แบบสอบถาม ความพึง พอใจ สบู่

  1. 1.เพศ *

  2. ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม

  3. 2.อายุ *

  4. 3.การศึกษา *

  5. 4.อาชีพ *

  6. 5.รายได้เฉลี่ยต่อเดือน *

  7. ตอนที่ 2 พฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพร

  8. 1.เหตุผลที่ท่านเลือกใช้สบู่สมุนไพร *

  9. 2.สูตรสบู่สมุนไพรที่ชื่นชอบ *

  10. 3.ส่วนใหญ่ท่านเลือกซื้อสบู่สมุนไพรสถานที่ใด *

  11. 4.ปกติท่านซื้อสบู่บ่อยเพียงใด *

  12. 5.บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสบู่สมุนไพร *

  13. ตอนที่ 3 ความคิดเห็นต่อผลิตภัณฑ์สบู่สมุนไพรแตงกวาใบบัวบก

  14. กรุณาเลือกระดับความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ "สบู่สมุนไพรเเตงกวา ใบบัวบก" *

    54321กลิ่นของสบู่สมุนไพรรูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์สวยงามสีสันของสบู่สมุนไพรเนื้อสัมผัสความนุ่มของผิวหลังใช้สบู่ประสิทธิภาพในการทำคงามสะอาดขนาดของสบู่ความละเอียดของเนื้อสบู่สมุนไพรราคาขายเหมาะสมตราสินค้าจำง่ายชื่อสินค้า จำง่าย เหมาะสม
International Man
Can the Government Ban Bitcoin? Three Things You Need To Know Today

สหรัฐจะแบน Bitcoin ได้มั้ย ...สามเรื่องที่เราควรรู้ไว้

Nick Giambruno

แนวคิดที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะแบน Bitcoin ก็อาจฟังดูดีมีเหตุผล

เพราะ Bitcoin มันเข้ามาคุกคามแหล่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาลซะเหลือเกิน ..อำนาจที่กำลังเพลินอยู่กับการพิมพ์เงินจากกลางอากาศและบีบให้คนทั้งโลกต้องเรียกหาดอลลาร์

และเพราะ Bitcoin ให้อธิปไตยทางการเงินแก่คนทั่วไป และจะทำให้อำนาจของธนาคารกลางและ currency กลายเป็นของพ้นสมัยไปเลย

นี่มันฟังดูไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะ (โว้ย)

มันจะเป็นประวัติศาสตร์ของการพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นที่คุ้นเคยระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองที่มีมานานแล้วเลยแหละ ...เปรียบเหมือนตอนที่มีการคิดค้นดินปืน ..หรือแท่นพิมพ์ ..หรือคิดค้นอินเตอร์เน็ตโน่นเลย .....เรื่องใหญ่มั้ยล่ะ

ไม่ต้องสงสัยเลย รัฐบาลสหรัฐจะต้องปกป้องหม้อข้าวของตนอย่างสุดฤทธิ์จากผู้ที่จะมาบังอาจท้าชิงแหล่งหากิน แบบเดียวกับที่พวกมาเฟียทำเมื่อมีคู่แข่งข้ามถิ่นมาวัดรอยตีนนั่นแหละ

เป็นคำถามราคา $64,000 เลยว่า..แล้วจะสำเร็จหรือเปล่า

นักเศรษฐศาสตร์ใหญ่ค่าย Austrian, Friedrich Hayek ครั้งนึงเคยกล่าวไว้ว่า....

"ผมไม่เชื่อว่า เราจะมี good money ได้ ก่อนที่เราจะมัดมือตีนของรัฐบาลให้ได้ซะก่อน ..แต่ก็ไม่สามารถใช้กำลังกับรัฐบาลได้ง่าย ๆ ...ก็มีแต่เล่นเล่ห์ไปเรื่อย ๆ ล้อมกรอบรัฐบาลจนทำให้พวกเขาจะห้ามเราไม่อยู่นั่นแหละ"

Hayek พูดถูกแล้วหละ

โดยธรรมชาติแล้ว ไม่มีรัฐบาลที่ไหนที่จะยอมเสียอำนาจของตนไปหรอก ถ้าล้มด้วยกำลังไม่ได้แล้วล่ะก็ คงต้องใช้วิธีที่ Hayek บอกไว้น่ะถูกแล้ว เต้นฟุตเวิร์คไปรอบ ๆ แล้วเอาสิ่งที่รัฐบาลหมดปัญญาห้ามมาจัดการกับมัน

แล้ว Bitcoin นี่ ใช่สิ่งที่ว่าหรือเปล่า

หลายคนบอกว่า no way ...เดี๋ยวรัฐบาลก็ชัตดาวน์มันเองน่ะแหละ

Can Anyone Shut Bitcoin Down?

