Show สถิติจากเว็บไซต์ InterviewSuccessFormula.com พบว่า 80% ของผู้สมัครงานที่ส่งเรซูเม่จะไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ ดังนั้น หากคุณคือ 20% ที่เหลือที่ผ่านการประเมินรอบแรก ใบสมัครงานเข้าตากรรมการ และกำลังจะเข้าสู่ด่านต่อไปคือการ “สัมภาษณ์งาน” ร่วมกับคู่แข่งที่ไม่รู้ว่ามีอีกกี่คน นี่คือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการตอบคำถาม “แอชลีย์ สตาห์ล” โค้ชและนักพูดด้านการงานอาชีพ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงในกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา เขียนบทความแนะนำการตอบ 7 คำถามสำคัญในการสัมภาษณ์งาน คำถามเหล่านี้เป็นคำถามทั่วไปที่คนมักจะเจอ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ตอบได้ดี 1.แนะนำตัวเองคำถามที่ดูเหมือนเป็นคำถามธรรมดาๆ จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุด ผู้สัมภาษณ์มักจะมองคำถามนี้เป็นเหมือนการ “อุ่นเครื่อง” สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึกในลำดับต่อไป สตาห์ลแนะนำว่า ผู้ตอบควรจะใช้โอกาสนี้ในการแนะนำตัวให้เห็นความตั้งใจในการสมัครงาน โดยแบ่งคำตอบออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
แค่เพียงแนะนำตัวแต่ต้องตอบยาวขนาดนี้เลยหรือ? คุณอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วการตอบแบบปังๆ ตั้งแต่ต้นจะทำให้คุณเป็นผู้สมัครงานที่โดดเด่นขึ้นมาทันที 2.คุณมีข้อเสียสำคัญอะไรบ้างนี่คือคำถามเพื่อให้ผู้สมัครงานโชว์ความซื่อสัตย์และจริงใจ และแสดงให้เห็นว่าคุณมีบุคลิกแบบ “คนที่ตระหนักถึงข้อดี-ข้อด้อยของตัวเอง” ซึ่งเป็นซอฟต์สกิลที่สำคัญมากในที่ทำงาน เพราะเป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี จากการวิจัยของ Eurich Group บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผู้บริหารในสหรัฐฯ พบว่ามีคนเพียง 10-15% ที่มีทักษะดังกล่าว ดังนั้น คุณควรจะแสดงให้เห็นว่าคุณคือหนึ่งในกลุ่มคนหายาก โดยขอแนะนำว่า “อย่า” ใช้คำตอบเหล่านี้
การตอบคำถามเรื่อง “ข้อเสีย” เป็นเรื่องของการจัดสมดุลระหว่าง การแสดงให้เห็นจุดอ่อนใหญ่จริงๆ ของคุณโดยไม่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าคุณไม่มีทางที่จะพัฒนาจากจุดนั้นได้เลย พร้อมๆ กับการอ่านให้ออกว่า ตำแหน่งที่คุณสมัครต้องการคนที่มีจุดอ่อนแบบไหน ซึ่งจะกลายเป็นจุดเด่นที่เหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ตำแหน่งนี้ต้องการคนที่รักการทำงานเป็นทีม หรือต้องการคนที่ทำงานด้วยตนเอง หรือต้องการผู้นำ หรือต้องการคนที่ทำตามคำสั่งได้ดี คุณต้องวิเคราะห์ตำแหน่งของตัวเองที่สมัครไปให้ออก โดยสตาห์ลมีคำตอบตัวอย่างให้นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตำแหน่งที่คุณสมัครงาน เช่น
เพื่อเสริมให้เห็นความสำคัญ เมื่อคุณเลือกจุดอ่อนที่จะตอบได้แล้ว สตาห์ลแนะนำให้พูดถึงความท้าทายด้วยว่าจุดอ่อนนั้นมีผลอย่างไรกับการทำงานของคุณในอดีต และได้พยายามพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ 3.ทำไมคุณจึงเหมาะที่สุดที่จะทำงานนี้ความจริงก็คือ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณเหมาะที่สุดหรือเปล่า แต่คุณต้องเชื่อว่าคุณคือคนที่ใช่ สตาห์ลแนะนำวิธีตอบคำถามปลายเปิดและตอบได้กว้างมากนี้ว่า คุณอาจจะเริ่มจากการแนะนำทักษะประเภทซอฟต์สกิลของตัวเองที่ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้เห็นบนเรซูเม่ เช่น
เมื่อพูดถึงทักษะเหล่านี้แล้ว คุณควรจะเล่าเรื่องสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นทักษะนั้นของคุณ และเรื่องสั้นๆเหล่านี้เอง ที่ฉายภาพความเป็นตัวคุณได้ดียิ่งกว่าการพูดคุยหรือการอ่านแค่เรซูเม่ และยังเป็นโอกาสได้แสดงตัวตนว่าคุณจะเหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรของที่นั่นหรือไม่ การแสดงออกถึงบุคลิกที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรนั้นสำคัญมาก สถิติจาก Millenial Branding พบว่า 43% ของเจ้าหน้าที่ HR มองว่า “บุคลิกเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร” คือคุณลักษณะที่สำคัญ ขณะที่คนสมัครงานส่วนใหญ่มักจะพูดเรื่องทักษะการทำงานเป็นหลักเพื่อแสดงว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่ง การที่คุณเล่าเรื่องเพื่อโชว์บุคลิกที่เข้ากับบริษัทจะส่งให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ 4.ถ้าเกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน คุณจะทำอย่างไรคำถามสุดหินที่คำตอบจะสะท้อนได้ว่าคุณมี EQ มากแค่ไหน และเรื่องความฉลาดทางอารมณ์คือซอฟต์สกิลที่สำคัญมาก โดยมีผลวิจัยพบว่า 71% ของผู้จัดการฝ่าย HR จะเลือกผู้สมัครงานที่มี EQ ดีมากกว่าคนที่มี IQ สูง และ 59% ในจำนวนนี้ถึงกับตอบว่าพวกเขาจะทิ้งใบสมัครของคนที่ IQ สูงแต่มี EQ ต่ำเสียด้วยซ้ำ จำไว้ว่า สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากทำในการสัมภาษณ์งานคือการสร้างบรรยากาศเชิงลบ เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะพูดคุยเรื่องความขัดแย้งในการทำงาน คุณก็ต้องเล่าถึงมันในเชิงบวกให้ได้ เช่น การเล่าวิธีรับมือความขัดแย้งในอดีตคงไม่ใช่การเล่าแบบเจาะลึกว่าเพื่อนร่วมงานคุณรับมือยากและขัดขวางการทำงานขนาดไหน แต่อาจจะใช้คำว่า เพื่อนร่วมงานทำให้กระบวนการทำงานช้ากว่าแผน และคุณได้สร้างบทสนทนาเพื่อส่งเสริมกระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานให้ความร่วมมือในเชิงบวก โทนโดยรวมของการเล่าเรื่องนี้ไม่ใช่การบ่นเรื่องคนทำงาน หรือความสัมพันธ์ระหว่างกันของคน แต่เป็นการโชว์ให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นที่การทำงานให้ดีขึ้น 5.คุณเห็นภาพตัวเองอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้าได้โปรดอย่าตอบว่า“อยู่ในตำแหน่งนี้แหละ” เหมือนกับคำถามที่ขอให้แนะนำตัวเอง นี่คือคำถามปลายเปิดเพื่อให้คุณโชว์ความมั่นใจและแรงขับในการเติบโตทางการงาน คุณควรแสดงให้เห็นว่าคุณจะทำงานหนักและจะเติบโตต่อไป สิ่งที่บริษัทอยากได้ยิน 3 อย่างจากคำถามนี้คือ
คำตอบที่ยอดเยี่ยมคือคำตอบที่สามารถเน้นย้ำให้เห็นว่า โอกาสการเติบโตในบริษัทสามารถไปคู่กับเป้าหมายอาชีพในระยะยาวของคุณ 6.เราจะได้เห็นอะไรจากคุณบ้างภายใน 90 วันแรกของการทำงานอีกหนึ่งโอกาสให้คุณแสดงออกว่า คุณทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งนี้มาดี วิธีที่ดีในการตอบคำถามนี้คือลงลึกในรายละเอียดว่า คุณเข้าใจความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับตำแหน่งนี้ รวมถึงมองไปข้างหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาวว่าหน้าที่นี้น่าจะได้ทำอะไรบ้าง นี่คือคำตอบที่คุณสามารถนำไปพิจารณาใช้
7.คุณมีคำถามจะถามเราไหมคำตอบของคำถามนี้คือ “ใช่” คุณต้องไม่ลืมที่จะเตรียมคำถามตัวเองไปบ้างเหมือนกัน ไม่ต้องถามเยอะเกินไป แต่ต้องมีบ้าง ปกติผู้สัมภาษณ์จะยิงคำถามนี้เมื่อใกล้จะจบการสัมภาษณ์ หรืออาจจะเป็นคำถามสุดท้ายเลย ดังนั้น นี่เป็นโอกาสท้ายสุดเหมือนกันที่คุณจะได้แสดงออกว่า คุณมีการเตรียมตัวและกระตือรือร้น รวมถึงเป็นโอกาสให้คุณหาข้อมูลเพิ่มเติมถ้าหากคุณได้รับงานนี้จริงๆ นี่คือลิสต์คำถามที่คุณอาจจะอยากถาม
แต่ละการสัมภาษณ์ย่อมแตกต่างกันไป คุณอาจจะได้รับคำถามพวกนี้ทั้งหมดหรือไม่ได้เลยก็ได้ แต่เป็นไปได้สูงกว่ามากที่ผู้สัมภาษณ์ต้องแตะคำถามอย่างน้อยสักหนึ่งคำถามในนี้ และการเตรียมตัวเองเพื่อตอบคำถามสามัญธรรมดาพวกนี้ย่อมทำให้คุณเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่น การสัมภาษณ์ก็คือบทสนทนาครั้งหนึ่ง ขอแค่คุณพกความมั่นใจไปและอย่าลืมว่าพวกเขาก็ต้องการคนทำงานเช่นคุณมากพอๆ กับที่คุณอยากได้งานนั่นแหละ! ที่มา positioningmag.com เนื้อหาอื่นที่น่าสนใจ “คัดคนที่ใช่” ให้ไว ด้วย 3 คำถาม ทางโทรศัพท์ 04 January 2021 View 8,146 |