Show
ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งมรดก ให้กับทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก หรือ ทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดก ทำให้ทายาทได้รับความเสียหาย จะแก้ปัญหาอย่างไร ? วันนี้ผมจะมาอธิบาย 4 วิธีติดตามทรัพย์มรดก คือ การถอนผู้จัดการมรดก ,การฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดก , การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรม และ การดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานยักยอก พร้อมทั้งอธิบายกระบวนการ ข้อกฎหมาย และเทคนิคการดำเนินคดีแต่ละประเภท แบบละเอียดและเข้าใจง่ายครับ ดูแบบเป็นวีดีโอใน youtubeถอนผู้จัดการมรดกการแก้ไขปัญหา ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งมรดก วิธีแรก คือการขอให้ศาลถอนผู้จัดการมรดกและตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่เข้าทำหน้าที่แทน ตัวบทกฎหมาย
คำอธิบายหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้จัดการมรดกทำผิดหน้าที่ หรือมีเหตุสมควรให้ศาลถอนผู้จัดการมรดก ตัวอย่างเช่น
หากเกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งในทำนองดังกล่าว ทายาทผู้มีสิทธิ์ได้รับมรดก ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม และขอตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนได้ ทางปฏิบัติก็อาจจะเป็นตัวทายาทที่ขอเพิกถอน ที่ขอตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่ หรืออาจจะเป็นคนอื่นๆก็ได้ ที่ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามกฎหมาย และทายาทเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ หลังจากยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกต่อศาลไปแล้ว ศาลก็จะนัดไต่สวนคำร้องหลังจากนั้นประมาณ 1-2 เดือน โดยจะส่งสำเนาคำร้องให้ผู้จัดการมรดกทราบ เมื่อถึงวันนัดไต่สวน ทางปฏิบัติศาลก็จะไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงกัน หากตกลงกันได้ว่าจะดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกกันแบบไหนอย่างไร คู่กรณีทั้งสองฝ่าย ก็สามารถจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกกันที่ศาลได้เลย และเพื่อการปฏิบัติให้เสร็จตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งสองฝ่ายอาจจะตกลงว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน และจัดการแบ่งทรัพย์มรดกไปตามวิธี และสัดส่วนตามที่ตกลงกันก็ได้ แต่หากทุกฝ่ายไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ ศาลจะต้องทำการไต่สวน และพิจารณาว่า1.ผู้จัดการมรดกคนเดิมบกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ 2.และมีเหตุสมควรถอนผู้จัดการมรดกคนเดิมหรือไม่ 3.ผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่มีสิทธิและมีความเหมาะสมที่จะขอเข้าเป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่หรือไม่ ทั้งนี้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจจะถอนหรือไม่ถอนผู้จัดการมรดกก ตามที่ศาลเห็นสมควร ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้จัดการมรดกทำผิดหน้าที่แล้ว จะเป็นบทบังคับศาลต้องเพิกถอน ซึ่งธรรมดาแล้ว ศาลจะพิเคราะห์ผลเสียหายที่เกิดจากกองมรดกและทายาท ตลอดจนเจตนาของผู้จัดการมรดกว่าจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ในการทำหน้าที่หรือไม่ ตลอดจนวิเคราะห์เรื่องที่ผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ เพื่อประกอบการใช้ดุลยพินิจในการเพิกถอน โดยแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา วินิจฉัยไปในทำนองว่า การจะเพิกถอนผู้จัดการมรดกหรือไม่นั้น ไม่ใช่บทบังคับว่าเมื่อผู้จัดการมรดกทำผิดหน้าที่แล้วศาลต้องถอน แต่ศาลมีอำนาจใช้ดุลยพินิจว่า สมควรให้ผู้จัดการมรดกทำหน้าที่ต่อหรือไม่ โดยพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงโดยรวม ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาดังต่อไปนี้ ฎ.5016/2541 , ฎ.124/2509 , ฎ.3228/2532 , ฎ.1685/2530 , 5967/2540 , ฎ.6385/2539 หากศาลพิพากษาเพิกถอนผู้จัดการมรดกคนเดิมและแต่งตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่เข้าทำหน้าที่ ผู้จัดการมรดกคนใหม่ก็มีหน้าที่ในการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้กับทายาทตามกฎหมายต่อไป สรุปแล้ววิธีการนี้ จึงเป็นการแก้ไขปัญหาผู้จัดการมรดกคนเดิมที่ไม่ยอมแบ่งมรดก ด้วยการถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม และแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเข้าใหม่ เข้ามาทำการแบ่งมรดกนั่นเอง อายุความในการเพิกถอนผู้จัดการมรดกการขอเพิกถอนผู้จัดการมรดก จะต้องร้องขอก่อนการจัดการทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น เพราะถ้าการจัดการทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นแล้ว หรือหรือผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์ให้บุคคลอื่นไปหมดแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่ หรือถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม เพราะไม่เหลือทรัพย์มรดกใดให้จัดการต่อไป หากการจัดแบ่งทรัพย์มรดกไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดี ตามข้ออื่นๆที่จะกล่าวต่อไป ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาคำพิพากษาศาลฎีกาที่.2894/2552 การร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกได้นั้นต้องมีเหตุจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 (1) ถึง (3) เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกอื่นนอกจากที่ดินพิพาทซึ่งหลังจากศาลชั้นต้นตั้ง ม. เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ม. ได้จัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้วก่อนที่ ม. จะถึงแก่ความตายโดยจดทะเบียนใส่ชื่อตนเองในโฉนดที่ดินพิพาทในฐานะผู้จัดการมรดกแล้วโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ม. ในฐานะทายาทกรณีจึงไม่จำเป็นต้องตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอีก ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าการจัดการมรดกของ ม. ดังกล่าวไม่ถูกต้องนั้นเป็นข้อพิพาทในเรื่องของส่วนแบ่งมรดกซึ่งผู้ร้องชอบที่จะเสนอคดีเรียกร้องต่อกันโดยตรงอย่างคดีมีข้อพิพาทต่อไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2150/2561 (ป.) การร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคหนึ่ง ผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดต้องร้องขอเสียก่อนที่การปันมรดกเสร็จสิ้นลง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องได้ปันทรัพย์มรดกทั้งหมดแล้วโดยไม่มีทรัพย์มรดกของผู้ตายหลงเหลือให้จัดการอีกต่อไป จึงถือได้ว่าผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการมรดกเสร็จสิ้นแล้ว แม้ผู้คัดค้านจะอ้างเหตุว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกโดยมีเจตนาทุจริตปกปิดผู้คัดค้านและบุตรซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ทั้งได้โอนทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ หรือมีเหตุอื่นตามกฎหมายอันอาจเป็นเหตุในการร้องขอถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าการปันมรดกรายดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกภายหลังการปันมรดกเสร็จสิ้นแล้วย่อมต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2561) ถอนผู้จัดการมรดก ยื่นที่คดีเดิมหรือฟ้องเป็นคดีใหม่ ?การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้จัดการมรดกนั้น จะยื่นต่อศาลในคดีเดิม ที่มีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก หรือจะยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ทางปฏิบัตินิยมยื่นเข้าไปในคดีเดิม ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เช่น ฎ.1407/2515 , 3050/2529 , 4776/2531 ตัวอย่าง คำร้องขอถอนผู้จัดการมรดกและขอตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่
ฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกวิธีการติดตามทรัพย์มรดก กรณีนี้ ต่างจากกรณีแรก เพราะทายาทไม่ได้ต้องการขอถอนผู้จัดการมรดก หรือแต่งตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่ แต่ทายาทต้องการให้ผู้จัดการมรดกคนปัจจุบัน ทำการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้กับทายาทตามกฎหมาย ตัวบทกฎหมาย
คำอธิบายผู้จัดการมรดกย่อมมีหน้าที่ในการแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้กับทายาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1719 ตัวอย่าง วิธีการแบ่งทรัพย์มรดกเช่น 1.ทรัพย์มรดกเป็นเงินในบัญชีก็ให้นำมาแบ่งตามสัดส่วนให้กับทายาททุกคน 2.ทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน คอนโด หรืออสังหาริมทัพย์ ก็ให้ดำเนินการจัดแบ่งให้กับทายาททุกคนหรือขายนำเงินมาแบ่งกัน ทั้งนี้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ไหมบทความเรื่อง วิธีการแบ่งทรัพย์มรดกประเภทบ้านพร้อมที่ดิน 3.กรณีเป็นรถยนต์ก็ให้ขายนำเงินมาแบ่งกัน 4.กรณีเป็นหุ้นในบริษัท ก็ให้นำมาแบ่งตามสัดส่วนกัน หากทายาทได้พยายามขอให้ผู้จัดการมรดกทำการแบ่งทรัพย์มรดกให้กับทายาทแล้ว แต่ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้กับทายาท ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น อ้างว่าเป็นทรัพย์ของกงสีห้ามแบ่ง หรือผัดผ่อนการแบ่งไปเรื่อยๆ หรือปฏิเสธไม่แบ่งด้วยเหตุผลอื่นๆ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นการกระทำผิดต่อหน้าที่ของผู้จัดการมรดก และย่อมถือเป็นการโต้แย้งสิทธิในการรับมรดกของทายาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ในกรณีเช่นนี้ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก ย่อมสามารถฟ้องขอให้ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดกให้กับทายาทได้ โดยการฟ้องร้องดำเนินคดีแบ่งทรัพย์มรดกนั้น ทายาทคนใดคนหนึ่งจะเป็นคนฟ้อง หรือทายาทหลายคนจะรวมกันฟ้องเป็นคดีเดียวกันก็ได้ ถอนผู้จัดการมรดก กับ ฟ้องแบ่งมรดก ทำพร้อมกันได้ไหม ?ธรรมดาแล้วทายาทผู้ฟ้องคดี จะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งว่า จะขอถอนผู้จัดการมรดกและขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่ หรือ จะขอให้ผู้จัดการมรดกคนเดิมแบ่งทรัพย์สินให้กับตน เพราะจะเห็นได้ว่าคำขอของทั้งสองคดีนั้นแตกต่างกันและขัดแย้งกันเอง เพราะหากจะให้ถอนผู้จัดการมรดกคนเดิมออกไป ผู้จัดการมรดกคนเดิมย่อมไม่มีอำนาจและหน้าที่ที่จะแบ่งทรัพย์มรดกอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งทายาทก็อาจใช้วิธีดำเนินคดีทั้งสองประเภทไปพร้อมกัน แล้วค่อยไปเลือกถอนฟ้องเอาอย่างใดอย่างหนึ่งทีหลังก็ได้ สาเหตุที่บางครั้งต้องดำเนินคดี 2 อย่างพร้อมกัน เป็นเพราะการขอถอนผู้จัดการมรดก ถึงแม้จะเป็นกระบวนการที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เพราะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เหมือนการฟ้องให้ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดก แต่ในคดีร้องขอถอนผู้จัดการมรดก ทายาทไม่สามารถดำเนินการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 ถึง 264 ได้ ( คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6027/2534 ) ดังนั้นหากไม่มีการฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกพร้อมกันไปด้วย และปรากฏว่า ยังมีทรัพย์มรดกเป็นชื่อของผู้ตายอยู่ และคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกฉบับเดิมยังมีผลใช้บังคับอยู่ ผู้จัดการมรดกคนเดิมก็อาจจะยักย้ายถ่ายเท โอนทรัพย์มรดกไปเป็นของผู้อื่น หรือขายนำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหาย และยุ่งยากในการดำเนินคดีมากขึ้น ดังนั้น ทนายความ อาจจะเลือกใช้วิธีการฟ้องขอให้ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกไปพร้อมกับการขอถอนผู้จัดการมรดก เพื่อทำการขอคุ้มครองชั่วคราว และขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองไม่ให้ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์สินให้กับทายาทระหว่างการดำเนินคดี แล้วค่อยไปต่อรองหรือตัดสินใจเลือกเอาว่า จะเป็นผู้จัดการมรดกเอง หรือจะให้ผู้จัดการมรดกคนเดิมแบ่งทรัพย์มรดกให้ อายุความ ฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกธรรมดาแล้วอายุความคดีขอแบ่งมรดก มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 แต่อย่างไรก็ตามเมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยไปในทำนองว่า เมื่อศาลตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว ถือว่าผู้จัดการมรดกได้ครอบครองทรัพย์มรดกไว้แทนทายาททุกคน อายุความสะดุดหยุดลง ดังนั้นหากยังมีผู้จัดการมรดกอยู่ ทายาทก็ยังสามารถฟ้องได้ตลอด โดยไม่มีอายุความ และผู้จัดการมรดก ไม่อาจอ้างเรื่องอายุความมาต่อสู้ เพื่อไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้กับทายาทได้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาฎีกาที่ 5051/2541 ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ค. เมื่อ ค. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ใส่ชื่อของตนในฐานะผู้จัดการมรดกลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทรัพย์มรดก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นทุกคน เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นเช่นเดียวกัน โจทก์ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ค. จึงมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งที่พิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีอายุความ ฎีกาที่ 7036/2557 กำหนดอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ที่บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย หรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรรู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แต่ห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายนั้น ใช้บังคับสำหรับกรณีที่ทายาทฟ้องเรียกร้องทรัพย์มรดกจากทายาทที่ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปันกัน แต่สำหรับกรณีที่มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อรวบรวมทรัพย์มรดกมาแบ่งปันแก่ทายาทนั้น ตราบใดที่ยังมิได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกหรือการแบ่งปันทรัพย์มรดกยังไม่แล้วเสร็จถือว่าทรัพย์มรดกอยู่ระหว่างการจัดการมรดก ทายาทย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้จัดการมรดกแบ่งปันทรัพย์มรดกเมื่อใดก็ได้ ไม่มีกำหนดอายุความ เมื่อที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกยังมิได้จัดสรรแบ่งปันแก่ทายาท จึงถือว่าอยู่ในระหว่างการจัดการทรัพย์มรดกของผู้จัดการมรดก อายุความตามมาตรา 1754 จึงไม่นำมาใช้บังคับ คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความมรดก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2535 ตามคำให้การจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก และเด็กชายยี่หุบเป็นทายาทคนหนึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ร่วมกับทายาทคนอื่นคนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กัน จำเลยได้รวบรวมทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกเพื่อแบ่งให้กับทายาทแล้ว กรณีจึงฟังได้ว่า เป็นเรื่องมรดกมีผู้จัดการ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันตั้งผู้จัดการมรดกทายาทจึงไม่จำต้องฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน” ตัวอย่างคำฟ้อง ขอแบ่งทรัพย์มรดก
ฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์มรดกวิธีการติดตามทรัพย์มรดก วิธีที่สามนี้ เป็นกรณีที่ผู้จัดการมรดกได้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์มรดก ไปเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่นแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้วิธีการถอนผู้จัดการมรดก หรือ เรียกให้แบ่งทรัพย์มรดก แต่เพียงอย่างเดียวได้ ตัวบทกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1724 ทายาทย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันผู้จัดการมรดกได้ทำไปภายในขอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก ถ้าผู้จัดการมรดกเข้าทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก โดยเห็นแก่ทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นใด อันบุคคลภายนอกได้ให้ หรือได้ให้คำมั่นว่าจะให้เป็นลาภส่วนตัว ทายาทหาต้องผูกพันไม่ เว้นแต่ทายาทจะได้ยินยอมด้วย คำอธิบายถ้าผู้จัดการมรดกได้ทำการโอนทรัพย์มรดกเป็นของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะทำเป็นการโอนขายให้กับบุคคลอื่น โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์ส่วนตัว ตัวอย่างเช่น
การกระทำดังกล่าวของผู้จัดการมรดก ย่อมถือเป็นการกระทำนอกอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ซึ่งผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจกระทำได้ เป็นนิติกรรมที่ไม่ผูกพันทายาทคนอื่นๆ ในกรณีเช่นนี้ทายาทโดยธรรมผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนหรือการขายทรัพย์มรดกดังกล่าวได้ แต่การเพิกถอนดังกล่าว จะต้องไม่กระทบต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว เช่น ผู้รับจำนองโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน แต่ไม่ใช่ว่าทายาทจะเพิกถอน การโอนหรือขายทรัพย์มรดกของผู้จัดการมรดก ได้ทุกกรณีถ้าการโอนขายทรัพย์มรดกของผู้จัดการมรดก มีลักษณะดังต่อไปนี้ 1 เป็นการขายในราคาตามท้องตลาด เพื่อแบ่งปันให้กับทายาท 2.ได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของทายาทแล้ว 3.ผู้รับโอนสุจริตและเสียค่าตอบแทน การกระทำดังกล่าวถือว่ายังอยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ซึ่งสามารถทำได้และมีผลผูกพันทายาทโดยธรรม และ ทายาทโดยธรรมไม่มีสิทธิขอเพิกถอนแต่อย่างใด หลักการพิจารณาว่า การโอนทรัพย์มรดกลักษณะไหนสามารถเพิกถอนได้หรือไม่ได้ ผมเคยได้อธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว สามารถอ่านได้ใน บทความเรื่อง “ผู้จัดการมรดกมีอำนาจขายทรัพย์มรดกได้หรือไม่ ” ทั้งนี้การฟ้องคดีเพิกถอนการโอนทรัพย์มรดก ทายาทอาจจะมีคำขอต่อไปว่าภายหลังจากเพิกถอนแล้ว ให้ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์ให้กับทายาทตามสิทธิที่มีต่อ (ดูตัวอย่างการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ด้านล่างเลยครับ ) อายุความการฟ้อง เพิกถอนการโอนทรัพย์มรดกธรรมดาแล้วอายุความคดีมรดก มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แต่ถ้ามีการแบ่งทรัพย์มรดกโดยไม่ชอบ โดยผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้กับตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ชอบ ก็ยังถือว่าผู้จัดการมรดกยังครอบครองทรัพย์แทนทายาทคนอื่นอยู่ อายุความก็หยุดลง และทายาทก็มีสิทธิฟ้องติดตามเอาทรัพย์คืนได้ โดยไม่มีอายุความ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2558 จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ซึ่งมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนซึ่งรวมถึง ป. คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่ ส. เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกทั้ง 3 แปลงให้แก่ตนเองเพียงผู้เดียวจึงเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว และถือได้ว่าการที่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในที่ดินดังกล่าว เป็นเพียงการครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่นของ ส. ทุกคนเท่านั้น จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของ ส. ในส่วนที่ตกได้แก่ ป. บิดาบุญธรรมของโจทก์ คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7104/2539 เดิมป.เจ้ามรดกเป็นเจ้าของที่ดินรวม6แปลงเมื่อป.ถึงแก่กรรมศาลได้มีคำสั่งตั้งจ.เป็นผู้จัดการมรดกของป.และจ.ได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินทรัพย์มรดกทั้ง6แปลงดังกล่าวมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจ.ในฐานะผู้จัดการมรดกจ.จึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นในฐานะผู้จัดการมรดกแทนทายาทอื่นทุกคนรวมถึงเด็กหญิงส. บุตรของป.ซึ่งเกิดกับโจทก์ด้วย แม้ภายหลังจากที่จ. ได้โอนที่พิพาททั้ง6แปลงมาเป็นของจ.ในฐานะผู้จัดการมรดกแล้วจ. ในฐานะผู้จัดการมรดกได้โอนที่พิพาททั้ง6แปลงไปให้แก่จ.เองในฐานะส่วนตัวนั้นก็จะถือว่าจ. ในฐานะส่วนตัวได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่พิพาทจากการครอบครองแทนทายาททุกคนมาเป็นการครอบครองในฐานะส่วนตัวเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวยังมิได้เพราะจ.ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาททุกคนว่าไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์มรดกแทนทายาททุกคนต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381 ดังนั้นการที่จ.ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่จะต้องนำมาแบ่งให้ทายาทไปให้แก่ตนเองทั้งหมดในฐานะเป็นทายาทคนหนึ่งแล้วนำไปโอนให้แก่จำเลยที่2ทั้งหมดก็เป็นการกระทำของในฐานะผู้จัดการมรดกที่กระทำไปโดยปราศจากอำนาจจึงหามีผลผูกพันโจทก์และทายาทอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1720,823 เมื่อจ.ยังมิได้ดำเนินการจัดแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามสิทธิของทายาทที่กฎหมายกำหนดไว้หรือตามที่ทายาทตกลงกันก็ต้องถือว่าการจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้นจึงจะนำอายุความ5ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1733วรรคสองมาใช้บังคับไม่ได้ จ.ครอบครองที่พิพาทแทนทายาททุกคนจึงถือได้ว่าได้ครอบครองทรัพย์มรดกแทนโจทก์ผู้รับมรดกเด็กหญิงส. ด้วยเมื่อโจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกพิพาทที่ยังมิได้แบ่งกันโจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาห้ามฟ้องคดีมรดก1ปีและ10ปีนับแต่วันที่เจ้ามรดกตายตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754บัญญัติไว้ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1748เมื่อจ.ได้โอนที่ดินมรดกพิพาททั้ง6แปลงไปให้แก่ตนเองทั้งหมดและโอนให้แก่จำเลยที่2ไปโดยไม่ชอบโจทก์ในฐานะผู้รับมรดกของเด็กหญิงส.ก็ชอบที่ใช้สิทธิในฐานะการเป็นทายาทของเด็กหญิงส.ที่มีอยู่ต่อกองมรดกฟ้องบังคับให้เพิกถอนการโอนที่มรดกดังกล่าวเสียได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2534 ม โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 และจำเลยที่ 1 เป็นทายาทของ ล.เจ้ามรดกโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกร่วมกัน การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล และได้จัดการโอนมรดกมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามลำพังแล้วนำไปจำนองหนี้ส่วนตัวไว้กับจำเลยที่ 2 โดยทายาทอื่นมิได้รู้เห็นยินยอมย่อมเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 การจำนองดังกล่าวจึงเป็นกิจการที่ได้นำไปนอกชอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้จำเลยทั้งสองสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้เสมอ ฟ้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับคดีมรดก จะนำอายุความตามมาตรา 1754มาบังคับมิได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของล.ที่ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และโจทก์ทั้งเจ็ดไว้กับจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 รับจำนองไว้โดยไม่สุจริต จึงชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ล.ซึ่งมีทายาทด้วยกัน 11 คนรวมทั้งโจทก์ทั้งเจ็ด การที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองย่อมเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแก่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่ทายาทด้วยกันทั้งหมดทุกคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 เมื่อจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท 1 ใน 11 ส่วน จึงต้องเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งเจ็ดและทายาทอื่นซึ่งรวมแล้วเพียง10 ใน 11 ส่วนเท่านั้น ตัวอย่าง คำฟ้องเพิกถอนการโอนทรัพย์มรดก
การดำเนินคดีอาญา ข้อหายักยอกทรัพย์ตัวบทกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 354 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 352 หรือมาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คำอธิบายในกรณีที่ผู้จัดการมรดก ไม่ใช่แต่เพียงไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดก หรือแบ่งทรัพย์มรดกไม่ถูกต้อง แต่มีพฤติการณ์ยักยอกทรัพย์มรดกนั้น เป็นของตนเอง หรือของบุคคลอื่นโดยทุจริต ตัวอย่างเช่น
ถ้าผู้จัดการมรดกมีพฤติการณ์ทำนองอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากทายาทจะสามารถ ถอนผู้จัดการมรดก ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก และ ฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก ได้แล้ว ทายาทยังสามารถดำเนินคดีอาญา กับผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 ได้อีกด้วย ทั้งนี้การดำเนินคดีอาญานั้น ทายาทสามารถฟ้องคดีเองได้โดยตรง หรือจะแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีก็ได้ ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน สามารถอ่านบทความเรื่อง “คดีอาญา แจ้งความหรือฟ้องคดีเองดีกว่ากัน “ ในกระบวนการดำเนินคดี เพื่อติดตามทรัพย์มรดก ทั้ง 4 ประเภท นั้น มีเฉพาะเรื่องผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์เท่านั้นที่เป็นคดีอาญา ส่วนเรื่องอื่นล้วนแต่เป็นคดีแพ่ง อ่านเพิ่มเติมเรื่องกระบวนการและขั้นตอน “ ฟ้องคดีแพ่ง “ และ “ ฟ้องคดีอาญา “ ดังนั้นกระบวนการดำเนินคดีนี้จึงเป็นกระบวนการดำเนินคดีที่มีประสิทธิภาพ มีผลบังคับสูง และรวดเร็วที่สุดในการดำเนินคดีทั้งหมด ทั้งนี้นอกจากตัวผู้จัดการมรดกผู้ทำการโอนยักย้ายทรัพย์มรดกจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 , 354 แล้ว ทายาทหรือผู้รับโอนทรัพย์มรดก หากรับโอนโดยไม่สุจริต ก็จะมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ไปด้วย ทั้งนี้ทายาทคนอื่นๆ หรือผู้รับโอนทรัพย์มรดก จะเป็นตัวการร่วมในการกระทำผิดได้ เฉพาะในความผิดตามมาตรา 352 เท่านั้น เพราะความผิดตามมาตรา 354 นั้น เป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก บุคคลอื่นมีฐานะเป็นได้เพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น (ฎ.987/2554 ) อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าในทุกกรณี จะสามารถฟ้องร้องหรือดำเนินคดีอาญาในข้อหาผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์ได้ทั้งหมดแต่การจะดำเนินคดีในข้อหานี้จะต้องมีความชัดเจนว่า ผู้จัดการมรดกกระทำการโดยไม่สุจริตยักย้ายถ่ายเทหรือโอนทรัพย์มรดกทำให้เกิดความเสียหายกับทายาท หากเพียงแต่ผู้จัดการมรดกยังไม่แบ่งทรัพย์มรดก จัดการมรดกบกพร่องเล็กน้อย หรือมีความเห็นไม่ตรงกันในการแบ่งทรัพย์มรดก อาจจะยังเป็นแค่คดีแพ่งเท่านั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ วินิจฉัยว่า ยังไม่เป็นการยักยอก และไม่เป็นการทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2537ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ย. ผู้ตายต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ ว. โดยไม่ได้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปด้วยวิธีการอันไม่สุจริตหรือมีเจตนาที่จะเบียดบังเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกไว้โดยทุจริตอย่างไร ทั้งก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่เคยทวงถามจำเลยให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทำการขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปนั้น จึงเป็นวิธีเกี่ยวกับการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719,1750 คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลดังฟ้อง (สังเกตุว่า จากคำพิพากษาศาลฎีกานี้ ที่ศาลตัดสินว่าไม่ผิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทายาทยังไม่เคยเรียกให้แบ่งทรัพย์มรดก ถ้าทายาทเรียกให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายแล้ว ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่ง น่าจะถือว่ามีความผิด – ผู้เขียน ) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3250/2537 จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางจ.ผู้ตาย การที่จำเลยเพียงแต่ยื่นคำร้องขอโอนที่ดินเป็นของจำเลยทั้งหมดโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ มิใช่การยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกส่วนที่จำเลยรับชำระหนี้แล้วไม่แบ่งเงินแก่โจทก์ทั้งห้าทันทีนั้นเมื่อการจัดการมรดกยังไม่เสร็จ จำเลยก็มีอำนาจเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้เพื่อแบ่งแก่ทายาทต่อไปได้การที่จำเลยยังไม่แบ่งเงินแก่โจทก์ทั้งห้าทันทีจึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเช่นเดียวกัน ประเด็นว่าเป็นความผิดฐานยักยอกหรือไม่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานยักยอกกับการโต้แย้งสิทธิทางแพ่ง ซึ่งผมเคยได้เขียนอธิบายไว้อย่างละเอีนด อายุความ การฟ้องคดีผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์เนื่องจากคดีเรื่องนี้ เป็นคดีความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 356 ทายาทซึ่งเป็นผู้เสียหาย จึงต้องแจ้งความร้องทุกข์ ภายใน3 เดือน นับแต่วันรู้เรื่องการกระทำผิด และรู้ตัวผู้กระทำผิด และเมื่อได้แจ้งความร้องทุกข์แล้ว ก็จะมีอายุความ 10 ปี ในการติดตามเอาผู้กระทำผิดมาส่งฟ้องศาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 94 ฏ.9568/2555 ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์อ่านบทความเรื่อง การฟ้องคดียักยอกทรัพย์มรดกจากประสบการณ์จริง ได้ในบทความเรื่อง“ตัวอย่างการฟ้องคดีอาญา EP.4 ตอน ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์”ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์ เพิ่มเติม
สรุปเรื่องการดำเนินคดีเพื่อติดตามทรัพย์มรดกหากผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งมรดกให้กับทายาท หรือผู้จัดการมรดกได้โอนย้ายถ่ายเททรัพย์มรดกไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ทายาทสามารถเลือกวิธีการดำเนินคดี เพื่อติดตามทรัพย์มรดก ได้ 4 วิธี ตามที่กล่าวข้างต้น บางอย่างก็ต้องทำพร้อมกันหรือควบคู่กัน และบางอย่างก็สามารถทำได้โดยลำพัง ทั้งนี้การดำเนินคดีต่างๆจะต้องวางรูปคดีให้ดีและสอดคล้องต้องกัน มิฉะนั้นจะเสียเวลา หรือเกิดความเสียหายขึ้น อีกทั้งจะต้องระวังเรื่องอายุความในคดีประเภทต่างๆอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในคดีเรื่องการแบ่งทรัพย์มรดกนั้น การเจรจากันเพื่อหาข้อตกลงที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หากเราเป็นฝ่ายโจทก์หรือทนายความโจทก์ ก็ควรผ่อนหนักผ่อนเบา หาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายจะพอไปร่วมกันได้ หากเราเป็นฝ่ายจำเลยหรือทนายความจำเลย ก็ต้องเข้าใจว่าฝ่ายโจทก์มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมาย ไม่ควรยื้อ หรือปฏิเสธไม่แบ่งมรดกโดยไม่มีเหตุอันสมควร หากทุกฝ่ายเข้าใจว่าแต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่อย่างไร และได้ทนายความที่มีมาตรฐานในทำการงาน เข้าใจข้อกฎหมายที่ชัดเจน และมีคุณธรรม คดีประเภทแบ่งมรดกนี้ ก็มักจะเจรจาจบกันได้ เพราะสิทธิของแต่ละคนมีเท่าใดนั้น สามารถตรวจสอบกันได้โดยง่าย และความจริงแล้วการดำเนินคดีทั้งสี่ประเภท ก็มีเป้าหมายเดียวก็เพื่อให้ผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดก ไปตามสิทธิที่ทายาทแต่ละคนมี ดังนั้นแล้วคดีแบ่งทรัพย์มรดกเหล่านี้ตามปกติที่ผมทำ ส่วนใหญ่ก็มักจะจบกันได้ด้วยการเจรจาไกล่เกลี่บ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายมากกว่าครับ หนังสืออ้างอิงและค้นคว้า ประกอบการเขียนบทความ1.คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก เพรียบ หุตางกูร 2.คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์ 3.คำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มรดก รองศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ 4.มรดก ทฤษฎี ปฏิบัติ สมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่ 5.มรดก กีรติ กาญจนรินทร์ 6.อธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก รองศาสตราจารย์สุภาพ สารีพิมพ์ 7.หลักกฎหมายมรดก ศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ กัมพูสิริ 8.คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก นายอัมพร ณ.ตะกั่วทุ่ง 9.กฎหมายอาญา ภาค 2. ตอน 2 และภาค 3 จิตติ ติงศภัทิย์ 10.คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาคความผิด 3 ศ.ด.ร.คณพล จันทร์หอม 11.กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 3 ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ แสดงความเห็นเกี่ยวกับบทความนี้comments หลานมีสิทธิได้รับมรดกไหมทายาทโดยธรรมนั้น กฎหมายแบ่งออกเป็น ๖ ลำดับ มีสิทธิรับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ (๑) ผู้สืบสันดาน อันได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื้อ และต่อๆ ไปจนสุดสาย (๒) บิดามารดา (๓) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
ผู้จัดการมรดกต้องเป็นทายาทไหมข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทนายความ
2 ผู้เหมาะสมเป็นผู้จัดการมรดกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นทายาทของเจ้ามรดก จะเป็นใครก็ได้ แต่ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล ต้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสีย ทายาทอาจขอให้ศาลตั้งบุคคลอื่นก็ได้ ถ้าหากมีการคัดค้านคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก โดยส่วนมากแล้วศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิในมรดกไหมผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปและมีหน้าที่รวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งให้ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม ตลอดจนชำระหนี้สินของเจ้ามรดกแก่เจ้าหนี้ ทำบัญชีทรัพย์มรดก และทำรายการแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งมรดก โดยต้องจัดการไปในทางที่เป็นประโยชน์ แก่มรดก จะทำนิติกรรมใด ๆ ที่เป็นปรปักษ์ ...
ใครจะเป็นผู้จัดการมรดกผู้จัดการมรดกไม่จำเป็นต้องเป็นทายาทของเจ้ามรดกจะเป็นใครก็ได้ แต่ผู้ที่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก ต้องเป็น ทายาทโดยชอบธรรม ของเจ้ามรดก เช่น ผู้สืบสันดาน, บิดามารดา, พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน , คู่สมรส(ที่ทำการจดทะเบียนสมรสแล้วเท่านั้น) หรือจะเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ต้องมีส่วนได้เสียร่วมกัน เช่น ...
|