การบัญชีเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการผลิต (Accounting for manufacturing overhead) Show ต้นทุนผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง และค่าใช้จ่ายการผลิต แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายการผลิตประกอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน ต้นทุนบางชนิดเป็นค่าใช้จ่ายการผลิตฝันแปร(ค่าเสื่อมราคา(ช.ม. เครื่องจักร) ,ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) ต้นทุนบางชนิดเป็นค่าใช้จ่ายการผลิตคงที่ (ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร(เส้นตรง), ค่าเช่าโรงงาน) ต้นทุนบางชนิดเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องรอให้ถึงสิ้นงวดก่อนกิจการจึงจะสามารถบันทึกค่าใช้จ่ายการผลิตได้ครบถ้วน(ค่าน้ำค่าไฟโรงงาน,ค่าเสื่อมราคา) ปัญหาดังกล่าวจึงทำให้มีการกำหนดวิธีการคำนวณต้นทุนตามวิธีปกติ (Normal costing) ใช้แทนต้นทุนจริง(Actual costing) ซึ่งการคำนวณต้นทุนตามวิธีปกติจะประกอบด้วย วัตถุดิบทางตรง (จริง) ค่าแรงงานทางตรง (จริง) และ ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน (เป็นค่าใช้จ่ายการผลิตที่ประมาณขึ้นล่วงหน้า โดยคำนวณได้จากฐานต่างๆกัน) ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน (Manufacturing overhead application) อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต กิจกรรม จากสูตรดังกล่าวทำให้กิจการต้องทราบงบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต ณ ระดับกิจกรรมหนึ่งที่เหมาะสม และทราบหน่วยของกิจกรรมที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน จึงต้องมีการพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 1. งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต จะประมาณจากปริมาณการผลิต ซึ่งหากกิจการประมาณ ปริมาณการผลิตได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง จะทำให้งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิตใกล้เคียงกับความเป็นจริงด้วย การประมาณปริมาณการผลิตสามารถพิจารณาได้ 3 ลักษณะ 1.1 ประมาณตามระดับการผลิตในเชิงทฤษฏี (Theoretical or ideal productive capacity) เป็นการประมาณระดับการผลิตที่จะให้ผลผลิตในจำนวนสูงสุด โดยมีสมมุติฐานว่า การดำเนินการผลิตจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 100% ซึ่งสามารถทำงานได้ตลอด 24 ช.ม.ได้ในแต่ละวัน โดยไม่มีการหยุดชะงัก ซึ่งในทางปฏิบัติจริงเกิดขึ้นได้ยาก 1.2 ประมาณตามระดับการผลิตปกติ (Normal capacity) เป็นการประมาณการผลิตในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่เกินกว่า 1 ปี(ระยะยาว) ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิตจะเท่ากันทุกปี 1.3 ประมาณตามระดับการผลิตที่คาดว่าจะผลิตจริง (Actual expected capacity) เป็นการประมาณระดับการผลิตตามแผนในระยะสั้นปีต่อปี โดยประมาณจากความต้องการของตลาดจำนวนเครื่องจักร หรือปริมาณพนักงานฝ่ายผลิต * ในทางปฏิบัติจะประมาณงบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต ณ ระดับการผลิตปกติ และระดับการผลิตที่คาดว่าจะผลิตจริง 2. กิจกรรม มี 5 เกณฑ์ คือ - ต้นทุนวัตถุดิบทางตรง (Direct material) - ต้นทุนค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) - หน่วยผลิตเสร็จ(Unit of production) - ชั่วโมงแรงงานทางตรง (Direct labor hours) - ชั่วโมงเครื่องจักร (Machine hours) ตัวอย่างที่ 1 กิจการผลิตสินค้าแห่งหนึ่งได้ประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต และมีข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตสำหรับงวด 1 ปี เป็นดังนี้ งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต 500,000 บาท ต้นทุนวัตถุดิบทางตรง 800,000 บาท ต้นทุนค่าแรงงานทางตรง 400,000 บาท หน่วยที่ผลิตเสร็จ 200,000 หน่วย ชั่วโมงแรงงานทางตรง 100,000 ชั่วโมง ชั่วโมงเครื่องจักร 250,000 ชั่วโมง 1. ต้นทุนวัตถุดิบทางตรง อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต ต้นทุนวัตถุดิบทางตรง = x 100 = 62.50 % ของต้นทุนวัตถุดิบทางตรง เหมาะสำหรับกิจการที่มีค่าใช้จ่ายการผลิตสัมพันธ์กับต้นทุนวัตถุดิบทางตรง 2. ต้นทุนค่าแรงงานทางตรง อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต ต้นทุนค่าแรงงานทางตรง = x 100 = 125% ของต้นทุนค่าแรงงานทางตรง เหมาะสำหรับกิจการที่มีค่าใช้จ่ายการผลิตความสัมพันธ์กับค่าแรงงานทางตรง 3. หน่วยผลิตเสร็จ อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต หน่วยที่ผลิตเสร็จ = = 2.50 บาท/หน่วย เหมาะสำหรับกิจการที่ผลิตสินค้าเพียงชนิดเดียวเพราะทุกหน่วยผลิตเท่ากันทุกหน่วย 4. ชั่วโมง แรงงานทางตรง อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต ชั่วโมงแรงงานทางตรง = = 5 บาทต่อ ช.ม.แรงงานทางตรง เหมาะสำหรับกิจการที่ใช้แรงงานคนหรือเวลาการทำงานของคนเป็นหลัก 5. ชั่วโมงเครื่องจักร อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิต ชั่วโมงเครื่องจักร = = 2 บาทต่อ ช.ม.เครื่องจักร เหมาะสำหรับกิจการที่ใช้เครื่องจักรเป็นจำนวนมากๆ * อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตอาจใช้อัตราเดียวทั้งโรงงาน หรืออาจมีหลายอัตราแตกต่างกันไปตามแผนกผลิต เมื่อกิจการทราบถึงอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานแล้วก็สามารถคำนวณหาค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานได้ดังนี้ ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน = อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน X กิจกรรมจริง สูตรในการคำนวณค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน การบันทึกค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน เป็นดังนี้ เดบิต งานระหว่างผลิต XX เครดิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน XX ตัวอย่างที่ 2 กิจการมีอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเท่ากับ 120 % ต่อต้นทุนวัตถุดิบทางตรงดังนั้น ถ้าเดือนมีนาคมโรงงานผลิตสินค้าใช้ต้นทุนวัตถุดิบทางตรงไปทั้งสิ้นเท่ากับ 40,000 บาท ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสำหรับเดือนมีนาคมจะเท่ากับ 48,000 บาท(40,000x120%) เดบิต งานระหว่างผลิต 48,000 เครดิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน 48,000 ตัวอย่างที่ 3 บริษัท จันทรา จำกัด ใช้เกณฑ์ชั่วโมงแรงงานทางตรงในการคำนวณค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน เท่ากับ 5 บาทต่อชั่วโมงแรงงานทางตรง บริษัท จันทรา จำกัดมีค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจริงได้ดังต่อไปนี้ วัตถุดิบทางอ้อม 10,000 บาท ค่าแรงงานทางอ้อม 2,000 บาท ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร 3,000 บาท ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำโรงงาน 1,000 บาท เงินเดือนผู้ควบคุมโรงงาน 4,000 บาท ค่าเสื่อมราคา – โรงงาน 5,000 บาท รวม 25,000 บาท การจัดการเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป ทุกๆ สิ้นงวดบัญชีกิจการจะโอนปิดค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน และค่าใช้จ่ายการผลิต ซึ่งจะ ทำให้เกิดบัญชี ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป รายการดังกล่าวอาจมียอดคงเหลือด้านเดบิต