Bitcoin ไม่ขึ้นกับอำนาจศูนย์กลางที่ไหนทั้งนั้นนะ ถ้าจะทำลาย ก็ทำได้แค่จุดเดียวเท่านั้น

มันดำเนินไปได้ด้วยการกระจายศูนย์ เป็นอิสระ และมีเครือข่ายไปทั่วโลกโดยคอมพิวเตอร์ 15,384 เครือข่าย ซึ่งหลายแห่งก็ซ่อนตัวเป็นอย่างดี ...กระจายกันอยู่เกือบ 100 ประเทศทั่วโลก

ไม่มีศูนย์ใหญ่ที่จะส่งหน่วย SWAT บุกเข้าไปทำลายได้ง่าย ๆ เลย ..ไม่มี CEO ให้จับได้ด้วย ...รัฐบาลคงได้แต่บุกไปโน่นทีนี่ที ไปทั่วโลก เหมือนเล่นเกมเคาะหัวตัวตุ่นที่เด็ก ๆ เล่นกัน

ต่อให้ทั้งสหรัฐและรัสเซียเข้ามาเล่นเกมสงครามนิวเคลียร์แบบเต็มตีน ทำลายซีกโลกเหนือจนย่อยยับ ...Bitcoin ก็คงยังสุขสบายดีอยู่กับซีกโลกใต้อยู่ดีนั่นแหละ

เอาเป็นว่า รัฐบาลไหนก็ฆ่า Bitcoin ไม่ได้หรอก

เอาว่าถึงแม้จะมีโอกาสหยุดยั้ง Bitcoin ..โดยรัฐบาลทุกประเทศพร้อมใจกันถอดปลั้กอินเตอร์เน็ตออกหมดทุกที่ในโลก แบบชั่วกัลปาวสานต์เลย

สัญญาณวิทยุก็ยังคงจะสามารถส่งให้กับเครือข่าย Bitcoin ได้อยู่ดี ..และแผงโซล่าเซลล์แบบ portable ก็ให้พลังงานแก่คอมพ์ของเครือข่ายได้อยู่ ดาวเทียมก็ยัง beam สัญญาณให้เครือข่ายบนพื้นโลกได้

พูดง่าย ๆ คุณลักษณ์ของ Bitcoin นี่มันโคตรทรหด และก็เพิ่มความทรหดขึ้นทุกวัน ...ต่อให้โลกกลับไปสู่ยุคหิน Bitcoin ก็ยังคงอยู่

ก็เผลอปล่อยเสือเข้าป่าไปแล้วนี่หว่า ...ตอนนี้ Bitcoin ก็เลยใหญ่เกินกว่าจะจับใส่ลงถังได้ล่ะนะ

If They Can’t Shut It Down, Won’t They Ban It?

ก็ถ้า shut down ไม่ได้ ....แบนแม่งเลยได้ป่ะล่ะ

Algeria, Bangladesh, Bolivia, China, Ecuador, Egypt, India, Iran, Kyrgyzstan, Morocco, Nepal, Nigeria, Saudi Arabia, Thailand, Turkey, and others ...เคยลองพยายามแบน Bitcoin แล้วหละ แต่แบนท่าไหนไม่รู้ มันกลับโตขึ้นเรื่อย ๆ

แล้วถ้ารัฐบาลสหรัฐจะออกกฎหมายว่ามัน outlaw ล่ะ ได้มั้ย

ประธานาธิบดีสหรัฐสามารถออกคำสั่ง Executive Order มาแบน Bitcoin ได้

เคยมาแล้ว ตอนที่มี Exec Order 6102 สั่งให้การครอบครองทองคำเป็นสิ่งผิดกฎหมายเมื่อปี 1933 จนยกเลิกไป 41 ปีหลังจากนั้น

แต่กับ Bitcoin มันน่าจะต่างออกไป จากเหตุผลสามข้อนี้

Reason #1: Code Is Protected Speech
เหตุผล 1: โค้ดคอมพิวเตอร์ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญสหรัฐให้การคุ้มครอง speech ตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก ....และศาลสหพันธ์เคยมีคำตัดสินแล้วว่าโค้ดคอมพิวเตอร์ถือเป็น speech

Bitcoin ก็เป็น computer code.

