ประกันสังคม ม.39 คุ้มครองอะไรบ้าง

มาตรา 39 คืออะไร ประกันสังคม มาตรา 39 มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้างนั้น วันนี้ เรามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก

            ประกันสังคม มาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจที่ยังอยากส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมหลังผันตัวออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือมีเหตุให้ต้องหลุดออกจากงานเดิม แต่ยังต้องการคงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของประกันสังคมไว้ ว่าแต่...สิทธิประโยชน์ประกันสังคม มาตรา 39 มีอะไรบ้าง ขึ้นทะเบียนประกันสังคม มาตรา 39 ต้องทำอย่างไร ใช้เอกสารอะไรประกอบ วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก 

ประกันสังคม มาตรา 39 คืออะไร


            มาตรา 39 ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ระบุว่า

            "ผู้ใดเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โดยจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบสองเดือน และต่อมาความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา 38 (2) ถ้าผู้นั้นประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ให้แสดงความจำนงต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนดภายในหกเดือน นับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

            จำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่ง ต้องส่งเข้ากองทุนตามมาตรา 46 วรรคสอง ให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในขณะนั้นด้วย ให้ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละครั้ง ภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป

            ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งซึ่งไม่ส่งเงินสมทบหรือส่งไม่ครบจำนวนภายในเวลาที่กำหนดตามวรรคสาม ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่ยังมิได้นำส่งหรือของจำนวนเงินสมทบที่ยังขาดอยู่นับแต่วันถัดจากวันที่ต้องนำส่งเงินสมทบ สำหรับเศษของเดือน ถ้าถึงสิบห้าวันหรือกว่านั้นให้นับเป็นหนึ่งเดือน ถ้าน้อยกว่านั้นให้ปัดทิ้ง"

            เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเท่ากับบุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาก่อน เมื่อได้สิ้นสุดความเป็นลูกจ้างของบริษัทที่เราเป็นลูกจ้าง ก็ทำให้ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สิ้นสุดตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ หากเรายังมีความประสงค์จะรักษาสถานภาพการเป็นผู้ประกันตนต่อก็สามารถทำได้ ด้วยการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเอง เพราะทางประกันสังคมต้องการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิประโยชน์ใกล้เคียงกัน ตามนโยบายพื้นฐานที่ว่าด้วยการเฉลี่ยความสุขและทุกข์

ประกันสังคม มาตรา 39 ต่างกับ มาตรา 33 อย่างไร


          ผู้ประกันตน มาตรา 33 ถือเป็นภาคบังคับที่บริษัทต้องทำให้พนักงาน/ลูกจ้าง โดยพนักงานต้องส่งเงินสมทบเข้าสำนักงานประกันสังคม 5% ของฐานเงินเดือน ส่วนนายจ้างต้องสมทบให้อีก 5% ขณะที่รัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบเพิ่มให้อีก 2.75% โดยยึดฐานเงินเดือนต่ำสุดที่ 1,650 บาท สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท

          นั่นคือพนักงานบริษัทจะจ่ายเงินสมทบสูงสุดไม่เกินเดือนละ 750 บาท นายจ้างก็จะจ่ายสมทบให้สูงสุดไม่เกินเดือนละ 750 บาท และรัฐบาลจะจ่ายสมทบให้ไม่เกินเดือนละ 412.50 บาท

          ทั้งนี้ ผู้ประกันตน มาตรา 33 จะได้รับสิทธิประโยชน์ 7 กรณี คือ กรณีเจ็บป่วย/อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน

          ส่วนผู้ประกันตน มาตรา 39 เป็นการประกันตนภาคสมัครใจ กรณีที่เคยทำงานในบริษัทและประกันตน มาตรา 33 มาก่อน แต่เกิดตกงานหรือลาออก แล้วยังต้องการรับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมอยู่ ก็สามารถสมัครในมาตรา 39 ได้ โดยผู้ประกันตนจะส่งเงินเข้ากองทุน 432 บาทต่อเดือน (คิดจากฐานสูงสุด 4,800 บาท) และรัฐบาลจะช่วยสมทบอีก 120 บาทต่อเดือน ได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี คือ กรณีเจ็บป่วย/อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ

          อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 จะต้องผู้ประกันตนในมาตรา 33 มาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และลาออกมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน นอกจากนี้ต้องไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ จึงจะสมัครมาตรา 39 ได้

