย สร้างเสถียรภาพทางการเมือง และบริหารจัดการภาครัฐอย่างมีธรรมาภิบาล
15.2 ความโน้มเอียงของพัฒนาการทางการเมืองไทย
พัฒนาการทางการเมืองไทยตั้งแต่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบอำมาตยาธิปไตยทำให้กลุ่มนักธุรกิจนายทุนเติบโตขึ้นภายใต้การอุปถัมภ์ของกลุ่มผู้นำข้าราชการที่เป็นนักการเมืองต่อมาได้เข้าสู่ยุคระบอบธนาธิปไตยที่กลุ่มผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่เติบโตจนสามารถเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองด้วยตนเองใช้อำนาจเงินซื้อเสียง ซื้อตำแหน่งทางการเมือง เข้ายึดโครงการตัดสินใจในนโยบายต่างๆแต่ก็สร้างปัญหามากมาย โดยเฉพาะปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้ภาคประชาสังคมลุกขึ้นต่อต้านและนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างเป็นรูปประธรรม
15.2.1จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่อำมาตยาธิปไตย
เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจล้มเหลวในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยรัชกาลที่
7ทำให้มีการปลดข้าราชการออกเป็นจำนวนมากทำให้กลุ่มผู้นำอำมาตย์ก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยโดยหวังว่าจะสามารถกอบกู้ฐานะทางการคลังของประเทศไทยแต่กลับนำประเทศเข้าสู่ยุคอำมาตยาธิปไตยเพราะมีการปกครองบ้านเมืองโดยข้าราชการของข้าราชการและเพื่อข้าราชการ
15.2.2 จากอำมาตยาธิปไตยสู่ธนาธิปไตย
ระบอบอำมาตยาธิปไตยได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีทั้งภาพพาณิชยกรรม เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รวมทั้งพัฒนาสังคมให้มีความก้าวหน้าทันสมัยทำให้กลุ่มนักธุรกิจนายทุนเติบโตขึ้นมาด้วย
ภายใต้การอุปถัมภ์คุ้มครองของกลุ่มผู้นำข้าราชการที่เป็นนักการเมือง การร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้นำข้าราชการกับกลุ่มผู้นำธุรกิจนายทุนสามารถรักษาระบอบอำมาตยาธิปไตยได้ประมาณ 40 ปีก็เข้าสู่ยุคเสื่อมของอำมาตยาธิปไตย
15.2.3 จากธนาธิปไตยสู่ประชาธิปไตยแบบไทย
ระบอบธนาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ต่อเนื่องมาจากยุคอำมาตยาธิปไตยเพราะกลุ่มผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ที่ได้รับการอุ้มชูจากระบอบอำมาตยาธิปไตยได้เติบโตจนกล้าเข้าร่วมกระบวนการทางการเมืองด้วยตนเองใช้อำนาจเงินซื้อเสียง ซื้อตำแหน่งทางการเมือง
เข้ายึดกรมการตัดสินใจในนโยบายต่างๆ จนสามารถเข้าครอบงำสัมปทานที่มีมูลค่าสูงได้เกือบทั้งหมด แต่ก็สร้างปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงทำให้ภาคประชาสังคมลุกขึ้นต่อต้านและนำประเทศเข้าสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างเป็นรูปประธรรม
สาเหตุของความล้มเหลวของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสาเหตุของความสำเร็จของการปฏิวัติพ. ศ. 2475
สาเหตุของความล้มเหลวของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เกิดจากการบริหารระบบไพร่ที่ไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในชนชั้นปกครองอยู่บ่อยครั้งความระส่ำระสายของเจ้าขุนมูลนายทำให้การควบคุมระบบไพร่ไม่เป็นระเบียบ กำลังกองทัพก็ระส่ำระสายไปด้วยลักษณะเช่นนี้ต่อเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจล้มเหลวในสมัยรัชกาลที่ 7 ทำให้มีการปลดข้าราชการออกเป็นจำนวนมากทำให้กลุ่มผู้นำอำมาตย์ก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยเป็นผลสำเร็จ
การก่อเกิดระบอบอำมาตยาธิปไตยภายหลังการปฏิวัติโดยคณะราษฎร รายการล่มสลายของระบอบอำมาตยาธิปไตย
หลังการปฏิวัติด้วยคณะราษฎรกลุ่มข้าราชการระดับสูงทั้งทางทหารและพลเรือนได้เข้าไปมีบทบาททางการเมืองในทุกเรื่องมีอำนาจในการตัดสินใจนโยบายของประเทศมีการปฏิบัติตามนโยบายของข้าราชการด้วยการครอบงำกิจการใหญ่น้อยของรัฐและสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มข้าราชการ
ตั้งแต่พ. ศ. 2510
เป็นต้นมากลุ่มผู้นำธุรกิจกลุ่มนี้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นโดยเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและเติบโตจนกลายเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประกอบกับได้มีการต่อต้านสงครามเวียดนามโดยกลุ่มบุปผาชนอเมริกัน และแนวคิดนี้ได้ระบาดเข้ามาในประเทศไทยทำให้กลุ่มนิสิตนักศึกษามีการต่อต้านฐานทัพอเมริกันในประเทศไทยด้วย จนลุกลามศูนย์การต่อต้านระบอบเผด็จการทหารของไทยวันที่ 14 ตุลาคม 2516 จึงประสบความสำเร็จในการโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ดำเนินมาถึง 40 ปี