แต่ถ้ามองอีกด้าน รัฐธรรมนูญสหรัฐก็ไม่ใช่ว่าจะคุ้มครองสิทธิได้เสมอไปนะ เช่น ..เมื่อตอนเกิด Covid ..สงครามก่อการร้าย ..สงครามยาเสพติด ......ผมก็เลยไม่เชื่อถือนักว่าจะคุ้มครอง Bitcoin ได้

แต่ถ้าบอกว่าโค้ดคอมพิวเตอร์ ถือเป็น speech ก็น่าจะพอหยุดความคิดคนที่จะแบนไปได้ล่ะน่า

Reason #2: Regulatory Clarity Already Exists
เหตุผล 2: ได้รับการยอมรับว่าเป็นทรัพย์สินแล้ว

รัฐบาลสหรัฐเคยมีการตีความ Btcoin ว่าเป็นทรัพย์สินและเป็นสินค้าโภคภัณท์

The IRS, the SEC, the CFTC, และอีกหลายหน่วยงานได้มีการกำหนดกรอบการเสียภาษีให้แก่ Bitcoin ไว้แล้ว

และนั่นก็ทำให้ธุรกิจใหญ่ ๆ ของสหรัฐจำนวนมากรวมถึงสถาบันการเงินเข้าถือครอง Bitcoin กันแล้ว ....ถ้าจะคิดมาเปลี่ยนข้อกำหนดกันตอนนี้ก็จะเป็นการท้าทายกันไปหน่อยนะ มันจะไม่สวย

Reason #3: Banning Bitcoin Is Impractical
เหตุผล 3: ในทางปฏิบัติ มันไม่น่าจะแบน Bitcoin ได้นะ

มีเรื่องที่รัฐบาลสามารถจะห้ามได้อยู่หลายเรื่อง แต่ถ้าเป็นอะไรที่มีการกำหนดว่ามีค่าและเป็นที่ต้องการของคนทั่วไป คงไม่น่าจะออกกฎหมายมาห้ามกันได้

ลองดูเรื่องที่ รัฐบาลของ Argentina, Venezuela, กับอีกหลายประเทศที่มีการห้ามประชาชนไม่ให้ใช้ยูเอสดอลลาร์สิ สำเร็จป่าวล่ะ

ถ้ามีกฎหมายแบบนั้นจริง มันก็จะเกิดตลาดมืด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งให้ชัด : free market ....ไม่เชื่อไปดูตลาดกัญชาในเมืองที่มีการห้ามกัญชาสิ

โดยเฉพาะถ้าจะมีการห้ามอะไรที่เป็นดิจิตอลไร้พรมแดนแบบ Bitcoin ด้วยแล้วมันทำไม่ได้เลย ...นี่มันไม่เหมือนเงินดอลลาร์หรือการสั่งปิดโรงงานนะ

แต่ถึงจะได้ มันก็สายไปแล้ว

ตอนนี้ผู้ถือครอง Bitcoin ในหมู่บริษัทยักษ์ นักการเมืองหรือคนทั่ว ๆ ไป มันถึงมวลวิกฤต (critical mass) แล้วนะ

พวกเขามีกองทัพนักกฎหมาย ..ล้อบบี้ยิสต์ ..เส้นสายนักการเมือง เป็นทีม ๆ ...เป็นอาวุธอยู่นะ

จากการสำรวจ คนอเมริกัน 46 ล้านคนมี Bitcoin นั่นเป็น 22% ของคนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่

จะแบนของในมือของคนนับสิบ ๆ ล้านเนี่ยนา ...แล้วคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนกระจอกด้วย

มันคงไม่ช่วยให้ชนะเลือกตั้งได้หรอกเว้ย

Bitcoin น่ะมันหนีพ้นวงโคจรที่จะถูกสอยให้ร่วงลงมาได้แล้ว

The Bottom Line

รัฐบาลสหรัฐคงกำลังพยายามหาวิธีจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับ bitcoin อยู่ ....แต่ตอนนี้ยังหาไม่เจอ

ตอนนี้คงกำลังหาวิธีที่จะเข้าเป็นพวกเดียวกันอยู่

และนั่นก็อาจจะกำลังทำให้เรามีระบบการเงินใหม่ในรูปแบบที่ไม่มีใครจะหยุดมันได้ ....นี่จะเป็นการปฏิรูประบบเลย

ปอ.ลอ. ผู้แปลเห็นด้วยกับคุณลักษณะทุกอย่างของ bitcoin ที่ปรากฏในบทความนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยที่ว่าจะมีมูลค่าเป็น money นะครับ...นอกจากเป็น currency ที่มีการแบ้คค่า ..ก็เป็นอีกเรื่อง

//internationalman.com/articl...-bitcoin-three-things-you-need-to-know-today/

 

SHTF Plan
The End of World Dollar Hegemony: Turning the USA into Weimar Germany

เมื่อหมดยุคของเจ้าพ่อดอลลาร์ สหรัฐจะกลายเป็นแบบสาธารณรัฐ Weimar

Patrick Barron Nov 10, 2022

เป็นเวลานานที่สหรัฐละเมิดความรับผิดชอบในการควบคุมปริมาณของเงินดอลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินรีเสิร์ฟหลักของโลกในการชำระหนี้การค้าระหว่างประเทศ ....การละเลยหน้าที่ของมสหรัฐเรื่องนี้ทำให้กำลังจะเกิดสกุลเงินรีเสิร์ฟใหม่จากกลุ่มประเทศที่รับไม่ได้ ..รีเสิร์ฟสกุลใหม่ที่อิงกับสินค้าโภคภัณท์และไม่ใช่การควบคุมแบบชาติเดียวแต่เป็นกลุ่มชาติสมาชิก เพื่อไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป

ไม่เหมือนกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่เหมือนการให้สมุดเช็คเปล่าแก่สหรัฐ ที่จะสั่งจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ได้ ผู้ที่ได้รับเช็คก็นำไปใช้หมุนเวียน..มีค่าเสมอด้วยสินค้าที่ซื้อขายกันปกติ ...ยิ่งนานไป ผู้เขียนเช็คก็ยิ่งย่ามใจขาดความรับผิดชอบมากขึ้นทุกที สั่งจ่ายเงินออกใช้จ่ายทั้งสวัสดิการและการทำสงคราม (welfare and warfare) แบบเงินที่ได้มาเปล่า ๆ

The Weimar Republic: A Lesson in Supply and Demand
บทเรียนของ Supply and Demand

ถ้าหากว่าทางเลือกของสกุลเงินรีเสิร์ฟที่เกิดใหม่ประสบความสำเร็จ การถือดอลลาร์เป็นรีเสิร์ฟก็จะลดลง มันย่อมทำให้ดีมานด์ที่มีต่อดอลลาร์หดหายไป ทำให้มันอ่อนค่าลง (นั่นคืออำนาจซื้อเริ่มจะลดลง ...ต้องใช้ดอลลาร์มากขึ้นเมื่อซื้อสินค้าที่เคยซื้อ)

นี่เป็นผลจากการไร้ความรับผิดชอบของการใช้จ่ายเพื่อผลทางการเมืองล้วน ๆ และที่สำคัญ การใช้จ่ายทั้งสวัสดิการสังคม การแพทย์ และการสงครามนี้..ก็ยังหยุดไม่ได้

โลกเคยได้เห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องเกิดกับประเทศด้อยพัฒนาแบบซิมบับเวเท่านั้นนะ สหรัฐเองตอนนี้ก็กำลังอยู่ในกับดักแบบเดียวกันกับสาธารณรัฐ Weimar ของเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเคยประสบมาแล้ว

The Reichsbank ธนาคารกลางของเยอรมันตอนนั้นพิมพ์เงินมาร์คออกมาจำนวนมากเพื่อผลทางการเมืองในประเทศหลังแพ้สงคราม จนอำนาจซื้อของเงินมาร์คลดลง และนั่นเป็นการวางกับดักแรก

ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ฐานเสียงการเมืองเรียกร้องให้มีการเพิ่มค่าแรงและสวัสดิการ ..ทุกภาคส่วนแรงงานรวมไปถึงผู้รับบำนาญ ...ทั้งหมดต่างเรียกร้องให้มีการเพิ่มเงิน ทำให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาเพิ่มอีก ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ราคาสืนค้าพุ่งขึ้นอีก และเรียกร้องเพิ่มอีกเป็นงูกินหาง มีการเพิ่มเงินไปอีกจนในที่สุด เงินมาร์คก็มีค่าพอเป็นวอลล์เปเปอร์เท่านั้น

แล้วทำไมรัฐบาล Weimar ถึงยังเพิ่มเงินเพิ่มค่าแรงต่อเนื่องแบบไม่รู้เลยหรือ ...มีผู้รู้ advance หลายคนตอบได้แบบล้ำหน้าเกินผู้รู้ทั่วไป เช่นรัฐบาลและธนาคารกลาง Reichsbank ตั้งใจทำลายเงินมาร์คของตัวเองแบบเป็นรอบ ๆ เพิ่อขัดขวางเงื่อนไขทางการเงินของสนธิสัญญาแวร์ซาย..ที่เรียกร้องเยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามจ่ายเงินค่าปฏิกรรมสงครามให้ฝ่ายสัมพันธมิตร

เป็นการทำเพือเอาใจฐานเสียงได้ด้วยในระยะสั้น ...แต่ไอ้กลยุทธระยะสั้นแบบนี้มันยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะไม่มีความเข้าใจในเศรษฐศาสตร์พอที่จะรู้ว่าการใช้จ่ายเกินตัวต้องหยุดเมื่อไหร่ และการเสื่อมค่าของเงินจะทำให้เกิดปัญหาอะไรตามมา ....ที่สำคัญคือไม่มีความตั้งใจทางเมืองที่จะหยุดมันเลย

The US and the UK: A Lack of Political Will and Economic Understanding
ความตั้งใจทางการเมือง และความเข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์

เรื่องของปัจจุบันมันช่างเหมือนเรื่องในอดีตเลย ...ผลดีของการเพิ่มเงินในระยะสั้น ..แต่ไม่เห็นผลร้ายที่จะเกิดในระยะยาว ....ทำให้ทั้งกระทรวงคลังและ Fed เพิ่มปริมาณเงินและลดดอกเบี้ยต่ำสุดเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้ามาตลอด จนมาเจอกับปัญหาสินค้าขึ้นราคา

ดูที่อังกฤษได้เลย การขาดแคลนพลังงานทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลแก้ไขโดยการสัญญาว่าจะเพิ่มเงินให้กับครัวเรือนทั่วไป แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะรื้อระบบเพื่อเพิ่มการผลิตพลังงาน แต่กลับเพิ่มรายจ่ายของรัฐบาล ซึ่งก็ต้องอาศัยแท่นพิมพ์อีกแล้ว

อะไรที่อังกฤษทำได้ สหรัฐก็ยิ่งทำได้มากกว่า ....Hyperinflation น่าจะเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว ...ในยุคที่ Reichsbank เพิ่มเงินน่ะ พวกเขาใช้แท่นพิมพ์กับกระดาษจริง ๆ แต่ Federal Reserve ยุคนี้ แค่จิ้มเบา ๆ ที่คีย์บอร์ดไม่กี่คลิ้ก เมื่อมีการเรียกร้องเงินเพิ่มจากผู้ทำงานทั่วไป ทั้งภาครัฐและเอกชน การอนุมัติใช้เงินที่ไม่ใช่ของตัวเองไม่ใช่เรื่องยากเลย จะเอาให้มากกว่าดีมานด์ยังได้เลย

กลับมาดูเรื่องของอังกฤษอีกที ค่าเงินปอนด์ร่วงอย่างแรงในตลาดแลกเปลี่ยน ทำให้ธนาคารกลาง Bank of England ต้องขึ้นดอกเบี้ย ทีนี้รัฐบาลก็แทบหมดปัญญาจ่ายดอกเบี้ยหนี้ของรัฐบาล ....ธนาคารกลางก็ช่วยแก้ปัญหาด้วยเรื่องเดียวที่ตนถนัด ...แท่นพิมพ์ต้องใช้เกียร์ overdrive