ประกันสังคม มาตรา 39 สิทธิประโยชน์มีอะไรบ้าง

           

ผู้ประกันสังคม มาตรา 39 ที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนครบ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้

            1. กรณีเจ็บป่วย 
            2. กรณีทุพพลภาพ 
            3. กรณีคลอดบุตร 
            4. กรณีสงเคราะห์บุตร
            5. กรณีชราภาพ
            6. กรณีเสียชีวิต

1. สิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ตามมาตรา 39

         

มีหลายกรณีที่ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาล คือ
          - กรณีเจ็บป่วย
          - กรณีปลูกถ่ายไขกระดูก
          - กรณีการบำบัดทดแทนไต
          - กรณีทันตกรรม
          - กรณีขอรับเงินทดแทนการขาดรายได้
          - ค่าพาหนะกรณีย้ายสถานพยาบาล

          ในที่นี้จะขอให้รายละเอียดเฉพาะ 3 กรณีหลัก ๆ คือ กรณีเจ็บป่วย กรณีทันตกรรม และกรณีขอรับเงินทดแทนการขาดรายได้ ส่วนกรณีอื่น ๆ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ประกันสังคม

1. กรณีเจ็บป่วยทั่วไป อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน แบ่งได้ 2 กรณี

                - เจ็บป่วยปกติ ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

- เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือประสบอันตราย

สำหรับกรณีประสบอันตราย ตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และจํานวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน วันที่ 22 กันยายน 2560 ระบุว่า หากผู้ประกันตนไม่สามารถเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลตามสิทธิ และจำเป็นต้องรักษาในสถานพยาบาลแห่งอื่น สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ดังนี้

สถานพยาบาลของรัฐ

            ผู้ป่วยนอก

            - สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น

            ผู้ป่วยใน

            - สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ยกเว้น ค่าห้องและอาหารเบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท

สถานพยาบาลเอกชน

            กรณีผู้ป่วยนอก

            - สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ 1,000 บาท

            - สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงเกินครั้งละ 1,000 บาทได้ หากมีการตรวจรักษาตามรายการในประกาศ ดังนี้

                      * การได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือด เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาทต่อยูนิต

                      * สารต่อด้านพิษจากเชื้อบาดทะยักชนิดทำจากมนุษย์ เท่าที่จ่ายจริง 400 บาทต่อราย

                         * ค่าฉีดวัคซีน/เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
                          - Rabies Vaccine เฉพาะเข็มแรก เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 290 บาท
                          - Rabies antiserum-ERIG เฉพาะเข็มแรก เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาท
                          - Rabies antiserum-HRIG เฉพาะเข็มแรก เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 8,000 บาท ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

                      * อัลตราซาวด์ เฉพาะกรณีภาวะฉุกเฉินเฉียบพลันในช่องท้อง เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาทต่อราย

                      * CT-SCAN เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,000 บาท หรือ MRI เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 8,000 บาทต่อราย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์กำหนด

                      * การขูดมดลูก เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,500 บาทต่อราย เฉพาะกรณีที่มีภาวะตกเลือดหลังการคลอดหรือภาวะตกเลือดจากการแท้งบุตร

                      * ค่าฟื้นคืนชีพรวมค่ายาและอุปกรณ์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 4,000 บาทต่อราย

                      * กรณีที่มีการสังเกตอาการในห้องสังเกตอาการตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 200 บาทต่อราย

            กรณีผู้ป่วยใน

จะได้รับค่าบริการทางแพทย์เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ดังนี้

           

- ค่ารักษาพยาบาล กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกินวันละ 2,000 บาท

            - ค่าห้องและค่าอาหารตามจริง ไม่เกินวันละ 700 บาท

            - ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลกรณีที่รักษาในห้อง ICU ตามจริง ไม่เกินวันละ 4,500 บาท

            - กรณีที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละ 8,000-16,000 บาท ตามระยะเวลาการผ่าตัด

            - การฟื้นคืนชีพรวมค่ายาและอุปกรณ์ตามจริง ไม่เกิน 4,000 บาท

            - ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหรือเอกซเรย์ ตามจริง ไม่เกินรายละ 1,000 บาท

            - กรณีมีความจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยพิเศษ ได้แก่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง การตรวจคลื่นสมอง การตรวจอัลตราซาวด์ การสวนเส้นเลือดหัวใจและเอกซเรย์ การส่องกล้อง การตรวจด้วยการฉีดสี การตรวจด้วย CT-SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด

สำหรับกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินในสถานพยาบาลรัฐหรือเอกชน ให้เบิกจ่ายได้ตามกรณีประสบอันตราย และยังมีเพิ่มเติมจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ ดังนี้

            

-กรณีใช้ยาละลายลิ่มเลือด ในการรักษาโรคเกี่ยวกับการอุดตันของหลอดเลือดสมอง จ่ายค่ายาละลายลิ่มเลือดด้วยการฉีดยาทางหลอดเลือดดำและทำ CT Brian ก่อนและหลังฉีดยา เหมาจ่ายครั้งละ 50,000 บาทถ้วน

             - กรณีใช้ยาละลายลิ่มเลือดรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดที่มีการยกขึ้นของคลื่นไฟฟ้าส่วน ST จ่ายเป็นค่าละลายลิ่มเลือด Streptokinase และค่าฉีดยาเหมาจ่ายครั้งละ 10,000 บาทถ้วน และกรณีใช้ยาละลายลิ่มเลือด rt-PA หรือ TNK-tPA และค่าฉีดยาเหมาจ่ายครั้งละ 50,000 บาทถ้วน

         

ทั้งนี้ กรณีที่เป็นโรคหรือเข้ารับบริการในกลุ่มโรคยกเว้น จะไม่มีสิทธิได้รับบริการทางการแพทย์ คือไม่สามารถเบิกประกันสังคมได้ ประกอบด้วย

1. การกระทำใด ๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์

2. การรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้าทดลอง

3. การรักษาภาวะมีบุตรยาก

4. การตรวจใด ๆ ที่เกินกว่าความจำเป็นในการรักษาโรคนั้น

         

5. การเปลี่ยนเพศ

          6. การผสมเทียม

          7. ทันตกรรม ยกเว้นการถอนฟัน การอุดฟัน การขูดหินปูนและผ่าฟันคุด ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 900 บาทต่อปี กรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,300-4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี

          8. แว่นตา

          2. กรณีทันตกรรม

         

ผู้ประกันตนสามารถทำฟันได้ในสถานพยาบาลที่รองรับสิทธิประกันสังคม โดยได้รับสิทธิประโยชน์คือ

          - ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าตัดฟันคุด ได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริง 900 บาทต่อครั้งต่อปี
          - กรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ใส่ฟันเทียมนั้น ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
             (ก) 1-5 ซี่ เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 1,300 บาท
             (ข) มากกว่า 5 ซี่ เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 1,500 บาท

          - กรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปาก ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียมนั้น ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
             (ก) ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปากบนหรือล่าง เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 2,400 บาท
             (ข) ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปากบนและล่าง เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในวงเงินไม่เกิน 4,400 บาท

          ทั้งนี้ หากเข้ารับบริการทันตกรรมแล้ว ผู้ประกันตนจะต้องสำรองจ่ายไปก่อน และต้องขอใบรับรองแพทย์ ใบเสร็จรับเงิน และแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีทันตกรรม (สปส.2-16) มายื่นขอรับเงินคืนที่สำนักงานประกันสังคม

          อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีสถานพยาบาลหลายแห่งที่เข้าร่วมโครงการทำฟันไม่ต้องสำรองจ่าย ดังนั้น หากผู้ประกันตนเข้ารับบริการทันตกรรมในสถานพยาบาลแห่งนี้ ก็จะไม่ต้องนำเอกสารต่าง ๆ มายื่นขอรับเงินคืนอีก

3. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วยมาตรา 39

เงินทดแทนการขาดรายได้สำหรับการหยุดงาน เพื่อการรักษาพยาบาลตามคำสั่งแพทย์ในรอบปีปฏิทิน ถ้าผู้ประกันตนลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างครบ 30 วัน ตามกฎหมายของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานแล้วต้องหยุดงานตามคำสั่งแพทย์ต่อไปอีก สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินเรียกว่า "เงินทดแทนการขาดรายได้" ซึ่งผู้ประกันตนได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ในรอบปีหนึ่ง ๆ ก็จะจ่ายให้ปีละไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่เกิน 365 วัน

           