ความเป็นมาของระบอบธนาธิปไตยและลักษณะของธนาธิปไตย
ระบอบอำมาตยาธิปไตยกลุ่มข้าราชการทหารและพลเรือนได้เข้ามาครอบงำทางการเมืองและได้ให้ความอุปถัมภ์แก่กลุ่มนักธุรกิจนายทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มของตนแต่การเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาทางการเมืองแบบประชาธิปไตยขึ้นเพื่อลดแรงกดดันทางสังคมการเมืองกลับทำให้กลุ่มนักธุรกิจนายทุนรุ่นใหม่มีโอกาสได้เข้ามามีอำนาจทางการเมืองแทนกลุ่มข้าราชการทหารและพลเรือนเดิมด้วยการทำให้การเมืองกลายเป็นธุรกิจโดยเริ่มจากการใช้เงินซื้อเสียงในเวลาที่มีการเลือกตั้งและเข้าดำรงตำแหน่งระดับรัฐมนตรีต่อมาจึงใช้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นฐานในการทำธุรกิจและหาเงินจากการอนุมัติโครงการใหญ่ๆการเลือกตั้งจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนทางธุรกิจที่เรียกว่าธุรกิจการเมืองทำให้ระบอบการเมืองไทยเข้าสู่ยุคคณาธิปไตยตั้งแต่พ.
ศ. 2516 ถึงพ.ศ 2556
15.3 ความโน้มเอียงของสถาบันทางการเมืองไทยกับพัฒนาการทางการเมืองไทย
สถาบันทางการเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นสถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร สถาบันตุลาการ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ สถาบันราชการ สื่อสารมวลชน พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ และสถาบันทางสังคม ต่างมุ่งที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางการเมืองไทยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและยึดหลักธรรมาภิบาล
15.3.1 สถาบันพระมหากษัตริย์
ด้วยการยอมรับสภาพความเป็นประมุขของรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญและการยอมรับการอยู่เหนือการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ตามแนวคิดกษัตริย์นิยมประชาธิปไตยนี้ได้มีส่วนเกื้อหนุนให้ประเทศไทยมีพัฒนาการทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง
15.3.2 สถาบันนิติบัญญัติ
พัฒนาการทางการเมืองของสถาบันนิติบัญญัติไทยมีความโน้มเอียงไปสู่การเป็นรากฐานแห่งการใช้อํานาจอันชอบธรรมของฝ่ายรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลระบอบประชาธิปไตยหรือรัฐบาลระบอบอำนาจนิยม
15.3.3 สถาบันบริหาร
พัฒนาการทางการเมืองที่สําคัญของสถาบันบริหารคือการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฎหมายแม้นว่าจะได้ความชอบธรรมทางการเมืองจากการเลือกตั้งรัฐบาลก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
15.3.4 สถาบันตุลาการ
สถาบันตุลาการมีความโน้มเอียงสู่การวางรากฐานวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมให้กับการเมืองภาคประชาสังคมและตอกย้ำความสำคัญของธรรมาภิบาลทางการเมืองของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
15.3.5 องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มที่จะประคับประคองการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการเมืองภาคประชาสังคมตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
15.3.6 สถาบันราชการ
สถาบันราชการไทยสามารถประคับประคองงานของบ้านเมืองไปได้ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างไรแต่แนวโน้มของการจัดการภาครัฐแนวใหม่มีผลต่อการส่งเสริมการเมืองภาคประชาสังคมอย่างเห็นได้ชัด
15.3.7 สื่อสารมวลชน
สื่อสารมวลชนของไทยมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเมื่อสื่อสารมวลชนมีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นจึงกล้าที่จะเสนอข้อมูลข่าวสารทุกแง่มุมให้ประชาชนรับรู้อันเป็นการกระตุ้นการตระหนักรู้ถึงปัญหาบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง
15.3.8 พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
ปรากฏการณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ทางสังคมหรือกลุ่มภาคประชาสังคมที่เติบใหญ่ขึ้นทุกขนาดมีส่วนช่วยกระตุ้นจิตสำนึกทางการเมืองของคนไทยมีให้ไหลไปตามกระแสทุนนิยมทางการเมืองของกลุ่มธนาธิปัตย์
นับเป็นพัฒนาการทางการเมืองที่ก้าวหน้าไปอีกก้าวหนึ่งในความเป็นประชาธิปไตย
15.3.9 สถาบันทางสังคม
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองที่เปลี่ยนผ่านจากระบอบธนาธิปไตยสู่ระบบสังคมการเมืองสารสนเทศย่อมเกิดการปะทะทางความเชื่อทางการเมืองระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่นำไปสู่ความขัดแย้งในความเชื่อทางการเมืองอย่างรุนแรงและสถาบันทางสังคมไทยได้วางรากฐานแนวคิดการมีคุณธรรมทางการเมืองไว้อย่างลึกซึ้งในคติธรรมทางการเมืองมีส่วนช่วยให้พัฒนาการทางการเมืองไทยเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในอนาคต
สถาบันพระมหากษัตริย์มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบททางการเมืองไทยเน้นแนวคิดการพัฒนาประเทศการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติการเรียงความรักชาติและความมั่นคงของชาติซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการธำรงรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่พ. ศ. 2475
นอกเหนือจากการเป็นผู้ริเริ่มร่างกฎหมายสถาบันนิติบัญญัติยังมีหน้าที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัตยาบันสนธิสัญญา ควบคุมการเก็บภาษี และการกำกับดูแลการบริหารงานภาครัฐ พัฒนาการทางการเมืองของสถาบันนิติบัญญัติไทยมีความโน้มเอียงไปสู่การเป็นรากฐานแห่งการใช้อํานาจอันชอบธรรมของฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลระบอบอำนาจนิยมหรือระบอบประชาธิปไตย
ความโน้มเอียงของสถาบันบริหารในการพัฒนาการเมืองไทย
1 การพัฒนาสถาบันบริหารยังคงอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์
2
การพัฒนาสถาบันบริหารยังโน้มเอียงสู่การปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพต่ำและมีความโน้มเอียงจะเสียดุลยภาพทางการบริหารภาครัฐได้ง่าย
3 พฤติกรรมทางการเมืองของสถาบันบริหารมีความโน้มเอียงที่มุ่งแสวงหา รักษา รักษาผลประโยชน์เพื่อการต่อรองทางการเมือง
บทบาทของสถาบันตุลาการในการพัฒนาการทางการเมืองไทยจะมีความโน้มเอียงดังนี้
1 ถ่วงดุลในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพื่อสนับสนุนให้การปกครองแผ่นดินเป็นไปตามทำนองคลองธรรม
2
พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญตรวจสอบตีความวินิจฉัยกฎหมายต่างๆไม่ให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
3 คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
4 สนับสนุนธรรมาภิบาลทางการเมืองให้เกิดขึ้น
ในการพัฒนาทางการเมืองไทยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการพัฒนาการเมืองไทยดังนี้
1 บทบาทในการป้องกันการได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบ
2 บทบาทในการป้องกันการใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ
3 บทบาทในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ
4
บทบาทในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
แนวโน้มของสถาบันราชการที่มีต่อการพัฒนาการทางการเมืองไทย
1 สถาบันราชการยังคงรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางสูง
2 สถาบันราชการยังไม่เปิดใจการให้ภาคประชาสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างจริงจัง
3 สถาบันราชการยังคงรวมศูนย์อำนาจด้านงบประมาณไว้ที่สำนักงบประมาณ
4 โครงสร้างของสถาบันราชการไทยยังคงมีขนาดใหญ่โต
5
ระบบธุรกิจการเมืองในช่วงธนาธิปไตยได้มีส่วนผลักดันให้ข้าราชการบางส่วนคล้อยตามต่อการทุจริตมิชอบในวงราชการ
6 สถาบันราชการยังคงมีวัฒนธรรมที่ยึดหลักอาวุโส
บทบาทของสื่อสารมวลชนในพัฒนาการทางการเมืองไทยช่วงอำมาตยาธิปไตยและในช่วงธนาธิปไตย
บทบาทของสื่อสารมวลชนในพัฒนาการทางการเมืองช่วงอำมาตยาธิปไตยเป็นไปในลักษณะของการเป็นเครื่องมือของรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองหรือสร้างการยอมรับของประชาชน
บทบาทของสื่อสารมวลชนในการพัฒนาการทางการเมืองไทยในช่วงคณาธิปไตยเป็นไปในลักษณะของเครื่องมือการตลาดทางการเมืองโดยนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเปรียบเสมือนเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งที่นำเสนอต่อประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีการหาเสียงโดยผ่านสื่อต่างๆในลักษณะการสื่อสารการตลาดทางการเมือง
กลุ่มผลประโยชน์ในสมัยธนาธิปไตยมีบทบาทต่อพัฒนาการทางการเมืองดังนี้