What Happens on the Ground

แล้วรัฐบาลจะได้ money มาจากไหนล่ะ ปกติรัฐมีรายได้ money จากภาษี ... เอกชนและคนธรรมดาเจ้าของทรัพย์สินก็คงจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้น เพื่อมาชดเชยรายจ่ายของรัฐ ...รายได้ของธุรกิจก็ย่อมต้องลดลง สินค้าที่ผลิตได้ก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้ราคาสินค้าสูงไปอีก

ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง..วนเป็นก้นหอย ไปเรื่อย ๆ จนอำนาจซื้อของเงินหมดสิ้นลงในที่สุด เกิดโกลาหลไปในสังคมทุกชนชั้น ...แต่นักการเมืองก็ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือถึงจะเข้าใจแต่ก็ไม่มีความตั้งใจที่จะลดการใช้จ่ายลง หรือแม้แต่ต้องยุบ Federal Reserve ซะ และผูกค่าเงินกับทองคำในขณะที่ยังพอมีเวลา

//www.shtfplan.com/headline-n...-hegemony-turning-the-usa-into-weimar-germany

 

$32 Billion Implosion Of FTX May Usher In Collapse Of The Entire Global Financial System

FTX อาจเป็นตัวพังระบบการเงินของโลก

Egon von Greyerz. Nov 13, 2022

การดีเบตระหว่าง GOLD – CRYPTO เพิ่งจบยกแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับข้อที่ว่า อะไรจะเป็นตัวรักษา wealth

ผมเคยบอกมาตลอดว่า คริปโตคือการลงทุนไบนารี่

ราคาของ Bitcoin อาจเป็นได้ทั้ง $1 ล้าน หรือ $0 ....เห็นได้วาการลงทุนนี้ไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อนหรือผู้ชราแน่ ๆ

mania การลงทุนที่มากเกินไป มักจะมาก่อน collapse เสมอ

มันก็ไม่ต่างไปจากสลากล้อตเตอรี่นัก มันเป็นได้ทั้งเงินล้านกับเศษกระดาษ .....สัปดาห์ที่ผ่านมามีค่า $24 ล้าน วันนี้เป็นศูนย์

ไม่นานนี้เอง FTX กองทุนคริปโตที่ใหญ่เป็นอันดับสอง มีค่า $32,000 ล้าน ..ลงมาเหลือ $24,000 ล้าน แล้วจึงเป็นศูนย์

มันไม่ใช่แค่นักลงทุนที่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร อย่างเช่น Blackrock, Lightspeed Venture, Brevan Howard, Tiger Global, SoftBank และนักลงทุนใหญ่ ๆ อีกหลายสำนัก

พวกนี้เป็น Venture Capital หรือ Hedge Funds ใหญ่ที่โคตรรู้ดีถึงความเสี่ยงที่กำลังเข้าไปเล่น

แต่มันไปสร้างความโลภของรายย่อย ๆ ที่กลัวจะตกรถ (Fear Of Missing Out ..FOMO) อย่างเช่นนักกีฬาซุปเปอร์สตาร์ดัง ๆ หรืออดีตปธน.คลินตัน ฯลฯ

แล้วที่ร้ายกว่านั้น FOMO ยังไปลากเอานักลงทุนแบบกองทุนบำนาญ หรือกองทุนคนชราที่ไม่น่าเล่นกับความเสี่ยง เกิดความโลภอีกด้วย ...อย่างเช่นกองทุนบำนาญของครูที่ออนทาริโอ

หรือแม้แต่คนธรรมดาที่กลัวขึ้นรถ cryptowagon ไม่ทัน เพียงเพราะเห็นว่ามันน่าเชื่อถือเพราะนักลงทุนรายใหญ่เล่นกัน

ผู้จัดการกองทุนบำนาญเกือบทั้งหมด ไม่มึรายใดที่สนใจลงทุนในทองคำ physical เลย ....ไม่เคยรู้ว่า นี่คือสิ่งที่จะ hedge บาลานซ์ให้ได้ในพอร์ต หรือ hedge ยามที่เกิดเงินเฟ้อ หรือเมื่อราคาทรัพย์สินร่วงลง

แต่พวกผู้จัดการเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จักทองคำซะเลย พวกเขาเพียงกำลังรอเวลาที่ราคามันจะขึ้นจนเป็นข่าวดังในหน้าหนึ่งซะก่อน จึงจะรีบโดดเข้าร่วมวง