ดังนั้น ผู้ประกันตน มาตรา 39 จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้วันละ 80 บาท โดยคำนวณจากฐานเงินเดือนสูงสุด 4,800 บาท เท่ากับได้รับค่าจ้างวันละ 160 บาท จึงจะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของ 160 บาท คือ 80 บาท

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้างในระหว่างหยุดงาน เพื่อการรักษาพยาบาลตามกฎหมายของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือมีสิทธิตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานสัญญาจ้างแรงงาน หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วแต่กรณี ผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จนกว่าสิทธิที่ได้รับเงินค่าจ้างนั้นได้สิ้นสุด จึงจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ดังกล่าวเท่ากับระยะเวลาที่คงเหลือ

ปัจจุบันกำหนดโรคเรื้อรังไว้ 6 รายการ ดังนี้

             1. โรคมะเร็ง
             2. โรคไตวายเรื้อรัง
             3. โรคเอดส์
             4. โรคหรือการบาดเจ็บของสมอง เส้นเลือดสมองหรือกระดูกสันหลังอันเป็นเหตุให้เป็นอัมพาต
             5. ความผิดปกติของกระดูกหักที่มีภาวะแทรกซ้อน
             6. โรคหรือการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่ต้องรักษาตัวนานติดต่อกันเกินกว่า 180 วัน ระหว่างการรักษาทำงานไม่ได้ให้ยื่นเรื่องขอมติคณะกรรมการการแพทย์

 
2. สิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ ตามมาตรา 39

           

ทุพพลภาพ คือ การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของร่างกาย หรือสูญเสียภาวะปกติของจิตใจจนไม่สามารถทำงานได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด

            และผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนเดือนที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดให้เป็นผู้ทุพพลภาพ และเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจนถึงขั้นทุพพลภาพเท่านั้น จึงจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้

สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพจะได้รับ มีดังนี้

ค่ารักษาพยาบาล

             - กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลของรัฐ สำหรับผู้ทุพพลภาพสามารถเข้าทำการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่เลือก หรือสถานพยาบาลของรัฐ กรณีผู้ป่วยนอก จ่ายค่ารักษาเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น กรณีผู้ป่วยใน เข้ารักษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทางสถานพยาบาลจะเป็นผู้มายื่นเรื่องเบิกกับทางสำนักงานประกันสังคม

            - กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลเอกชน ผู้ป่วยนอก จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ส่วนผู้ป่วยใน จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท

- ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับ-ส่งผู้ทุพพลภาพ ให้เหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท

- กรณีเบิกรถนั่งสำหรับผู้ทุพพลภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ด้วยตัวเองตลอดชีวิต (ตามดุลยพินิจของคณะกรรมการ) สามารถเบิกได้ไม่เกินคันละ 150,000 บาท


เงินทดแทนการขาดรายได้

- ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพรุนแรง จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างประเมิน (สูงสุดไม่เกิน 4,800 บาท) ทุกเดือน ตลอดชีวิต 

- กรณีทุพพลภาพไม่รุนแรง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างประเมิน (สูงสุดไม่เกิน 4,800 บาท) เป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี หรือ 180 เดือน

สำหรับค่าทดแทนการขาดรายได้ หากนายจ้างยังจ่ายไม่ครบ 15 ปี แล้วลูกจ้างเสียชีวิตก่อน นายจ้างจะต้องจ่ายให้ผู้มีสิทธิ เช่น ทายาท ต่อไปจนครบกำหนดระยะเวลาตามสิทธิ แต่ระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนรวมกันต้องไม่เกิน 10 ปี

ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน

- ผู้ทุพพลภาพสามารถเข้ารับการฟื้นฟูในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานของสำนักงานประกันสังคม โดยมีค่าฟื้นฟูไม่เกิน 40,000 บาท

เงินบำเหน็จชราภาพ

- ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเมื่อมีมติให้เป็นผู้ทุพพลภาพ และสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน

ค่าทำศพ

            กรณีผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพถึงแก่ความตาย ผู้จัดการศพมีสิทธิได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท (มีผลตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป)

เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต

           

- หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 36 เดือน แต่ไม่ถึง 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์ 4 เท่าของเงินทดแทนการขาดรายได้ เดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

- หากจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์ 12 เท่าของเงินทดแทนการขาดรายได้ เดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

3. สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร มาตรา 39

            ค่าคลอดบุตร

กรณีคลอดบุตรผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 จะต้องนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือน ก่อนเดือนคลอดบุตร จึงมีสิทธิเบิกค่าคลอดบุตรได้ โดยคุณสามารถฝากครรภ์และคลอดบุตรที่โรงพยาบาลใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาลตามบัตร เมื่อคลอดบุตรแล้วให้นำเอกสารมาเบิกเงินเหมาจ่ายค่าคลอด 15,000 บาทต่อการคลอดบุตร 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวน) และเงินค่าฝากครรภ์ จำนวนไม่เกิน 1,500 บาท (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป)

ทั้งนี้ ในการขอเบิกเงินค่าคลอดบุตรนั้น ผู้ประกันตนจะต้องมายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น ซึ่งหากผู้ประกันตนไม่มารับภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงาน ให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน

            ค่าตรวจและรับฝากครรภ์

 - ครั้งที่ 1 : อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 500 บาท
            - ครั้งที่ 2 : อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท
            - ครั้งที่ 3 : อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท

 - ครั้งที่ 4 : อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ (7-8 เดือน) จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 200 บาท

           

 - ครั้งที่ 5 : อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป (8-10 เดือน) จ่ายในอัตราเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 200 บาท

            เงินสงเคราะห์กรณีหยุดงานคลอดบุตร

           

สำหรับผู้ประกันตนหญิงจะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงาน เพื่อการคลอดร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน (ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 2 ครั้ง) โดยต้องเตรียมเอกสารการเบิก สปส.2-01 พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน สูติบัตรตัวจริงและสำเนา แล้วนำมาเบิกได้ที่ สปส. พื้นที่ที่สะดวก ยกเว้นสำนักงานใหญ่ สำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน

 หากเป็นผู้ประกันตนชายที่มีภรรยาคลอดบุตร สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ โดยนำสำเนาสูติบัตรของบุตร, สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี) หรือหนังสือรับรองกรณีไม่มีทะเบียนสมรส (เฉพาะกรณีผู้ประกันตนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภริยา) มาเบิกเงินที่สำนักงานประกันสังคม จะได้รับเฉพาะเงินค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย 15,000 บาท

 กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ให้เลือกใช้สิทธิเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

4. สิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร ตามมาตรา 39

            หลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์

            หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ท่านมีสิทธิ คือ จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีสงเคราะห์บุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนและเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39 สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาท ต่อบุตร 1 คน

            ซึ่งกรณีนี้ผู้มีสิทธิขอรับประโยชน์มีเพียงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้นบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น และบุตรมีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน

            เงื่อนไขที่ได้รับกรณีสงเคราะห์บุตร

            - เงินสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน (บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่รวมถึงบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น)

            - ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

            - จดทะเบียนสมรสกับมารดาของบุตร

            - จดทะเบียนรับรองบุตร

            - ยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตร

            การหมดสิทธิรับเงินกรณีสงเคราะห์บุตร

            - เมื่อบุตรมีอายุครบ 6 ขวบปีบริบูรณ์

            - บุตรเสียชีวิต

            - ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น

            - ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

นอกจากนี้ ประกันสังคมยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนสามารถลงทะเบียนเพื่อรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดได้อีก 600 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 3 ขวบ หากแม่หรือผู้ปกครองของเด็กมีคุณสมบัติ ดังนี้          - สัญชาติไทย

 - อยู่ในครัวเรือนยากจนหรือเสี่ยงต่อความยากจน คือ มีรายได้รวมของครัวเรือนทั้งหมด หารด้วยจำนวนสมาชิกในครัวเรือน ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อคนต่อปี

5. สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ มาตรา 39

           

ผู้ประกันตน มาตรา 39 ที่จ่ายเงินสมทบครบถ้วน จะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จประกันสังคม และเงินบำนาญประกันสังคม

บํานาญชราภาพ ประกันสังคม มาตรา 39

- จะได้รับเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

           

- กรณีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่จำเป็นต้องติดต่อกัน และรวมเดือนที่ประกันตนในมาตรา 33) มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

- ในกรณีที่จ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพอีกร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบที่เพิ่มขึ้นทุก 12 เดือน

- กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับคราวสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

           

บําเหน็จชราภาพ ประกันสังคม มาตรา 39

จะได้รับเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ผู้ประกันตนหรือทายาทจะได้รับเงินส่วนนี้

*กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบ 12-179 เดือน (รวมเดือนที่ประกันตนในมาตรา 33)

ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ เท่ากับจำนวนเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบไว้ทั้งหมด พร้อมผลประโยชน์ตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด

วิธีคำนวณเงินชราภาพ ประกันสังคม มาตรา 39

- เดือนที่ประกันตนในมาตรา 33 จะได้รับเงินร้อยละ 6 คิดจากฐานรายได้ 1,650-15,000 บาทต่อเดือน เท่ากับจะได้รับเงิน 99-900 บาทต่อเดือน พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุน

- ส่วนเดือนที่ประกันตนในมาตรา 39 จะได้รับเงินร้อยละ 6 คิดจากฐานรายได้ 4,800 บาทต่อเดือน เท่ากับ 288 บาทต่อเดือน พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุน

 

6. สิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิต ตามมาตรา 39

           

ผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน จะได้รับสิทธิประโยชน์ ตามมาตรา 39 เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนถึงแก่ความตาย

            สำหรับหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิต ตามมาตรา 39 มีรายละเอียด ดังนี้

            หลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์

            1. ได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท (มีผลตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563) โดยจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ (ตามประกาศกฏกระทรวง วันที่ 26 มิถุนายน 2563)

            2. ได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย ดังนี้

                 * ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
                 * ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน ให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิสามารถขอรับประโยชน์ทดแทนได้ภายใน 2 ปี

  หมายเหตุ : ค่าจ้างเฉลี่ย (ตามมาตรา 57) คือ ค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบ 3 เดือนสูงสุด ภายในระยะเวลา 15 เดือน นำมารวมกันแล้วหารด้วย 90 จะได้ค่าจ้างต่อวัน แล้วคูณด้วย 30 จะได้ค่าจ้างต่อเดือน            3. ทายาทสามารถขอรับคืนเงินกรณีชราภาพได้ภายใน 2 ปี นับแต่ตาย (ดูรายละเอียดในกรณีชราภาพ)

           

ใครคือผู้จัดการศพ

            บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพและได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน กรณีไม่ได้ทำหนังสือระบุให้ใครเป็นผู้รับ จ่ายให้ผู้มีสิทธิตามกฎหมายโดยเฉลี่ยเท่ากัน คือ

            - คู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนที่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน

            - บุคคลอื่นที่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน


ภาพจาก เฟซบุ๊กสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

ประกันสังคม มาตรา 39 ได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้างในช่วงโควิด


         

- ค่ารักษาพยาบาล กรณีติดเชื้อไวรัสโคโรนา ผู้ประกันตนสามารถเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

          - เงินทดแทนรายได้ อันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยและต้องหยุดงาน ตามคำสั่งของแพทย์ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง (วันละ 80 บาท)

          - ผู้ประกันตน มาตรา 39 จะไม่ได้รับเงินกรณีว่างงานเหมือนกับผู้ประกันตน มาตรา 33 แต่สามารถลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงการคลัง ได้เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวม 15,000 บาท ได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com 

          - ปรับลดอัตราเงินสมทบ ในปี 2564 จะได้ปรับลดอัตราส่งเงินสมทบดังนี้

            >> เดือนมกราคม 2564 : ลดอัตราการส่งเงินสมทบ เหลือ 278 บาท

            >> เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2564 : ลดอัตราการส่งเงินสมทบ เหลือ 38 บาท
            >> เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 : ลดอัตราการส่งเงินสมทบ เหลือ 216 บาท  

          - ผู้ประกอบกิจการ 9 อาชีพที่ได้รับผลกระทบ ใน 10 จังหวัดพื้นที่สีแดง ตามคำสั่ง ศบค. ฉบับที่ 27 จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท โดย 9 กิจการอาชีพประกอบด้วย

            

1. กิจการก่อสร้าง

           2. กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร

           3. กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ

           4. กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ

           5. สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า

           6. สาขาขายส่งและการขายปลีก

           7. สาขาการซ่อมยานยนต์

           8. สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุนวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ

           9. สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร

สมัครประกันสังคม มาตรา 39 ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

           

1. เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน

            2. ต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม

สมัครประกันสังคม มาตรา 39 ได้อย่างไร

           