ในสมัยธนาธิปไตยมีการรวมตัวของกลุ่มทุนทางเศรษฐกิจอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลประโยชน์ด้านการเงินและการธนาคาร ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้านตลาดทุนและตลาดหลักทรัพย์ ด้านพลังงาน ด้านสื่อสารมวลชน
กลุ่มทุนเหล่านี้มุ่งแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพราะต้องการคุ้มครองธุรกิจในเครือและต้องการควบคุมนโยบายเศรษฐกิจให้เป็นในทิศทางที่กลุ่มทุนต้องการในระยะแรกกลุ่มทุนจึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พรรคการเมืองต่อมากลุ่มทุนได้พัฒนาเป็นการกดดันให้พรรคการเมืองแต่งตั้งบุคคลในกลุ่มของตนเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของกลุ่มทุนต่อมากลุ่มทุนบางกลุ่มได้พัฒนาไปถึงขั้นจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองโดยตรงเสียเองธุรกิจทางการเมืองจึงเกิดขึ้นในสมัยธนาธิปไตยนี้เอง
สถาบันทางสังคมที่มีบทบาทต่อพัฒนาการทางการเมืองไทยได้แก่ ครอบครัว วัด โรงเรียน
15.4 แนวโน้มของพัฒนาการทางการเมืองไทย
แนวโน้มของพัฒนาการทางการเมืองไทยที่สำคัญคือ ประชาชนจะมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น มีการกระจายอำนาจระหว่างส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ขบวนการภาคประชาชนจะมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น
15.4.1 การมีส่วนร่วมทางการเมือง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในกระบวนการพัฒนาการทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมเป็นส่วนขยายต่อของระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทน ซึ่งจะทำให้ลดอำนาจการปกครองโดยอภิชนคนชั้นสูงที่มีมานานในประวัติศาสตร์
15.4.2 การกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระจายธรรมาภิบาลโดยการปรับโครงสร้างหรือการปรับองค์การใหม่เพื่อให้ระบบมีความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างสถาบันที่มีธรรมาภิบาลในส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นซึ่งการกระจายอำนาจมี 4
รูปแบบได้แก่ การมอบอำนาจหน้าที่ การแบ่งอำนาจ การแปรรูป และการถ่ายโอนอำนาจ
15.4.3 ขบวนการภาคประชาสังคม
ขบวนการภาคประชาสังคมหมายถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งเพื่อกระทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีผลประโยชน์ร่วมกันมีการใช้ความเชื่อและค่านิยมเป็นหลักในการรวมกลุ่มมากกว่าการใช้เหตุผลและมีขอบข่ายความร่วมมือที่กว้างขวางขบวนการภาคประชาสังคมมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมซึ่งแตกต่างจากกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอิทธิพลและพรรคการเมืองที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเพื่อยึดถือครอบครองอำนาจรัฐ
แนวโน้มการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทยในพัฒนาการทางการเมืองไทยมีมากขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530 ขบวนการทางสังคมไทยได้เพิ่มการมีส่วนร่วมเพื่อจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจของรัฐถ่วงดุลอำนาจรัฐเพื่อประชาสังคมแต่ไม่ยึดอำนาจรัฐดังจะเห็นได้จากขบวนการเคลื่อนไหวคนจนที่ผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรของชุมชน ดิน น้ำ ป่า เป็นต้น สมัชชาคนจนได้ต่อสู้เรียกอำนาจคืนมาจากผู้แทนเพื่อที่จะมาจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจกันใหม่ระหว่างรัฐกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐโดยผ่านกลไกและพื้นที่ทางการเมืองแบบใหม่
พัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยที่เป็นการกระจายอำนาจระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นมี 4 รูปแบบได้แก่
1 การมอบอำนาจหน้าที่ (Delegation)
2 การแบ่งอำนาจ (deconcentration)
3 การแปรรูป (Privatization)
4
การถ่ายโอนอำนาจ (devolution)
การเคลื่อนไหวของขบวนการภาคประชาสังคมในปัจจุบันมี 2 ลักษณะคือขบวนการภาคประชาสังคมที่สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม กับขบวนการภาคประชาสังคมแนวอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม
บริจากเพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าของบล็อคได้นะคะ
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคร่าาา