หรือเครดิตก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประมาณการค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานที่แตกต่างจากค่าใช้จ่ายการผลิต(จริง) ของกิจการ ในขั้นสุดท้ายกิจการจะต้องปิดค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป ซึ่งมีวิธีจัดการ 2 วิธี คือ 1. ปิดบัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป เข้าบัญชีต้นทุนขาย(ผลต่างไม่มีนัยสำคัญ) วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกต่อการปฏิบัติ ซึ่งใช้ในกรณีที่ยอดคงเหลือของบัญชี ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป มีจำนวนไม่มากหรือไม่มีนัยสำคัญ การบันทึกบัญชีสามารถแยกพิจารณาได้ 2 กรณี ดังนี้ 1.1 บัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป มียอดคงเหลือด้านเดบิต (ประมาณการต่ำไป) เดบิต ต้นทุนขาย XX เครดิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป XX 1.2 บัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไปมียอดคงเหลือด้านเครดิต(ประมาณการสูงไป) เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป XX เครดิต ต้นทุนขาย XX จากตัวอย่างบริษัท จันทรา จำกัด การบันทึกบัญชีในสมุดรายวันทั่วไปเป็นดังนี้
2. ปิดบัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป เข้าบัญชี งานระหว่างผลิต, สินค้าสำเร็จรูป และ ต้นทุนขาย(ผลต่างมีนัยสำคัญ) วิธีนี้เป็นวิธีที่ให้ความสำคัญงานระหว่างผลิต, สินค้าสำเร็จรูป และ ต้นทุนขาย เนื่องจากต้นทุนการผลิตจะถูกปันส่วนอยู่ในงานระหว่างผลิตเมื่อทำการผลิต และเมื่อผลิตเสร็จจะโอนไปเป็นสินค้าสำเร็จรูป และเมื่อกิจการขายสินค้าได้ จะโอนไปเป็นต้นทุนขาย ดังนั้นทั้ง 3 บัญชีดังกล่าวจะได้รับโอนค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานโดยตรง ซึ่งหมายถึงยอดคงเหลือทั้ง 3 บัญชีก็จะสูงหรือต่ำไปด้วยเช่นกัน การบันทึกบัญชีสามารถแยกพิจารณาได้ 2 กรณีดังนี้ 2.1 บัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป มียอดคงเหลือด้านเดบิต(ประมาณการต่ำไป) เดบิต งานระหว่างผลิต XX สินค้าสำเร็จรูป XX ต้นทุนขาย XX เครดิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป XX 2.2 บัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไปมียอดคงเหลือด้านเครดิต(ประมาณการสูงไป) เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป XX เครดิต งานระหว่างผลิต XX สินค้าสำเร็จรูป XX ต้นทุนขาย XX นอกจากนี้หลักในการปันส่วนผลต่างค่าใช้จ่ายการผลิต สามารถปฏิบัติได้ 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 ปันส่วนผลต่างตามยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท วิธีที่ 2 ปันส่วนผลต่างตามสัดส่วนที่ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเฉพาะงวดนี้สะสมอยู่ ตัวอย่างที่ 4 บริษัท ธนบัตร จำกัด มีค่าใช้จ่ายการผลิตจริงประจำปีเท่ากับ 200,000 บาท ,มีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเท่ากับ 250,000 บาท และมียอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท ณ วันสิ้นปีดังนี้ ยอดคงเหลือ *ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน งานระหว่างผลิต 200,000 40,000 สินค้าสำเร็จรูป 300,000 35,000 ต้นทุนขาย 500,000 50,000 * เป็นค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเฉพาะงวดนี้ที่สะสมอยู่ในยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท คำนวณผลต่างค่าใช้จ่ายการผลิต : ค่าใช้จ่ายการผลิตจริง 200,000 บาท ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างาน 250,000 บาท ประมาณการสูงไป 50,000 บาท วิธีที่ 1 ปันส่วนผลต่างตามยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท งานระหว่างผลิต 50,000 x = 10,000 บาท