ใบงานที่ 3.3 ปัญหา ทางเพศและ แนวทางการ แก้ไข

ใบงาน โรงเรียนดัง ชลบุรี กลายเป็น ให้นักเรียนทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

23 ส.ค. 2564 เวลา 16:27 น.63

กลายเป็นภาพดราม่าที่โลกออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก หลังจากเพจเฟซบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 1 โพสต์ภาพ ใบงานของโรงเรียนดังแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ที่ถูกลูกเพจส่งมาร้องเรียน โดยมีเนื้อหาระบุว่า..

ใบงานที่ 3.3 คุณค่าของการปฎิบัติตนที่เหมาะสมกับเพศของตนเอง

คำชี้แจง : ให้นักเรียนเขียนวิธีการปฎิบัติตนในการแก้ปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ


 

เกี่ยวกับเรื่องนี้เพจเฟซบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น Part 1 โพสต์ข้อความระบุว่า.. ใบงาน ม.1 ของ ร.ร.แห่งหนึ่งใน จว.ชลบุรี ทุกกคนคิดอย่างไร แบบนี้ก็ได้อ่อ คิม การเบี่ยงเบนทางเพศมันผิดด้วยอ่อ งงมากเลยน้องส่งมาให้ดู แบบนี้เด็กจะไปตอบไงอะ คิม

ขณะเดียวกัน หลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกโพสต์ลงในโลกออนไลน์ ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การตั้งคำถามของอาจารย์กันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะความล้าสมัยของคำถาม เนื่องจากเรื่องเพศที่ 3 ค่อนข้างเปิดกว้างไปมากแล้วในปัจจุบัน

ปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาความเสมอภาคทางเพศ

และการวางตัวต่อเพศตรงข้ามที่มีอยู่ในสังคม

          

ปัญหาพฤติกรรมทางเพศมีลักษณะอย่างไร? 

พัฒนาการเรื่องเพศของเด็กโดยปกติจะดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะแตกต่างกันออกไปในเด็กแต่ละราย ดังนั้นพัฒนาการเรื่องเพศที่ปรากฏเร็วกว่าหรือช้ากว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน จึงไม่ได้หมายความว่าเด็กมีความผิดปกติแต่อย่างใด เด็กแต่ละคนย่อมมีลักษณะนิสัย อารมณ์ และประสบการณ์ที่ต่างกัน ดังนั้นการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมทางเพศก็ย่อมแตกต่างกันตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ลักษณะพัฒนาการเรื่องเพศที่พบโดยทั่วไป สามารถจำแนกตามแต่ละช่วงของการเจริญเติบโตของเด็ก โดยเด็กคนหนึ่งอาจจะแสดงออกเพียงบางลักษณะ ไม่แสดงออกเลย หรือแสดงออกทั้งหมด ดังต่อไปนี้

เด็กก่อนวัยเรียน (2-5 ขวบ)

  • รู้สึกพึงพอใจเวลาสัมผัสหรือถูอวัยวะเพศ และมักจะสัมผัสร่างกายตนเองอยู่เสมอ
  • เปิดอวัยวะเพศให้ผู้อื่นดู
  • มีความสงสัยเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง และอาจอยากสัมผัสหรือดูร่างกายของผู้อื่น
  • มีความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของร่างกาย รวมไปถึงคำที่ใช้เรียกการทำงานต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงฝึก หัดการขับถ่าย
  • ชอบเล่นเป็น “คุณหมอ” ที่มีการสำรวจร่างกายของกันและกัน หรือเล่น “พ่อแม่ลูก” รวมถึงสะท้อนสิ่งที่ได้เห็นหรือประสบมาในการเล่น เช่น เล่นสมมุติให้ตุ๊กตาจูบกันหรือทะเลากัน ตามที่เห็นจากพ่อและแม่ เป็นต้น
  • มีความสนใจในคำที่เกี่ยวข้องกับเพศ
  • อยากเห็นเวลาผู้อื่นเปลือย หรืออยากเปลือยให้ผู้อื่นเห็น
  • ทดลองสอดใส่นิ้วหรือของชิ้นเล็กๆเข้าไปในอวัยวะเพศ (พฤติกรรมนี้มักจะไม่เกิดซ้ำอีกเพราะเด็กมักจะรู้สึกเจ็บ)
  • พัฒนาการเรื่องเพศในเด็กวัยนี้ ได้แก่ สามารถอธิบายได้ว่าตนเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง นอกจากนี้ ยังถือว่าเด็กกำลังอยู่ในขั้นตอนการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ในเบื้องต้น รวมถึงความคิดเรื่องความเป็นส่วนตัวในขณะที่เปลือย อีกทั้ง เด็กกำลังก้าวเข้าสู่ระยะของความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ของตนเอง ของเพื่อน และของผู้ใหญ่ทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศ ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ชั่วครั้งชั่วคราว หรือเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ตลอดเวลา