การยื่นใบสมัครผู้ประกันตน มาตรา 39 คือ

            ผู้ประกันตนที่ประสงค์จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมด้วยตนเองโดยสมัครใจ โดยมีรายละเอียดการยื่นใบสมัครผู้ประกันตนมาตรา 39 ดังนี้

            1. ต้องยื่นใบสมัครตามแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (แบบ สปส.1-20) ด้วยตนเอง ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน

            2. สถานที่ยื่นใบสมัคร

                - กรุงเทพฯ : ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 แห่ง

                - ภูมิภาค : ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสาขา (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)

สมัครประกันสังคม มาตรา 39 ใช้หลักฐานอะไร

           

1. แบบขอเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 (สปส.1-20)   

2. บัตรประชาชนหรือบัตรอื่นที่มีรูปถ่าย ซึ่งทางราชการออกให้พร้อมสำเนา

3. กรณีประสงค์จะชำระเงินสมทบโดยหักบัญชีธนาคาร ให้แนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ หน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชี พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง


ประกันสังคม มาตรา 39 จ่ายเงินสมทบเท่าไร

           

สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งสำนักงานประกันสังคม คือ เดือนละ 432 บาทต่อเดือน

            เงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ คือ เดือนละ 4,800 บาท เท่ากันทุกคน โดยคิดจากอัตราเงินสมทบ 9% (4,800 x 9% = 432 บาทต่อเดือน) ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี (กรณีเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ) ต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33

 

วิธีจ่ายเงินสมทบประกันสังคม มาตรา 39

           

ผู้ประกันตนสามารถจ่ายเงินสมทบมาตรา 39 ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา พร้อมแบบส่งเงินสมทบ (สปส. 1-11) หรือใช้วิธีหักจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และการจ่ายด้วยเงินสดที่ธนาคาร ดังนี้

            1. หักจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ คือ

                - ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
                - ธนาคารกรุงไทย
                - ธนาคารกสิกรไทย
                - ธนาคารไทยพาณิชย์

- ธนาคารทหารไทยธนชาต

- ธนาคารกรุงเทพ

            2. จ่ายด้วยเงินสดที่

                - ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
                - ธนาคารกรุงไทย
                - ธนาคารทหารไทยธนชาต
                - จ่ายผ่านเคาน์เตอร์บริการ ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส, เทสโก้ โลตัส, เซ็นเพย์, บิ๊กซี และที่ทำการไปรษณีย์ไทย

               

- สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา

หน้าที่ของผู้ประกันตน มาตรา 39

           

1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีหน้าที่ต้องนำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน หากเกินกำหนดต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน

2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีหน้าที่ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงให้สำนักงานประกันสังคม ดังนี้

               

- กรณีเปลี่ยนแปลงสถานที่ติดต่อ ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ตามแบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงสถานที่ติดต่อ (สปส.1-34)

                - กรณีเปลี่ยนชื่อตัว - ชื่อสกุล หรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ต้องแจ้งทันทีพร้อมแนบสำเนาหลักฐาน

                - กรณีประสงค์ลาออกหรือกลับเข้าทำงานและมีสถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรทันทีตามแบบแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส.1-21)

เช็กรายชื่อประกันสังคม มาตรา 39

           

สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ที่อยากเช็กรายชื่อประกันสังคม มาตรา 39 นั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ www.sso.go.th หลังจากนั้นก็ใส่หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักของผู้ที่ต้องการค้นหาลงไป

หนังสือมอบอำนาจเป็นผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 39

           

  ในกรณีที่ผู้ประกันตน มาตรา 39 ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปรับเงินจากกองทุนเงินทดแทน สามารถทำหนังสือมอบอำนาจเป็นผู้รับผลประโยชน์ตามมาตรา 39 หรือทำเป็นหนังสือมอบฉันทะให้บุคคลอื่นมารับแทนเงินแทนตนได้

            โดยเอกสารที่ผู้ได้มอบอำนาจให้เป็นผู้รับผลประโยชน์ตามมาตรา 39 ประกอบด้วย

            - ทำหนังสือมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้บุคคลอื่นมารับแทน

            - บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้มอบและผู้รับมอบ

            - หนังสือมอบฉันทะหรือหนังสือมอบอำนาจ (ไม่ต้องติดอากรแสตมป์)

ประกันสังคม มาตรา 39 สิ้นสุดสภาพเมื่อไร

           

ผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนเมื่อกรณีต่อไปนี้

            1. ตาย

            2. กลับเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33

            3. ลาออก

            4. ไม่ส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน (สิ้นสภาพตั้งแต่เดือนแรกที่ไม่ส่งเงินสมทบ)

            5. ภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน (สิ้นสภาพในเดือนที่ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน)

กรณีขาดส่งประกันสังคม มาตรา 39

           

ผู้ประกันตน มาตรา 39 ที่ขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน จะถือว่าได้สิ้นสุดสภาพการเป็นผู้ประกันตนตั้งแต่เดือนแรกที่ขาดส่ง หรือกรณีที่ผู้ประกันตนให้หักเงินสมทบผ่านบัญชีธนาคาร แต่ยอดเงินในบัญชีมีไม่เพียงพอ ทำให้สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตนได้เช่นเดียวกัน

ถ้าได้งานใหม่ จะเปลี่ยนจากผู้ประกันตน มาตรา 39 เป็น 33 อย่างไร

           

กรณีผู้ประกันตนที่ต้องการแจ้งออกมาตรา 39 สามารถไปแจ้งยกเลิกที่สำนักงานประกันสังคมที่สมัครไว้ได้ทันที หรือนายจ้างหรือผู้รับมอบอำนาจสามารถดำเนินการแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เข้าทำงาน โดยผู้ประกันตนไม่ต้องไปดำเนินการลาออกจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส.1-21) แต่อย่างใด ยกเว้นกรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีการค้างชำระเงินสมทบจะต้องไปดำเนินการแจ้งการลาออก (สปส.1-21) ด้วยตนเองที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา ที่สมัครไว้

ประกันสังคม มาตรา 39 ลดหย่อนภาษีได้ไหม

           

ผู้ประกันตน มาตรา 39 สามารถนำเงินที่จ่ายให้แก่ประกันสังคมในปีนั้น ยื่นหักลดหย่อนภาษีได้เหมือนกับผู้ประกันต นมาตรา 33 โดยติดต่อสำนักงานประกันสังคม เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองให้

แบบฟอร์มผู้ประกันสังคม มาตรา 39 ควรรู้

           

- แบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (แบบ สปส.1-20)

            - แบบส่งเงินสมทบผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส.1-11)

***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 กรกฎาคม 2564

ขอบคุณข้อมูลจาก

ประกัน39คุ้มครองอะไรบ้าง

ได้รับค่าคลอด 15,000 บาท เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร (ผู้ประกันตนหญิง) ไม่เกิน 2 ครั้ง สิทธิประโยชน์เพิ่มค่าตรวจและค่ารับฝากครรภ์ให้อีก 1,500 บาท โดยจ่ายตามอายุครรภ์ดังนี้ ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายให้ในอัตราไม่เกิน 500 บาท

ประกันสังคมมาตรา 39 คืออะไร

ผู้ประกันตนมาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ คุณสมบัติผู้ประกันตน .39 ดังนี้ เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน ต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม

ประกันสังคมมาตรา 39 และ 40 ต่างกันยังไง

ผู้ประกันตนมาตรา 40 หมายถึง บุคคลที่มิใช่ลูกจ้างตามมาตรา 33 หรือเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39 เรียกว่า ผู้ประกันตนโดยอิสระ คุณสมบัติในการสมัคร อายุ 15-60 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 ไม่เป็นข้าราชการหรือบุคคลที่ถูกยกเว้นตามกฎหมายประกันสังคม บุคคลพิการที่สามารถรับรู้สิทธิประกันสังคม

สิทธิประกันสังคม ม.33 มีอะไรบ้าง

สิทธิประโยชน์คุ้มครอง ประกันสังคมมาตรา 33.
กรณีเจ็บป่วย 1.1. กรณีเจ็บป่วยปกติ ... .
กรณีคลอดบุตร ได้สิทธิได้รับค่าคลอดบุตรโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ดังนี้ ... .
กรณีทุพพลภาพ 3.1. เงินทดแทนการขาดรายได้ ... .
กรณีตาย ได้รับค่าทำศพ 40,000 บาท และได้รับเงินสงเคราะห์ กรณีตาย ดังนี้ ... .
กรณีสงเคราะห์บุตร ... .
กรณีชราภาพ ... .
กรณีว่างงาน.

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก