การเลือกซื้อ อิน เวอร์ เตอร์

อินเวอร์เตอร์ (Inverter) คือ ตัวช่วยเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าที่รับมาเปลี่ยนไปเป็นแรงดันไฟฟ้าที่สามารถใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้านได้อย่างเหมาะสม เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบกระแสสลับ ทำให้ต้องมีอินเวอร์เตอร์เป็นตัวแปลงไฟกระแสตรงที่เป็นไฟฟ้าภายในบ้าน ให้สามารถทำงานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติ ซึ่งไฟฟ้ากระแสตรงมักจะมาจากเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าโดยตรง, แบตเตอรี่ต่างๆ และแผงโซลาร์เซลล์  โดยอินเวอร์เตอร์มีประโยชน์อยู่ 3 ข้อ คือ

1.ใช้เป็นไฟสำรอง

ถ้าแหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบกระแสสลับที่เป็นตัวหลักเกิดปัญหาขัดข้อง เกิดผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อินเวอร์เตอร์จะเป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับสำรอง  ซึ่งระบบไฟสำรอง หรือ ninteruptible Power Supplie ใช้งานกับอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความสำคัญและอาจเสียหายง่าย เมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้าหลักขัดข้อง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, เครื่องปรับอากาศ และสมาร์ททีวิรุ่นใหม่ เป็นต้น เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้จึงจำเป็นที่จะต้องต่อเข้ากับอินเวอร์เตอร์สำรอง เพื่อให้กระแสไฟใช้ได้ต่อไปด้วยการแปลงแบตเตอรี่ที่ประจุไว้ได้อีกสักพัก ทำให้เจ้าของบ้านสามารถปิดอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ได้ทันเวลา

2.ควบคุมความของมอเตอร์

อินเวอร์เตอร์จะช่วยเปลี่ยนความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อให้มอเตอร์กระแสสลับถูกควบคุมความเร็วให้เหมาะสมกับการใช้งานมากยิ่งขึ้น ลดความร้อนในขณะใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ, ลดการสูญเสีย และช่วยประหยัดค่าไฟได้ดีอีกด้วย

3.แปลงไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม

อินเวอร์เตอร์จะเป็นตัวช่วยแปลงระบบส่งกำลังของไฟฟ้าแรงสูงในแบบกระแสงตรง ให้เปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่เหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มากยิ่งขึ้น แล้วจ่ายออกไปสู่ผู้ที่ต้องการใช้งานต่อไป

ขั้นตอนการเลือกใช้อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน

          อินเวอร์เตอร์ถูกผลิตออกมาหลายขนาดและหลายแบบ เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแต่ละแห่ง ดังนั้นการเลือกใช้อินเวอร์เตอร์จึงต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้อินเวอร์เตอร์ที่เหมาะสมต่อการใช้งานมากที่สุด ทำให้ต้องมีขั้นตอนในการเลือกไปใช้ คือ

1.เลือกการทำงานแบบเชิงกล

การเลือกในลักษณะของเชิงกลจะเน้นที่แรงบิดเป็นหลัก โดยจะมีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แรงบิดแบบคงที่ (Constant Torque Load) ที่ใช้งานกับพวกลิฟท์ยกของ, ลิฟท์ขนคน, คอนเวเยอร์ เป็นต้น และอีกหนึ่งประเภท คือ แรงบิดแบบไม่คงที่ (Variable Torque Load) ที่ใช้งานกับพวกพัดลม, ปั๊มน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีมอเตอร์ เป็นต้น

