วิตามิน ถือเป็นตัวช่วยเติมสารอาหารได้จากการที่ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่างไป ซึ่งนอกจากเราจะกินเพื่อทดแทนสารอาหารที่ขาดหายไปแล้ว ในบางคนยังกินเพื่อบำรุงส่วนต่างๆ อีกด้วย เช่น กินวิตามินซีเพื่อช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงหรือเพื่อให้ผิวขาวผ่อง กินคอลลาเจนเพื่อให้ผิวดูสุขภาพดีและดูอิ่มน้ำ ซึ่งการกินวิตามินแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดวัตถุประสงค์แต่อย่างใด เพราะวิตามินในปัจจุบันไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยบำรุงให้เราดูดีขึ้นได้อีกด้วย Show ถึงแม้แต่ละคนจะมีวัตถุประสงค์ในการกินที่แตกต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายที่มีเหมือนกันนั่นก็คือเมื่อกินวิตามินเข้าไปแล้ว เราจะทำอย่างไรให้วิตามินที่กินเข้าไป ร่างกายสามารถดูดซึมได้เต็มที่ เพื่อให้วิตามินสามารถแสดงผลได้อย่างที่ต้องการและไม่เป็นการเสียของไปเปล่าๆ ค่ะ ซึ่งวิธีในการกินวิตามินแต่ละชนิดนั้นก็ต่างกันออกไป เพราะบางชนิดก็ละลายได้ดีในน้ำ บางชนิดก็ละลายได้ดีในน้ำมัน แต่ละชนิดควรกินตอนไหน กินคู่กับอาหารอะไรจึงจะออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ วันนี้เรามีมาบอกกันค่ะ 9 วิธี กินวิตามิน ให้ร่างกายดูดซึมได้มากที่สุด1. วิตามินซีวิตามินซีจัดเป็นวิตามินที่สำคัญและร่างกายต้องการค่ะ เพราะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด โรคเลือดออกตามไรฟันและยังช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย ซึ่งวิตามินซีนั้นจัดเป็นวิตามินละลายได้ดีในน้ำแต่ก็ยังมีฤทธิ์เป็นกรด การจะกินให้ได้ผลดีและไม่กระทบกับกระเพาะอาหารนั้น ควรกินหลังอาหารเช้า วันละ 1000 mg ค่ะ 2. วิตามินบีวิตามินบีนั้นช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยลดการอ่อนเพลีย อ่อนล้า ใครที่ทำงานหนักจนรู้สึกไม่ได้พักผ่อนลองกินวิตามินบีได้ค่ะ โดยเราควรกินในตอนเช้า ช่วงก่อนอาหารหรือกินในขณะที่ท้องว่างเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีค่ะ พยายามหลีกเลี่ยงการกินวิตามินบีก่อนนอน เนื่องจากอาจจะทำให้นอนไม่หลับค่ะ ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจก็สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินบีได้ >> ที่นี่ << 3. วิตามินเอ ดี อี เคสำหรับวิตามินเอ ดี อี เค จัดเป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน เพราะฉะนั้นเราสามารถกินวิตามินเหล่านี้พร้อมกับอาหารก็ได้ หรือจะกินหลังจากที่กินอาหารประเภทไขมันไปแล้ว 30 นาทีก็ได้เช่นกันค่ะ ส่วนสาวๆ คนไหนที่กินอิฟนิ่งพริมโรสอยู่แล้วก็ให้หยุดการกินวิตามินอีค่ะ เลือกกินตัวใดตัวหนึ่งก็เพียงพอ เนื่องจากอิฟนิ่งพริมโรสก็จัดเป็นวิตามินอีเช่นเดียวกัน หากกินทั้งคู่จะได้รับวิตามินอีเกินจากที่ร่างกายต้องการได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วค่ะ 4. คอลลาเจนคอลลาเจนจัดเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในการกินเพื่อบำรุงผิวค่ะ โดยเราสามารถกินคอลลาเจนในตอนท้องว่างจะดูดซึมได้ดีกว่า ซึ่งอาจจะเป็นก่อนอาหารมื้อเช้าก็ได้ค่ะ 5. โพรไบโอติกส์โพรไบโอติกส์นั้นถือเป็นตัวช่วยในการขับถ่ายได้อย่างดีมากๆ ใครที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำลองหาโพรไบโอติกส์มากินได้ค่ะ ซึ่งโดยปกติเราสามารถรับโพรไบโอติกส์จากการกินอาหารได้อยู่แล้ว ทั้งโยเกิร์ต กิมจิ ก็ล้วนแต่มีโพรไบโอติกส์ทั้งนั้นค่ะ แต่ถ้าหากสาวๆ อยากจะลองกินแบบเป็นวิตามินแล้วก็สามารถกินหลังอาหาร 2 - 3 ชั่วโมงได้ค่ะ 6. แคลเซียมแคลเซียมแบบเม็ดที่มีขายในท้องตลาดนั้นถูกแบ่งออกคร่าวๆ เป็น 2 ชนิดค่ะ ซึ่งวิธีการกินก็แตกต่างกัน สหรับคนที่กินแคลเซียมคาร์บอเนต ควรกินหลังอาหารทันที แต่สำหรับคนที่กินแคลเซียมซิเตรตให้เลือกกินตอนท้องว่างค่ะ 7. นมผึ้งนมผึ้งจัดเป็นจัดเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเป็นแหล่งรวมของวิตามินหลายชนิด ซึ่งปริมาณที่ควรกินอยู่ที่ 1000 Mg/วัน โดยเวลาที่ควรกินนั้นก็สามารถกินก่อนนอนก็ได้ หรือจะกินในตอนเช้าหลังอาหารก็ได้ค่ะ 8. น้ำมันปลาน้ำมันปลาคือน้ำมันที่สกัดออกมาจากส่วนต่างๆ ของปลา ซึ่งช่วยลดความโลหิต และยังช่วยเพิ่มปริมาณไขมันดีให้กับร่างกาย โดยการกินน้ำมันปลานี้สามารถกินพร้อมอาหารไปเลยก็ได้หรือจะกินหลังอาหารก็ได้เพราะร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าตอนท้องว่างค่ะ 9. น้ำมันตับปลาน้ำมันตับปลาคือสารที่สกัดออกมาจากบริเวณตับของปลาทะเล โดยมีสรรพคุณช่วยลดไขมันเลวในร่างกาย ช่วยลดการเกิดโรคไต ลดการอักเสบของข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย ลดความดัน ป้องกันโรคหัวใจ โดยเราควรกินน้ำมันตับปลาพร้อมอาหารหรือกินหลังอาหารทันทีเพื่อลดผลข้างเคียงค่ะ ......................................... อัพเดทเทรนด์เมคอัพ แฟชั่น เคล็ดลับลดน้ำหนัก และไลฟ์สไตล์ผู้หญิงใหม่ๆ ทุกวัน ได้ที่แอปพลิเคชัน ทรูไอดี ดาวน์โหลดเลยที่นี่!! บทความที่คุณอาจสนใจ
7 วิตามิน ช่วยบำรุงร่างกาย ควรกินตอนไหน ให้ได้ประโยชน์สูงสุด วิตามิน อยู่ในกลุ่มของสารอาหารที่เรียกว่า Micronutrients หรือแปลว่าสารอาหารที่ร่างกายไม่ต้องการเป็นจำนวนมาก ต่างกับ Macronutrients ที่ร่างกายต้องการเยอะๆ Macronutrients ประกอบไปด้วย
ส่วน Micronutrients ที่เป็นวิตามินหลักๆมีดังนี้
ด้วยความที่วิตามิน เป็น Micronutrients ร่างกายไม่ได้ต้องการเยอะมากขนาดนั้น ซึ่งคำว่าเยอะเกินไป ในแต่ละวิตามินแต่ละชนิด ก็ต่างกัน แต่โดยปกติแล้ว คนทั่วไปมักจะมีอาการขาด มากกว่าได้รับเกินครับ จากการศึกษา เราพบว่าการจะกินวิตามินให้ “เกิน” จนถึงขึ้นสะสมนั้น จำเป็นต้องกินเยอะในปริมาณที่มากกว่าที่คนทั่วไปกิน เยอะพอสมควรครับ สรุปว่าสะสมไหม:อะไรที่เราได้รับเข้าไปนร่างกายนั้น ย่อมมีการถูกย่อย ดูดซึม และขับออกมาตามธรรมชาติ แต่วิตามินนั้น มีสองชนิดหลักๆ คือแบบที่ละลายในน้ำ และแบบที่ละลายในไขมัน ซึ่งในส่วนที่ละลายในไขมัน จะสามารถถูกนำไปเก็บในตับได้ วิตามินที่ละลายในไขมัน คือ
ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำ
ร่างกายคนเราประกอบไปด้วยน้ำ 60-70% ซึ่งน้ำในร่างกายเรา จะถูกถ่ายออกทั้งหมดในเวลาประมาณ 16 วัน และ Recycle ใหม่เสมอๆ สำหรับวิตามินที่ละลายในน้ำ วิตามินซี หรือบี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ดังนั้นคำถามว่า “สะสมไหม” ต้องถามต่อว่า สะสมที่ไหน? เพราะในเมื่อน้ำในร่างกายของเราถูก recycle ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่เกิดการสะสมนั่นเอง (แต่อาจจะทำให้ร่างกายเราทำงานหนักได้หากได้รับเยอะมากๆ มีงานวิจัยหนึ่งที่พบว่าการกินอาหารเสริมมากๆ ทำให้ส่งผลถึงไตได้ เช่นหากกิน Vitamin C มากเกิน 1g ต่อวันต่อเนื่อง อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วได้) แต่สำหรับคนทั่วๆไป ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เนื่องจากการจะกิน Vitamin C ให้เกิน 1g อย่างต่อเนื่อง ต้อง “ตั้งใจมากๆ” พอสมควร ดังนั้นคนที่กินอาหารหลัก หรืออาหารเสริมพอดีๆ ไม่มีปัญหานี้แน่นอน) ข้อมูลเสริม: ตัวอย่างสำหรับ Multi Vitamin แต่ละยี่ห้อจะมีปริมาณ Vitamin C ไม่เท่ากัน เช่น Centrum มี Vitamin C 52mg ซึ่งการจะกินจนเกิดผลเป็นนิ่วได้อย่างตัวอย่างนี้ ยากมากๆครับ ต่างกับวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งอาจจะสะสมในตับ และในเซลไขมันในร่างกายได้ครับ วิตามินที่ละลายในไขมันก็เช่น A E D K ซึ่งเอาจริงๆแล้วถ้าไมได้กินอาหารเสริมเยอะมากๆ ก็แทบจะสะสม “ต่อเนื่อง” ได้ยากมากเลยครับ แต่สิ่งที่อยากให้เข้าใจคือ ถึงแม้บางวิตามินอาจจะไม่สะสม แต่กินเยอะไปก็มีผลเสียถึงแม้ vitamin C และ B จะไม่สะสมก็จริง แต่การกินมากเกินไปก็มีผลเสียได้! Vitamin C มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการเช่นท้องเสีย มึนหัว อาเจียน หรือเป็นนิ่วได้ และจะส่งผลต่อการดูดซึมวิตามอินอื่นๆได้ด้วย ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าคนเรากิน Vitamin C ได้ถึง 10 กรัมโดยไม่มีผลร้ายแรงต่อร่างกาย (เยอะมากๆๆๆ ไม่มีใครกินถึงแน่นอนยกเว้นตั้งใจเปิดกระปุกและเอาวิตามินกรอกปาก) แต่หากกินมากกว่า 2 กรัม อาจทำให้ท้องเสียได้ Vitamin B2 มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการปัสสาวะ เป็นสีเหลือง เรียกว่าอาการ Flavinuria เกิดมาจากสาร Riboflavin ที่ขับออกมาด้วย ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบผลเสียครับ เนื่องจากวิตามิน B มีหลายตัว ข้อเสียของการได้รับมากๆ หลักๆที่ควรรู้คือ Vitamin B 3 ซึ่งอาจจะทำให้มีผลต่อตับได้ (แทบเกิดขึ้นได้ยากมากจากการกินอาหารธรรมชาติ เคสที่เกิดคือกินอาหารเสริมเยอะมากๆ) ส่วนวิตามินที่ละลายในไขมันก็เกิดผลเสียได้เช่นกันหากกินเยอะมากๆ
สรุป:วิตามินมีประโยชน์มากกว่าโทษแน่นอนแต่การกินวิตามินเยอะเกินไปก็มีโทษเช่นกัน แต่จริงๆแล้วการกินวิตามินเยอะเกินไป เป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ยาก หากไม่ได้จงใจกินมากๆ เช่นบางคนมีแนวคิดว่ายิ่งเยอะยิ่งดีเลยกินวิตามินเยอะๆ หรือในบางกรณีคือมีการกินอาหารบางชนิดเยอะๆซ้ำๆและไปกินวิตามินเสริมอีกเยอะๆโดยไม่ดูว่าเราขาดตรงไหน ส่วนใหญ่เกิดมาจากความเข้าใจผิดๆซึ่งจริงๆแล้ว เราแนะนำว่าก่อนจะกินวิตามินเสริม เราควรได้รับอาหารหลักให้เพียงพอเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตาม อย่ากังวลมากไปว่าหากกินอาหารบางชนิดมากๆแล้วจะทำให้เราได้รับวิตามินเยอะจนสะสม เพราะหากเรากินอาหารให้หลากหลาย โอกาสที่จะเกิดอาการเหล่านี้มีน้อยมากครับ แถม เรื่อง Minerals เล็กๆน้อยๆCalcium: ช่วยให้ระบบประสาททำงานดี เกร็งกล้ามเนื้อได้ สร้างกระดูกและฟัน และคุมการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ Iron: เสริมสร้างเซลเม็ดเลือดแดง และช่วยในการลำเลียงและกักเก็บออกซิเจน Magnesium: ช่วยในการเผาผลาญแป้งและไขมัน และรักษาแผล Zinc: ช่วยพัฒนาการเจริญเติบโต สืบพันธุ์ และโครงสร้างของเซลในร่างกาย วิตามินอะไรที่ไม่ควรกินคู่กัน5 กลุ่ม ยา วิตามินและอาหาร ที่ไม่ควรรับประทานร่วมกัน. กินอาหารเสริมหลายตัวพร้อมกันได้ไหมการกินวิตามินหรืออาหารเสริมเยอะๆ ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย มีอันตรายกับร่างกายเหมือนกัน เพราะมันสามารถไปตกค้างสะสมในร่างกายได้ หากเราต้องการจะกินวิตามิน แนะนำว่าให้ตรวจหาระดับวิตามินในร่างกายเสียก่อน เลือกวิตามินกลุ่มที่ละลายน้ำจะปลอดภัยต่อร่างกายมากกว่า เพราะไม่มีการสะสมตกค้างในร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี และวิตามินซี
กินวิตามินต่อเนื่องได้ไหมวิตามิน และอาหารเสริมบางชนิดที่ละลายในน้ำได้ไม่ดี ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ยากจนเกิดเป็นสารตกค้างอยู่ เมื่อกินเป็นปริมาณมากต่อเนื่องกัน ก็จะตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งส่งผลเสียต่อตับ หรืออาจทำให้เลือดไม่แข็งตัว วิตามินบางชนิดหากร่างกายได้รับมากเกินไป ยังทำให้เกิดนิ่วในไตได้อีกด้วย
วิตามินซีกับบีกินพร้อมกันได้ไหมวิตามินบี 12 เพราะวิตามินซีอาจทำปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์กับวิตามินบี 12 อีกทั้งยังอาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี 12 ด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินวิตามินซี และวิตามินบี 12 ด้วยกันทั้งคู่ ควรเว้นช่วงสัก 2-3 ชั่วโมง หรือกินวิตามินแต่ละชนิดคนละมื้ออาหารก็ได้
|