ทีนี้กลับมาพูดถึงคริปโต เมื่อ 12 เดือนมาแล้วตลาดของเงินครืปโตรวมกันอยู่ที่ $3 trillion (ชาร์ต 1)

มาวันนี้ 1 ปีพอดี มูลค่าตลาดเหลืออยู่ $885,000 ...หายไป 70% ....ผมไม่ได้หมายถึงว่ามันมีมูลค่ามันเป็นเท่านี้พอดีนะ แต่พวกนักลงทุนคิดกันอย่างนั้น เพราะผมเห็นว่ามันไม่มี intrinsic value เอาเลย

Bitcoin มีส่วนอยู่ในตลาดคริปโตทั้งหมดถึง 39%

แน่นอนว่าใครที่มีต้นทุน Bitcoin อยู่ระหว่าง $10 - $1,000 ก็คงได้กำไรมหาศาลแล้ว แต่อย่างที่เรารู้ นักลงทุนส่วนใหญ่โดดขึ้น bandwagon หลังจากนั้น ..โดยเฉพาะใครที่เข้าตลาดตอนมันใกล้ $70,000 เวลานี้สูญไปแล้วถึง 75% .....บางคนก็ยังรออยู่ด้วยความหวังว่ามันจะกลับมา

สำหรับนักลงทุนบางคนแล้ว Bitcoin เกือบเป็นเหมือนศาสนา ที่ยังไงเสียก็ไม่มีวันที่จะทิ้งไปง่าย ๆ และรับไม่ได้กับความเห็นที่อยู่ตรงข้าม .....ยังคงอยู่กับความหวังว่าราคามันจะขึ้นไปถึง $100,000 - $250,000 ในที่สุด

ถึงแม้ว่า FTX จะเป็นเพียง 3% ของตลาดคริปโตทั้งหมด การสูญเสียถึง $24,000 ล้านในชั่ว 2 วัน มันจะเปลี่ยนตลาดคริปโตไปตลอด มันจะไม่เหมือนเดิมยกเว้นกลุ่มที่ยังเหนียวแน่น

FTX มีโปรไฟล์ ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ซื้อของ Goldman Sachs ผลกระทบที่จะเกิดน่าจะไม่ใช่น้อย

เป็นไปได้หรือเปล่าที่เราจะเห็นการเทขายทรัพย์สินคริปโต เพราะกังวลว่าตลาดนี้อาจเป็น Ponzi scheme.

เมื่อ exchange คริปโตใหญ่อันดับสองพังลงได้ในชั่วข้ามคืน มันก็ไม่มีอะไรจะมาการันตีได้ว่าจะไม่เกิดกับ exchange รายอื่น ๆ

และต้องไม่ลืมว่าเรื่องนี้ ธนาคารกลางจะไม่เข้ามาให้การช่วยเหลือแน่นอน

นักลงทุนสถาบันก็คงจะรีบถอยออกมาและไม่กลับเข้าไปอีกแน่นอน และหลายประเทศคงต้องกฎระเบียบอะไรอีกมากมายในไม่ช้านี้แล้ว

เมื่อตอนที่ทรัพย์สินเกือบทุกชนิดเป็นฟองบู่ เงินคริปโตไม่ได้แสดงมูลค่าแท้จริงของมันให้เห็นเลย ตรงกันข้าม มีแต่ร่วมตามไปเป็นฟองสบู่ด้วย แต่ผู้ลงทุนในคริปโตก็ยังคงชื่นชมกันอยู่

มึผู้เห็นว่าคริปโตเป็นทรัพย์สินที่ใช้ปกป้องมูลค่า wealth ให้เราได้ แต่เรากลับมองว่าตัวมันเองนั่นแหละ ที่เป็นการลงทุนเก็งกำไรสุด ๆ ...จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ crypto exchange เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะยังมีผู้เห็นมันเป็น wealth protection อีกหรือเปล่า

ระบบการเงินทั้งหมด มูลค่า $2.5 quadrillion (พัน trillion) วางอยู่บนการบันทึกข้อมูลดิจิตอลในคอมพิวเตอร์ว่าเป็น wealth จริง ๆ