2.ดูข้อมูลของมอเตอร์ให้ดี

การดูข้อมูลมอเตอร์จากเนมเพลทจะหาค่าของความเร็วและแรงบิดที่โหลดต้องการได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่ถ้าเราไปหาที่ค่ากระแสและกำลังของมอเตอร์ในขณะที่ขับโหลดเต็มกำลัง อาจมีความคลาดเคลื่อนเพราะกระแสพิกัดอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เมื่อนำทั้ง 2 วิธีมาคำนวณหาขนาดของอินเวอร์เตอร์ที่เหมาะสมแล้ว ผลออกมาคือค่ากิโลวัตต์ที่เท่ากัน แต่ค่าความเร็วในด้านอื่นอาจคลาดเคลื่อน และถ้าต้องการเลือกมอเตอร์เพื่อขับโหลดให้เหมาะสมกับงาน  ก็ต้องรู้ถึงค่าความเร็วกับแรงบิดโหลดด้วย การดูข้อมูลมอเตอร์จากเนมเพลทจึงให้รายละเอียดที่ชัดเจนกว่า โดยมีวิธีการคำนวณ คือ กำลังมอเตอร์ (P) = แรงบิด (T) x ความเร็วรอบ (RPM)

3.ดูเรื่องความเร็วรอบและประสิทธิภาพในการใช้งาน

ถ้าต้องการเลือกอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับงาน ก็ควรดูเรื่องความเร็วรอบ, ความร้อน และประสิทธิภาพในการทำงานของมอเตอร์ เรื่องที่คุณต้องรู้ คือ ความเร็วรอบสูงสุดในการทำงานของมอเตอร์จะสูงกว่าความเร็วที่ 50Hz  มีแบ่งการโหลดแรงบิดที่แยกออกเป็น 2 แบบ คือ

  • การโหลดแรงบิดคงที่ (Variable Torque Load) เป็นการปรับและตั้งให้อินเวอร์เตอร์สามารถควบคุมเรื่องของความเร็วในการใช้งานปั๊มและพัดลม การตั้งค่าความเร็วสูงสุดต้องตั้งไว้ที่พิกัดของอัตราการไหลที่เหมาะสมกับตัวงานของคุณ ถ้าการตั้งค่าผิดพลาด ไม่มีความเหมาะสม ก็จะทำให้มอเตอร์ปั๊มและพัดลมทำงานแบบโอเวอร์โหลด พร้อมทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
  • การโหลดแรงบิดคงที่ (Constant Torque Load) เป็นการปรับและตั้งให้อินเวอร์เตอร์สามารถควบคุมความเร็วของเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่ต้องการให้มีแรงบิดคงที่ ถ้าต้องการให้ทำงานได้ในระดับความเร็วที่สูงกว่า 50Hz ก็ต้องดูเรื่องความสามารถของมอเตอร์ให้ดี โดยเฉพาะการดูที่ตลับลูกปืนตรงเพลามอเตอร์ว่าทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน และดูชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะชิ้นเล็กหรือใหญ่ว่ามีหลุดออกมาหรือไม่ และสร้างความอันตรายให้กับคนใช้งานไหม เรื่องเหล่านี้จะเป็นส่วนประกอบที่ทำให้คุณเลือกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

4.ดูจากแรงบิดตอนสตาร์ท

ลองดูแรงบิดตอนสตาร์ทเครื่องจักรให้ดี เพราะในช่วงที่เครื่องจักรเริ่มมีการสตาร์ท ก็จะเกิดเป็นแรงบิดของมอเตอร์ที่ช่วยทำให้เครื่องจักรสามารถหมุนแล้วทำงานได้ตามปกติ และเป็นตัวกำหนดค่ากระแสของอินเวอร์เตอร์เช่นกัน พร้อมบอกค่าต่างๆ ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของแรงบิดในช่วงที่เครื่องจักรกลเริ่มมีการทำงานแบบเต็มที่ แรงบิดตอนสตาร์ของเครื่องจักรกลจะถูกผลิตออกมาไม่เหมือนกัน มีแยกประเภทออกไป การเลือกใช้งานอินเวอร์เตอร์จึงต้องมีการพิจารณาค่าของตัวนี้อยู่เสมอ ถ้าเกิดคำนวณผิดพลาดก็อาจทำให้อินเวอร์เตอร์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและตัวมอเตอร์เองก็จะไม่สตาร์ท ทำให้งานและเครื่องจักรเกิดความเสียหายมากอีกด้วย

5.เร่งความเร็ว

การเร่งความเร็วของมอเตอร์จะทำให้เครื่องจักรมีการเดินความเร็วรอบในแบบที่ผู้ใช้งานต้องการ หรือที่เรียกว่าความเร็วในช่วงเวลาที่เหมาะสม มอเตอร์จึงใช้กระแสจากอินเวอร์เตอร์ไปสร้างแรงบิดชนิด Acceleration Torque ขึ้นมาทำงาน แต่ก็มีข้อควรรู้ก่อนที่จะพิจารณาอินเวอร์เตอร์ในลักษณะนี้ คือ การปรับตั้งค่าผิดอาจทำให้อินเวอร์เตอร์ตัดวงจรตัวเองแล้วเกิดความเสียหาย และถ้าปรับตั้งสูงเกินค่าที่เหมาะสมก็ทำให้เครื่องจักรเสียหายได้ไม่น้อยเช่นกัน

6.ลดความเร็ว

การลดความเร็วของอินเวอร์เตอร์ หรือ Deceleration Requirement ต้องพิจารณา  Deceleration Torque ด้วย 2 สาเหตุหลัก คือ

  • ในขณะที่มอเตอร์กำลังลดความเร็วลง ตัวมอเตอร์ก็จะจ่ายพลังงานคืนกลับไปที่ระบบกับอินเวอร์เตอร์ ดังนั้นถ้าเกิดตั้งค่าไม่ถูกต้อง อินเวอร์เตอร์ก็จะทำการตัดวงจรตัวเองทันที
  • ถ้าแรงบิดช่วงลดความเร็วเกิดมีค่าสูงมากเกินไปก็จะทำให้เครื่องจักรที่ใช้อยู่เสียหายอย่างหนักเลยทีเดียว

7.ดูเรื่องสภาพแวดล้อม

สภาพแวดล้อมของการติดตั้งอินเวอร์เตอร์เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี โดยดูตามปัจจัยเหล่านี้

  • อุณหภูมิโดยรอบจะต้องอยู่ที่ประมาณ 0-50 องศาเซลเซียสถึงจะเหมาะสม ถ้าจำเป็นต้องนำไปติดตรงจุดที่ความร้อนสูงเกินกว่า 50 องศาเซลเซียส ก็ต้องเพิ่มขนาดของกิโลวัตต์อินเวอร์เตอร์ให้มากยิ่งขึ้น
  • ความชื้นในบริเวณที่ติดตั้งอินเวอร์เตอร์จะต้องไม่สูงเกินไป
  • ต้องมีความสามารถในเรื่องกันฝุ่นและน้ำด้วยมาตรฐาน Index of Protection (IP) ที่ต้องอยู่ในระดับ 20 และ 21

ถ้าทำตามขั้นตอนการเลือกอินเวอร์เตอร์ทั้ง 7 ข้อนี้ ก็จะช่วยทำให้คุณได้อินเวอร์เตอร์ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ซื้อมาไม่เสียเปล่าและไม่ทำให้เครื่องจักรเกิดความเสียหาย แต่ถ้าคุณต้องการความรู้ในเรื่องอินเวอร์เตอร์มากขึ้น สามารถคลิ๊กเข้ามาอ่านความรู้ได้ที่ “วานิชกรุ๊ป” ผู้นำสินค้าด้านอุตสาหกรรมประเภทมอเตอร์ไฟฟ้าจากยุโรป ที่มีคุณภาพสูง ให้ความทนทาน และช่วยประหยัดไฟได้ดี ต้องการขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำที่เกี่ยวกับการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ทางเราก็มีทีมวิศวกรที่มาพร้อมประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี จากทางวานิชกรุ๊ป เพื่อให้คุณได้รับสิ่งที่ต้องการกลับไปอย่างถูกต้องและชัดเจนมากที่สุด