ความหมาย ลำดับขั้นการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ หลักปฏิบัติในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ การฟัง เป็นการรับรู้ความหมายของสาร กระบวนการฟังจะเริ่มตั้งแต่เสียงมากระทบกับประสาทหู เกิดการได้ยิน การฟังจะมีกระบวนการทำงานของสมองมาเกี่ยวข้องด้วย สามารถรับรู้สิ่งที่ได้ยิน ตีความ จับความ เข้าใจความหมาย และจดจำไว้ วิจารณญาณคือ ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง การฟังการอ่านให้เกิดวิจารณญาณจะต้องตั้งใจ ทำความเข้าใจเนื้อหาสาระ รู้จักคิดใคร่ครวญ ใช้ความรู้ ความคิด เหตุผล และประสบการณ์ของตนประกอบการพิจารณา การฟังการอ่านให้เกิดวิจารณญาณนั้น อาจสรุปได้ดังนี้ ๑. พิจารณาจุดมุ่งหมายของผู้พูด ๒. พิจารณาความเป็นไปได้ของเรื่อง ๓. พิจารณาความน่าเชื่อถือของเรื่อง ๔. พิจารณาสารประโยชน์ แง่คิดของเรื่อง ๕. วินิจฉัยความเข้าใจของผู้พูด ๖. พิจารณาวิธีการพูด วิธีการถ่ายทอดของผู้พูด กระบวนการฟังให้เกิดวิจารณญาณ กระบวนการฟังสารให้เกิดวิจารณญาณ เริ่มจากเกิดการรับรู้ เข้าใจความหมายของสาร ต่อจากนั้นจะต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญ ตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดเป็นใจความสำคัญ สิ่งใดเป็นพลความแยกข้อเท็จจริง ออกจากความคิดเห็นได้ วินิจฉัยได้ว่าสารที่ฟังนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่มากน้อยเพียงใด ประเมินค่าได้ ทั้งประเมินค่าของสารที่ฟัง และประเมินค่าผู้พูดในด้านต่าง ๆ การฟังเพื่อให้เกิดวิจารณญาณจะต้องฟังอย่างไม่มีอคติ การพัฒนาวิจารณญาณในการฟัง การฝึกฟังประเภทต่าง ๆ จะช่วยพัฒนาวิจารณญาณในการฟังได้ โดยทั่วไปสารแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. สารให้ความรู้ สารให้ความรู้บางชนิดเข้าใจได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณ แต่บางชนิดจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณ เช่น บทความที่แฝงแง่คิดและเจตนาไว้ การฟังสารให้ความรู้เพื่อให้เกิดวิจารณญาณ มีแนวทางปฏิบัติดังนี้ ๑.๑ พิจารณาว่าเรื่องนั้นมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ควรแก่การฟังหรือไม่ ๑.๒ เรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง ต้องตั้งใจฟัง จับประเด็นสำคัญให้ได้ วินิจสาร คือ ตีความให้ได้ความหมายที่แท้จริงที่ผู้ส่งสารสื่อถึงผู้ฟัง ตรวจสอบความสามารถในการวินิจสาร เทียบกับคนอื่นที่ฟัง ๑.๓ แยกข้อเท็จจริงจากข้อคิดเห็น พิจารณาทัศนคติของผู้พูด พิจารณา ความน่าเชื่อถือของสาร ๑.๔ บันทึกประเด็นสำคัญไว้ บันทึกคำถามหรือประเด็นที่ควรอภิปรายไว้ ๑.๕ ประเมินค่าสารนั้นว่ามีประโยชน์ มีแง่คิด มีคุณค่าอะไรบ้าง ๑.๖ พิจารณากลวิธีในการเสนอความรู้ของผู้พูด การใช้ถ้อยคำสำนวน ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ 2. สารโน้มน้าวใจ เมื่อฟังสารประเภทนี้ จะต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ส่งสารมีจุดมุ่งหมาย อย่างไร เป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดี การฟังที่โน้มน้าวใจ อาจพิจารณาดังนี้ ๒.๑ สารนั้นดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง หรือเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของผู้พูดมากน้อยเพียงใด ๒.๒ สารนั้นสนองความต้องการหรือก่อให้ผู้ฟังเกิดความปรารถนาอย่างไร มากน้อยเพียงใด ๒.๓ ผู้พูดเสนอแนวทางที่จะสนองความต้องการของผู้บังคับหรือประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับอย่างไร ๒.๔ สารนั้นเร้าให้ผู้ฟังเชื่อถือเกี่ยวกับสิ่งใด ต้องการให้ผู้ฟังคิดปฏิบัติ อย่างไร ๒.๕ ภาษาที่ใช้มีลักษณะเร้าอารมณ์อย่างไร 3. สารจรรโลงใจ สารจรรโลงใจจะทำให้ผู้ฟังผ่อนคลายจากความตึงเครียด เกิดความสุข ช่วยยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น การฟังสารจรรโลงใจมีวิธีสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ตั้งใจฟัง ทำใจให้สบายในขณะที่ฟัง ๓.๒ ทำความเข้าใจเนื้อหาสำคัญ ใช้จินตนาการให้ตรงจุดประสงค์ของสาร ๓.๓ พิจารณาว่าสารนั้นจรรโลงใจในแง่ใด อย่างไร สมเหตุสมผลหรือไม่ ๓.๔ พิจารณาการใช้ภาษาว่าเหมาะสมกับเนื้อหาและผู้รับสารเพียงใด แบบทดสอบ ๑. “ที่ชายชลเขาชะโงกเป็นโกรกธารน้ำพุพุ่งซ่า ไหลมาฉาดฉาน เห็นตระการ มันไหลจอก ๆ โครม ๆ มันดังจอก ๆ จอก ๆ โครม ๆ”1. สารให้ความรู้ 2. สารจรรโลงใจ 3. สารโน้มน้าวใจ 4. ข้อ ๑ และข้อ ๓ ๒. “ลูกเอ๋ย กลับบ้านของเราเถอะนะ ลูกเป็นหัวใจของบ้านเรา ทุกคนในบ้านรักลูก อยากเห็นลูกเป็นคนดี กลับเนื้อกลับตัวกลับบ้านพร้อมพ่อแม่เถิดลูกรัก”๑. สารให้ความรู้ ๒. สารจรรโลงใจ ๓. สารโน้มน้าวใจ ๔ ข้อ ๑ และข้อ ๓ ๓. “วิธีทำหมูอบนั้นต้องล้างเนื้อหมูให้สะอาด หั่นเป็นชิ้น โขลกรากผักชี กระเทียม เกลือ พริกไทยให้ละเอียด ใส่ซีอิ๊วขาว เหล้า เนย เคล้ากับหมูให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำไปอบด้วยไฟ 400 องศาฟาเรนไฮต์ จนเนื้อหมูสุกดี”๑. สารให้ความรู้ ๒. สารจรรโลงใจ ๓. สารโน้มน้าวใจ ๔. ข้อ ๑ และข้อ ๓ ๔. “ผิวของคุณจะนุ่มนวลอ่อนละมุน เมื่อคุณใช้ครีมทาผิว....ที่ผสมด้วยน้ำมะนาว ผิวสาวของคุณจะสดสวยตลอดกาล อย่ารอช้าปล่อยเวลาให้ผ่านไป รีบใช้ครีมทาผิว.......”๑. สารให้ความรู้ ๒. สารจรรโลงใจ ๓. สารโน้มน้าวใจ ๔. ข้อ ๑ และข้อ ๓ ๕. “พิศดูหมู่วิหกผกโผผิน โบกบินร่อนร้องก้องขรม |