เด็กวัยเรียนตอนต้น (5-9 ขวบ)

  • มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น และมักสัมผัสร่างกายของกันและกันผ่านกิจกรรมที่ทำ เช่น การจั๊กจี้ หรือการกอดปล้ำกันเวลาเล่น
  • ชอบสัมผัสร่างกายตนเอง โดยจะสัมผัสอย่างรู้จักกาลเทศะและบ่อยมากขึ้น เช่น เด็กจะไม่สัมผัสอวัยวะเพศในที่สาธารณะ เนื่องจากเรียนรู้แล้วว่าไม่เหมาะสม
  • พูดคุยมุขตลกที่เกี่ยวกับเรื่องเพศในหมู่เพื่อน แม้อาจจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ตาม
  • เริ่มพูดคุยถึงการสัมผัสร่างกายและพฤติกรรมทางเพศกับเพื่อน
  • เริ่มรู้สึกถึงการกระตุ้นทางเพศเวลาช่วยตนเอง และอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นอีก
  • ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
  • เด็กอาจลองจับมือกันหรือจูบกัน
  • เริ่มเข้าใจรสนิยมทางเพศของตนเอง
  • มีความสงสัยและมักถามผู้ปกครองว่าเด็กทารกมาจากไหน ความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงคืออะไร และแต่ละส่วนของร่างกายมีหน้าที่อย่างไร เป็นต้น
  • พัฒนาการเรื่องเพศในเด็กวัยนี้ ได้แก่ เด็กมีความเข้าใจในเพศของตนเอง รวมถึงเข้าใจว่าเพศเป็นอัตลักษณ์ และเป็นคุณ สมบัติถาวรที่จะติดตัวบุคคลไปตลอด มิได้ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้า การแต่งกาย หรือพฤติกรรมการแสดงออก เช่น ผู้ชายที่เปลี่ยนชุดเป็นผู้หญิง ก็ยังคงเป็นเพศชาย นอกจากนี้ เนื่องจากช่วงวัยดังกล่าวเป็นช่วงรอยต่อถึงช่วงวัยรุ่น เด็กบางคนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย เช่น เด็กผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือน เป็นต้น เด็กในวัยนี้ยังสามารถเข้าใจขั้นตอนการสืบพันธุ์ และรู้จักชื่อทางการของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเพศ รวมไปถึงมีความรู้เกี่ยวกับลักษณะความเบี่ยงเบนทางเพศของบุคคล เด็กวัยนี้ยังสามารถเริ่มทำความเข้าใจในธรรมเนียมและค่านิยมของสังคม อันเกี่ยวข้องกับเรื่องบทบาททางเพศของชายและหญิงได้ด้วย

ปัญหาพฤติกรรมทางเพศมีสาเหตุมาจากอะไร?

สาเหตุของปัญหาพฤติกรรมทางเพศในเด็กเกิดได้จากสาเหตุหลากหลายประการ ได้แก่

  • กระบวนการการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากเด็กสามารถแสดงพฤติกรรมทางเพศได้ โดยผ่านการเรียนรู้ ดังนั้น ปัญหาพฤติกรรมทางเพศของเด็กส่วนใหญ่จึงเกิดจากประสบการณ์ที่เด็กได้รับ โดยเด็กอาจเคยพบเห็นและจดจำพฤติกรรมทางเพศของผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง พี่เลี้ยง หรือเคยเห็นตามโทรทัศน์ นิตยสาร และสื่อบันเทิงต่างๆ
  • ครอบครัวและการเลี้ยงดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีความขัดแย้งหรือมีลักษณะตึงเครียด เด็กจะเริ่มการแสดง ออกซึ่งพฤติกรรมทางเพศได้เร็วกว่าเด็กที่เติบโตในครอบครัวปกติ
  • ปัญหาพฤติกรรมอันเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ เช่น เด็กมีปัญหาในการควบคุมตนเองจากสิ่งเย้ายวน มีปัญหาในการเข้ากับเพื่อนคนอื่น รวมถึงไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดู
  • พฤติกรรมทางเพศก่อให้เกิดความรู้สึกดี สงบ และเพลิดเพลิน ดังนั้นหากเด็กแสดงพฤติกรรมทางเพศออกมาแล้วในครั้งแรก แนวโน้มของการเกิดขึ้นซ้ำย่อมตามมา เด็กบางรายอาจแสดงพฤติกรรมซ้ำๆ จนติดเป็นนิสัย เช่น การจับอวัยวะเพศโดยไม่รู้ตัวในขณะที่ดูโทรทัศน์ หรือเมื่อรู้สึกตื่นเต้น
  • พฤติกรรมทางเพศก่อให้เกิดความรู้สึกน่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก เพราะถือเป็นการได้ทำในสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต และเนื่อง จากผู้ปกครองต้องคอยห้ามปราม เด็กจึงแสดงพฤติกรรมทางเพศเพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองด้วยเช่นกัน
  • ปัญหาทางพฤติกรรมอื่นๆ รวมไปถึงเด็กที่มีพฤติกรรมและอารมณ์รุนแรง โดยเด็กกลุ่มนี้มักจะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และชอบที่จะใช้กำลังกับผู้อื่น จึงส่งผลให้มีพฤติกรรมทางเพศที่ก้าวร้าวตามไปด้วย

ปัญหาพฤติกรรมทางเพศมีความสำคัญอย่างไร?

พฤติกรรมทางเพศเป็นพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย พฤติกรรมทางเพศที่ลูกแสดงออกจึงถือเป็นการแสดงออกถึงความปกติของลูก อย่างไรก็ตาม การแสดงออกทางเพศของลูกก็อาจมากเกินไป หรือรุนแรงเกินไปจนถึงขั้นผิดปกติ โดยสัญญาณอันตรายที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติดังกล่าวนั้น มักได้แก่

  • เด็กเสนอหรือบังคับให้ผู้อื่นร่วมเล่นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ
  • เด็กที่ร่วมเล่นมีอายุห่างกันมากเกินกว่า 3 ปี
  • กิจกรรมอันเกี่ยวข้องกับเพศที่เด็กเล่นนั้นไม่เหมาะสม
  • เด็กยังคงกลับมาทำกิจกรรมเดิมมากกว่า 1 ครั้ง แม้ว่าผู้ปกครองจะห้ามและควบคุมอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากพฤติกรรมการเล่นของเด็กมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ปกครองอาจจำเป็นต้องแยกเด็กออกจากกันสักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากกิจกรรมอันเกี่ยวข้องกับเพศที่เด็กเล่นกันนั้น เกิดขึ้นระหว่างพี่กับน้อง ซึ่งไม่อาจแยกออกจากกันได้ ถือเป็นความจำเป็นที่ผู้ปกครองจะต้องขอคำ ปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้ปัญหาบานปลาย
  • เด็กเป็นฝ่ายถูกกระทำ กล่าวคือ ถูกหลอก ถูกบังคับ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนตกเป็นเหยื่อของบุคคลอื่น ในกรณีนี้ หากผู้ปกครองเฝ้าระวังลูกอย่างใกล้ชิด และสังเกตเห็นพฤติกรรมความผิดปกติ ผู้ปกครองควรพูดคุย ถามไถ่กับลูกอย่างเป็นการส่วน ตัว เด็กบางรายอาจไม่กล้าเปิดเผยในสิ่งที่ตนได้ถูกล่วงเกิน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะถูกขู่ให้เก็บเงียบไว้เป็นความลับ ดังนั้นความเอาใจใส่ของผู้ปกครองจึงถือเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่จะทำให้ลูกหลุดพ้นจากปัญหาที่ตนกำลังเผชิญได้

อนึ่ง พัฒนาการเรื่องเพศในเด็กถือเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของเด็ก แต่การแสดงออกในระดับที่ผิดปกติ เช่น มากเกินไป หรือรุนแรงเกินไป ย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ปกครองต้องเอาใจใส่ดูแล และจัดการแก้ไขปัญหาแต่เนิ่น เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกาย พฤติกรรม อารมณ์ และจิตใจ

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาพฤติกรรมทางเพศให้ลูกได้อย่างไร?

พ่อแม่คือบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการเรื่องเพศของลูก โดยถือเป็นต้นแบบของการแสดงออกซึ่งพฤติ กรรมทางเพศของลูก อีกทั้งยังมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้กับลูกช่างสงสัยในวัยกำลังเรียนรู้สิ่งรอบตัว คำแนะนำสำหรับพ่อแม่เพื่อช่วยเหลือลูกในเรื่องเพศ มีดังต่อไปนี้

  • เป็นพ่อแม่ที่ลูกสามารถถามได้ทุกเรื่อง
  • เปิดเผยและสอนเรื่องเพศศึกษาให้แก่ลูกตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งนี้เพื่อให้ลูกกล้าที่จะเปิดเผยต่อพ่อแม่เช่นกัน เมื่อก้าวสู่วัยรุ่น
  • เต็มใจที่จะทวนคำตอบหรือคำอธิบายจนกว่าลูกจะเข้าใจ
  • ตอบคำถามให้สั้นและง่าย แต่ต้องเป็นความจริง
  • หาหนังสือเรื่องเพศสำหรับเด็กมาอ่านร่วมกันกับลูก
  • ผ่อนคลายและใจเย็นเมื่อพูดกับลูก เพราะจุดประสงค์ในการพูดคุยของพ่อแม่ก็คือ เพื่อช่วยเหลือและปลูกฝังให้ลูกตระ หนักว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งสำคัญ และประสบการณ์เรื่องเพศถือเป็นส่วนที่มีค่ามากในชีวิตคนหนึ่งคน
  • สนับสนุนให้การเรียนรู้ประสบการณ์เรื่องเพศกับพ่อแม่เป็นเรื่องสนุก โดยการทำให้น่าสนใจและมีความสนุก หรือมุขตลกสอดแทรกควบคู่ไปกับสาระ ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์ที่สำคัญกว่าการสร้างความเข้าใจเรื่องเพศให้กับลูก คือการทำให้ลูกรู้สึกกล้า เชื่อใจ และนึกถึงผู้ปกครองเป็นลำดับแรก เมื่อต้องการคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือ
  • ฝึกฝนกับตัวเอง ระหว่างพ่อกับแม่ด้วยกันเอง หรือระหว่างเพื่อน โดยการลองเล่นบทบาทสมมติ ให้อีกฝ่ายลองเป็นลูกแล้วจึงสลับกัน ทั้งนี้เพื่อให้การสอนเรื่องเพศของผู้ปกครองเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
  • เลือกหนังสือเรื่องเพศให้เหมาะสมที่สุด โดยคำนึงถึงความสามารถในการเข้าใจของลูกเป็นหลัก และควรอ่านทำความเข้าใจกับเนื้อหา รวมถึงคิดหาวิธีในการนำเสนอที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ หนังสือที่ดีควรปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเด็กด้วย เช่น นำเสนอความเท่าเทียมระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ไม่ใช่นำเสนอบทบาททางเพศที่แยกออกจากกันชัดเจนตามภาพเหมารวมโดยทั่วไปในสังคม
  • ไม่แสดงการตอบโต้ในทางลบหรือรุนแรงมากจนเกินไป เมื่อพบว่าลูกแสดงพฤติกรรมทางเพศใดๆออกมา เพราะอาจส่งผลเสียต่อความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็ก และอาจกระทบต่อพัฒนาการทางเพศของเด็กในอนาคต
  • ปลูกฝังตั้งแต่ลูกยังเด็กถึงเรื่องความไม่เหมาะสมของการสัมผัสร่างกายผู้อื่น เพื่อให้เด็กรู้จักหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายเพื่อความรู้สึกทางเพศจากเด็กหรือผู้ใหญ่คนอื่น อีกทั้งยังเป็นการสอนลูกให้รู้จักการให้เกียรติผู้อื่นเช่นกัน
  • เป็นฝ่ายถามลูกบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกเริ่มต้นแสดงพฤติกรรมเรื่องเพศ
  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญหากลูกมีแนวโน้มของพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม

เกร็ดความรู้เพื่อครู

เริ่มตั้งแต่หน้าที่ในการสอน การนำกิจกรรม ไปจนถึงการคอยตรวจดูความเรียบร้อยในห้องเรียนอย่างใกล้ชิด ครูถือเป็นบุคคลที่มีส่วนช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาอันเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศได้เป็นอย่างมาก ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • เริ่มสอนตั้งแต่ต้น กล่าวคือ เริ่มตั้งแต่พื้นฐานของเรื่องเพศ โดยสอนให้เด็กรู้จักตนเองก่อน แล้วจึงรู้จักผู้อื่น
  • พูดซ้ำ เพื่อย้ำให้เด็กเห็นความสำคัญของเรื่องเพศ รวมถึงมีความเข้าใจที่ถูกต้องเหมาะสมและสมวัย
  • ไม่ให้ข้อมูลที่มากจนเกินไปในครั้งเดียว โดยครูอาจจะแบ่งเป็นหัวข้อย่อย แล้วหยิบมาพูดครั้งละข้อ อีกทั้งควรสนับ สนุนให้เด็กได้ใช้ความคิด เพื่อให้ครูเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้นด้วย
  • พูดคุย ให้คำปรึกษา หรือสอบถามเรื่องเพศกับเด็ก เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้เกิดขึ้นกับเด็ก และถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างครูกับลูกศิษย์ อันจะส่งผลให้เด็กกล้าที่จะเข้าหาครูมากยิ่งขึ้น
  • สอนให้รู้จักวิธีการปฏิเสธอย่างเหมาะสม
  • สอนให้เด็กรู้จักการให้เกียรติผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัวกันโดยไม่จำเป็นหรือโดยเจตนา
  • สอนให้เด็กเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น
  • สอนให้เด็กรู้จักการแสดงความรักอย่างถูกกาลเทศะ โดยเน้นความสำคัญเรื่อง “กับใคร” และ “ที่ไหน” เป็นหลัก
  • ให้ความรู้เกี่ยวกับการสำเร็จความใคร่ เพราะถือเป็นเรื่องที่เด็กทุกคนควรเข้าใจ เนื่องจากเป็นลักษณะที่เด็กอาจเรียนรู้ได้เองตามธรรมชาติ การสอนให้เด็กเข้าใจก่อน อาจช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ที่สามารถสัม ผัสได้ในขณะที่สำเร็จความใคร่ นอกจากนี้ การสำเร็จความใคร่ยังสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเด็กได้ หากแต่ควรเกิดขึ้นอย่างถูกที่ ถูกเวลา
  • ปลูกฝังให้เด็กหวงแหน รู้จักดูแลและรักษาร่างกายของตนเอง
  • เตรียมความพร้อมเด็กก่อนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ด้วยการสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่แตกต่างกันระหว่างเพศชายและเพศหญิง ซึ่งเด็กกำลังจะได้พบในอีกไม่ช้า

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก