Share:
DIC (Disseminated Intravascular Coagulation) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย คือ ภาวะที่กลไกการแข็งตัวของเลือดทำงานผิดปกติและเกิดการแพร่กระจาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันทั้งแบบกึ่งเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ลดการไหลเวียนของเลือดและอุดกั้นไม่ให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การห้ามเลือดของร่างกายที่ผิดปกติ ไปจนถึงอวัยวะในร่างกายล้มเหลว
และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการของภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย ได้แก่
สาเหตุของภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย เกิดจากการทำงานมากเกินไปของโปรตีนที่ใช้ในกระบวนการแข็งตัวของเลือด โดยภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
ความเสี่ยงของภาวะ DIC หากมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ดังนี้
การวินิจฉัยภาวะภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายหากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการตรวจสอบการแข็งตัวของเลือด และอาจตรวจสอบเรื่องอื่น ๆ เพื่อช่วยยืนยัน ได้แก่
หากพบว่าผลการทดสอบเป็นตามการวินิจฉัยข้างต้นจำนวนอย่างน้อย 2 ข้อ แสดงว่ามีความเป็นไปในระดับหนึ่งที่จะเกิดภาวะ หากมีอาการ 3 ข้อ แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงขึ้น แต่หากผลการทดสอบเป็นไปตามทั้งหมด 4 ข้อ แสดงว่ามีโอกาสเป็นสูงมาก การทดสอบอื่น ๆ ได้แก่
การรักษาภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายการรักษาภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย จะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว ยกตัวอย่าง เช่น หากเกิดจากการติดเชื้อ แพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และหากเกิดจากภาวะแทรกซ้อนโดยเป็นผลจากการคลอดบุตร แพทย์จะรักษาด้วยการทำหัตถารหรือผ่าตัด นอกจากนี้ หากเกิดปัญหาการแข็งตัวของเลือด แพทย์อาจรักษาด้วยการให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือยาเฮพาริน (Heparin) เพื่อป้องกันและลดการแข็งตัวของเลือด อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจจะไม่แนะนำให้ใช้ยาเฮพาริน หากผู้ป่วยมีเกล็ดเลือดต่ำมากหรือมีเลือดออกมากเกินไป ผู้ป่วยภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายระยะเฉียบพลัน ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล มักต้องเข้ารักษาในห้องไอซียู (ICU) ซึ่งเป็นที่ที่สามารถรักษาสาเหตุของภาวะและยังคงรักษาการทำงานของอวัยวะในร่างกายเอาไว้ได้ นอกจากนั้น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการถ่ายเลือดเพื่อทดแทนเกล็ดเลือดที่เสียไป หรืออาจต้องถ่ายพลาสมาซึ่งจะสามารถช่วยชดเชยปัจจัยที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ภาวะแทรกซ้อนของภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายภาวะแทรกซ้อนของภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ได้แก่
การป้องกันภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจายการป้องกันและการดูแลตนเองเมื่อมีภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย ทำได้ดังนี้
เมื่อเกิดบาดแผลอะไรที่ทำให้เลือดแข็งตัวการแข็งตัวของเลือด กับวิตามินเค (K)
วิตามินเค (K) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันเช่นเดียวกับวิตามินเอ ดี และอี ซึ่งเจ้าวิตามินเคนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เพราะมีส่วนช่วยให้เกิดการสร้างสารโปรทอมบิน และสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแข็งตัวของเลือด
กระบวนการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผลมีขั้นตอนอย่างไรกลไกการแข็งตัวของเลือดเริ่มต้นขึ้นแทบจะทันทีที่เกิดการบาดเจ็บต่อหลอดเลือด เกิดการเว้าแหว่งของผนังหลอดเลือด เมื่อเลือดได้สัมผัสกับโปรตีนที่อยู่นอกหลอดเลือด เช่น tissue factor ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเกล็ดเลือดและไฟบริโนเจนซึ่งเป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือดตัวหนึ่ง เกล็ดเลือดจะมาจับที่จุดบาดเจ็บทันที เป็นกระบวนการ ...
องค์ประกอบใดของเลือดที่ทำให้เเข็งตัวคือ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งเกล็ดเลือดนี้เองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดแผล เกล็ดเลือดจะทำหน้าที่ไปกระตุ้นโปรตีนที่เกี่ยวข้องเป็นทอดๆ ทั้งทรอมบิน (thrombin) ไฟบริน (fibrin) และแฟคเตอร์ซึ่งทั้งหมดจะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างร่างแหขึ้นมาห้ามเลือด
สิ่งใดที่ทำหน้าที่ห้ามเลือดเมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นหน้าที่หลักของเกล็ดเลือด คือ การมีส่วนในการห้ามเลือด ซึ่งเป็นกระบวนการหยุดการตกเลือด ณ จุดที่เนื้อเยื่อบุโพรงฉีกขาด พวกมันจะมารวมกันตรงนั้นและจะอุดรูรั่วถ้ารอยฉีกขาดนั้นไม่ใหญ่เกินไป ขั้นแรก เกล็ดเลือดจะยึดกับสสารนอกเยื่อบุโพรงที่ฉีกขาด เรียก "การยึดติด" (adhesion) ขั้นที่สอง พวกมันเปลี่ยนรูปทรง เปิดตัวรับและหลั่งสาร ...
|