สินค้าสำเร็จรูป 50,000 x = 15,000 บาท ต้นทุนขาย 50,000 x = 25,000 บาท รวม = 50,000 บาท การบันทึกบัญชีเป็นดังนี้ เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป 50,000 เครดิต งานระหว่างผลิต 10,000 สินค้าสำเร็จรูป 15,000 ต้นทุนขาย 25,000 วิธีที่ 2 ปันส่วนผลต่างตามสัดส่วนที่ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเฉพาะงวดนี้สะสมอยู่ งานระหว่างผลิต 50,000 x = 16,000 บาท สินค้าสำเร็จรูป 50,000 x = 14,000 บาท ต้นทุนขาย 50,000 x = 20,000 บาท รวม = 50,000 บาท การบันทึกบัญชีเป็นดังนี้ เดบิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป 50,000 เครดิต งานระหว่างผลิต 16,000 สินค้าสำเร็จรูป 14,000 ต้นทุนขาย 20,000 เปรียบเทียบการบันทึกบัญชีสินค้าแบบต่อเนื่อง(Perpetual inventory method)ระหว่างต้นทุนจริง(Actual costing)กับต้นทุนปกติ(Narmal Costing)
สินค้าคงเหลือ ณ วันที่ 1 มกราคม 25X1 ประกอบด้วย วัตถุดิบ 10,000 บาท งานระหว่างผลิต 20,000 บาท สินค้าสำเร็จรูป 30,000 บาท 1. ซื้อวัตถุดิบทางตรง 50,000 บาทและวัตถุดิบทางอ้อม 20,000 บาทเป็นเงินเชื่อ 2. เบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิตทั้งสิ้น 30,000 บาทเป็นวัตถุดิบทางตรง 25,000 บาท วัตถุดิบทางอ้อม 5,000 บาท 3. ค่าแรงงานทางตรงและค่าแรงงานทางอ้อมสำหรับเดือนมกราคมเท่ากับ 20,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 2,000 บาท และเงินประกันสังคม 1,000 บาท (ค่าแรงงานทางตรง 3,000 ชั่วโมง เป็นเงิน 18,000 บาท และค่าแรงทางอ้อม 2,000 บาท) 4. จ่ายค่าแรงงานเป็นเงินสด 5. อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเท่ากับ 8 บาท/ชั่วโมงแรงงานทางตรง 6. ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจริงนอกเหนือจากวัตถุดิบทางอ้อม และค่าแรงงานทางอ้อม มีดังนี้ ค่าไฟฟ้าในโรงงาน 5,000(ยังไม่ได้จ่าย) ค่าเสื่อมราคา – โรงงาน 1,000 ค่าซ่อมบำรุงเครื่องจักร 2,000 เงินเดือนผู้ควบคุมโรงงาน 22,000(ยังไม่ได้จ่าย) รวม 30,000 7. ต้นทุนสินค้าที่ผลิตเสร็จเท่ากับ 50,000 บาท 8. ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อ 120,000 บาท ต้นทุนสินค้าที่ขาย 40,000 บาท การบันทึกบัญชีเป็นดังนี้
ค่าใช้จ่ายการผลิต 5,000 24,000 2,000 30,000 * 13,000 ในโรงงานแต่ละแห่งสามารถจำแนกหน้าที่การปฏิบัติงานของพนักงานได้ 2 ลักษณะ คือ 1. แผนกผลิต เช่น แผนกตัด แผนกเย็บ แผนกหลอม แผนกตกแต่ง เป็นต้น 2. แผนกสนับสนุน(บริการ) เช่น แผนกซ่อมบำรุง แผนกอาคารสถานที่ แผนกไอที เป็นต้น ทั้งแผนกผลิตและแผนกสนับสนุนมีหน้าที่จัดทำงบประมาณค่าใช้จ่าย หรืองบประมาณต้นทุน ในแผนกของตนไว้ล่วงหน้า แต่เนื่องจากแผนกสนับสนุนมีหน้าที่ให้บริการแผนกผลิต งบประมาณของแผนกสนับสนุนจึงควรปันส่วนมาให้แก่แผนกผลิตตามกิจกรรมที่ให้บริการแก่กัน นั่นหมายความว่า ต้นทุนของแผนกผลิตจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับการปันส่วนมาจากแผนกสนับสนุน และจะนำต้นทุนรวมไปคำนวณหาอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานของแผนกผลิตต่อไป การปันส่วนงบประมาณต้นทุนของแผนกบริการไปยังแผนกผลิตมี 3 วิธี 1. การปันส่วนโดยตรง(Direct method) 2. การปันส่วนเป็นขั้น (Step method)
1. การปันส่วนโดยตรง(Direct method) เป็นการปันส่วนจากแผนกบริการไปหาแผนกผลิตโดยตรง ตามสัดส่วนของกิจกรรมที่ใช้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย แผนกบริการ แผนกผลิต ตัวอย่างที่ 6 ข้อมูลเกี่ยวกับการประมาณต้นทุนและค่าใช้จ่ายการผลิตของบริษัท yellow จำกัด มีดังนี้ งบประมาณค่าใช้จ่ายการผลิตในแผนกผลิต : แผนกตัดต่อ 100,000 บาท แผนกประกอบ 70,000 บาท งบประมาณต้นทุนในแผนกบริการ : แผนกซ่อมบำรุง 80,000 บาท แผนกบริการทั่วไป 30,000 บาท กิจการคำนวณอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานโดยใช้เกณฑ์ชั่วโมงแรงงานทางตรง ข้อมูลเกี่ยวกับเกณฑ์ในการปันส่วนมีดังนี้
การปันส่วนแผนกบริการไปยังแผนกผลิต มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. ปันส่วนแผนกซ่อมบำรุง ไปยังแผนกผลิต โดยใช้จำนวนพื้นที่ต่อตารางฟุตของแผนกผลิตแต่ ละแผนกเป็นเกณฑ์ 2. ปันส่วนแผนกบริการทั่วไป ไปยังแผนกผลิต โดยใช้จำนวนพนักงานของแผนกผลิตแต่ละ แผนกเป็นเกณฑ์ วิธีการปันส่วน
ปันส่วนต้นทุนของแผนกซ่อมบำรุง 1. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 80,000 x = 51,200 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 80,000 x = 28,800 บาท ปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการทั่วไป 1. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 30,000 x = 25,000 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 30,000 x = 5,000 บาท 2. การปันส่วนเป็นขั้น (Step method) เป็นการปันส่วนจากแผนกบริการหนึ่งไปหาแผนกบริการอื่นตามสัดส่วนของกิจกรรมที่ใช้ จากนั้นจึงจะปันส่วนจากแผนกบริการไปยังแผนกผลิต ตามสัดส่วนของกิจกรรมที่ใช้ แผนกบริการ แผนกผลิต จากตัวอย่างบริษัท yellow จำกัด ถ้าสมมุติว่ากิจการต้องการที่จะใช้วิธีการปันส่วนต้นทุนเป็นขั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. ปันส่วนต้นทุนของแผนกซ่อมบำรุงก่อนอันดับแรก โดยใช้พื้นที่ต่อตารางฟุตในการปันส่วน 2. ปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการทั่วไป เป็นอันดับสอง โดยใช้จำนวนพนักงานในการปันส่วน วิธีการปันส่วน
ปันส่วนต้นทุนของแผนกซ่อมบำรุง 1. ปันส่วนให้แผนกบริการทั่วไป 80,000x = 17,500 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 80,000x = 40,000 บาท 3. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 80,000x = 22,500 บาท ปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการทั่วไป 1. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 47,500x = 39,583.33 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 47,500x = 7,916.67 บาท 3. การปันส่วนแบบพีชคณิต (Algebraic method)เป็นการปันส่วนระหว่างแผนกบริการด้วยกันก่อนตามสัดส่วนของกิจกรรมที่ใช้ จากนั้นจึงจะปันส่วนจากแผนกบริการไปยังแผนกผลิต ตามสัดส่วนของกิจกรรมที่ใช้ วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในสภาพความเป็นจริง แผนกบริการ แผนกผลิต จากตัวอย่างบริษัท yellow จำกัด ถ้าสมมุติว่ากิจการต้องการที่จะใช้วิธีการปันส่วนต้นทุนแบบพีชคณิต มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. ปันส่วนต้นทุนของแผนกซ่อมบำรุงโดยใช้พื้นที่ต่อตารางฟุตในการปันส่วน 2. ปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการทั่วไปโดยใช้จำนวนพนักงานในการปันส่วน แผนกซ่อมบำรุงปันส่วนให้แผนกบริการทั่วไป : = = 0.2188 ของต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของแผนกซ่อมบำรุง แผนกบริการทั่วไปปันส่วนให้แผนกซ่อมบำรุง : = = 0.25 ของต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของแผนกบริการทั่วไป กำหนดให้ X = ต้นทุนที่เกิดขึ้นในแผนกซ่อมบำรุง Y = ต้นทุนที่เกิดขึ้นในแผนกบริการทั่วไป สูตรสำหรับหาค่า X = 80,000 + 0.25Y สูตรสำหรับหาค่า Y = 30,000 + 0.2188X การแก้สมการเพื่อหาค่า X และ Y เป็นดังนี้ X = 80,000 + 0.25Y X = 80,000 + 0.25(30,000 + 0.2188X) X = 80,000 + 7,500 + 0.0547X 0.9453X = 80,000 + 7,500 0.9453X = 87,500 X = X = 92,563.2074 บาท เมื่อเราทราบค่า X แล้ว ก็จะนำค่า X ไปแทนค่าในสมการ Y เพื่อหาค่า Y ดังนี้ Y = 30,000 + 0.2188X Y = 30,000 + 0.2188(92,563.2074) Y = 30,000 + 20,252.8298 Y = 50,252.8298 บาท วิธีการปันส่วน
ปันส่วนต้นทุนของแผนกซ่อมบำรุง 1. ปันส่วนให้แผนกบริการทั่วไป 92,563.2074 x = 20,248.2016 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 92,563.2074 x = 46,281.6037 บาท 3. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 92,563.2074 x = 26,033.4021 บาท ปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการทั่วไป 1. ปันส่วนให้แผนกซ่อมบำรุง 50,252.8298 x = 12,563.2075 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 50,252.8298 x = 31,408.0186 บาท 3. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 50,252.8298 x = 6,281.6037 บาท ตัวอย่างการบันทึกบัญชีของบริษัท yellow จำกัด โดยสมมุติว่าในปี 25X1 กิจการปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการโดยตรง(Direct method) ข้อมูลต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในปี 25X1 มีดังนี้ แผนกตัดต่อ 230,000 บาท แผนกประกอบ 100,000 บาท แผนกซ่อมบำรุง 90,000 บาท แผนกบริการทั่วไป 10,000 บาท
วิธีการปันส่วน
ปันส่วนต้นทุนของแผนกซ่อมบำรุง 1. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 90,000 x = 67,500 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 90,000 x = 22,500 บาท ปันส่วนต้นทุนของแผนกบริการทั่วไป 1. ปันส่วนให้แผนกตัดต่อ 10,000 x = 8,000 บาท 2. ปันส่วนให้แผนกประกอบ 10,000 x = 2,000 บาท ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานที่สูงหรือต่ำกว่าค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจริงจะบันทึกบัญชีอย่างไรเมื่อจำนวนค่าใช้จ่ายการผลิตจัดสรรมีจำนวนสูงหรือต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจริง กิจการจะต้องบันทึกรายการดังกล่าวไว้ในบัญชี “ค่าใช้จ่ายการผลิตจัดสรรสูงไป” หรือ “ค่าใช้จ่ายการผลิตจัดสรรต่ำไป” แล้วแต่กรณี และเมื่อถึงวันสิ้นงวดบัญชี กิจการต้องแสดงผลการดำเนินงานที่เหมาะสมและใกล้เคียงความเป็นจริง ในขณะที่งบดุลก็จะ ...
การกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานเพื่อประโยชน์อะไรการกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตจัดสรร หรือ อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานหมายถึง กระบวนการในการประมาณการ หรือการคาดการณ์ถึงค่าใช้จ่ายการผลิตต่อหน่วย ต่อชั่วโมงแรงงานทางตรง ต่อชั่วโมงเครื่องจักร หรือต่อต้นทุนวัตถุดิบทางตรงไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้แล้วแต่นโยบายของกิจการในการกำหนดฐานเพื่อใช้ปันส่วนค่าใช้จ่ายการผลิตเข้าเป็น ...
ค่าใช้จ่ายในการผลิตเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไรค่าใช้จ่ายการผลิต (Manufacturing Overhead) เป็นต้นทุนรายการหนึ่งของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนที่นอกเหนือไปจากวัตถุดิบทางตรงและค่าแรงงานทางตรง ค่าใช้จ่ายการผลิตอาจเรียกในอีกชื่อว่า ค่าใช้จ่ายโรงงาน (Factory Expenses) ค่าใช้จ่ายการผลิตจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มคือ วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect Material) แรงงานทางอ้อม ( ...
ค่าใช้จ่ายในการผลิตคิดเข้างานบันทึกบัญชีอย่างไรค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป มีจำนวนไม่มากหรือไม่มีนัยสำคัญ การบันทึกบัญชีสามารถแยกพิจารณาได้ 2 กรณี ดังนี้ 1.1 บัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป มียอดคงเหลือด้านเดบิต (ประมาณการต่ำไป) เดบิต ต้นทุนขาย XX. เครดิต ค่าใช้จ่ายการผลิตคิดเข้างานสูง(ต่ำ)ไป XX.
|