ทั้งหมดของฟองสบู่ทรัพย์สินถูกเป่าโดยเงินจำนวนมหาศาลที่พิมพ์มาโดย Fed และธนาคารพาณิชย์ ....
ทีนี้มีฟองสบู่หนี้ใหญ่ขนาด $2.5 พัน trillion ที่อิงค่ากับทรัพย์สิน overvalued และอากาศ ...นี่ไม่ใช่พื้นฐานระบบการเงินที่ถูกต้องของโลกเลย

โดมิโน่ตัวต่อไปที่จะต้องล้ม คือหุ้น พันธบัตร และอสังหาฯ มันได้เริ่มไปบ้างแล้ว แต่กำลังจะเร่งเร็วขึ้นแล้ว .....ผมคิดว่าหุ้นทั่วโลกน่าจะต้องร่วงลงถึง 75-90% จากราคาท้อป

ถึงแม้จะมีการกลับตัวของ Fed มันก็จะไม่ทันกับที่ตลาดเครดิตจะพังลงก่อน และจะทำให้เกิดการ sell-off ในตลาดบอนด์ ถึงตอนนั้น ทั้ง Fed และธนาคารกลางทั่วโลกก็จะคุมอัตราดอกเบี้ยไม่อยู่แล้ว ...ดอกเบี้ยจะสูงไปอีกทำให้มีการเทขายบอนด์เพิ่มขึ้น จนตลาดบอนด์พังในที่สุด

สิ่งที่ Fed ทำมาในอดีตเป็นการทำลายตลาดจากการเข้าแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา ที่จริงกฎธรรมชาติของซัพพลายดีมานด์นี่หละที่จะเป็นตัวควบคุมไม่ให้มีการเพิ่มเงินเข้าระบบมากเกินไปโดยมีอัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์อีกด้วย

มันเป็นเรื่องปกติเลย ...ถ้าดีมานด์ของเงินสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นเพื่อไม่ให้เครดิตเป็นฟองสบู่ได้ ถ้าซัพพลายของเงินมีมาก อัตราดอกเบี้ยก็จะต่ำ ...แต่ที่ Fed ทำมามันเพี้ยนไปหมด

ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็เป็นฟองสบู่ลูกใหญ่อีกลูกที่ผลักดันโดยเงินต้นทุนต่ำไม่จำกัด ...ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนี่แหละที่กำลังจะมาทำให้ตลาดนี้ระเบิด

การพยายามเข้ามารีเซ็ทระบบ แบบที่ Klaus Schwab แห่ง WEF คิดจะทำก็ทำได้แค่ชั่วคราว ....การรีเซ็ทที่แท้จริงจะตามหลังมาแบบไร้ระเบียบ มีแต่ความรุนแรงยุ่งเหยิง มันจะนำมาซึ่งการพังทลายของระบบหนี้และราคาทรัพย์สินที่ค้ำประกันหนี้เหล่านี้อยู่ ....ทั่วโลกเลย

หนี้ทั้งโลกไม่อาจหายไปได้ง่าย ๆ หรอก ...balance sheet ไม่อาจลบหายไปได้แค่ข้างเดียว และเพราะทั้งรัฐบาลและธนาคารกลาง ต่างก็หมดปัญญาแล้ว การรีเซ็ทแบบที่วุ่นวายที่สุดที่โลกจะเคยเห็น...จะเป็นทางออกทางเดียว

ตอนที่ระบบการเงินของโลกจะระเบิดน่ะ ชนวนของมันก็จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แบบที่เราเห็นตลาดคริปโตตอนนี้แหละ

นักศึกษาประวัติศาสตร์การเงิน จะไม่เซอร์ไพรส์เมื่อเห็นการ collapse ของระบบการเงิน ...พวกเขารู้ดีว่า ไม่มี currency ไหนที่จะอยู่รอดไปได้ในรูปแบบเดิมหรอก

Currencies ทุกสกุลในโลกจะสูญมูลค่าจนเหลือศูนย์ในที่สุด เมื่อเทียบค่ากับ money แท้จริง ..ทองคำ ...ทุกสกุลในโลกนับแต่ปี 1913 สูญค่าไปถึง 97-99% และมันจะเหลือ 0% ตอนที่จะเกิด hyperinflation

(ชาร์ต 2 จะเห็นว่า มูลค่าของทองคำอยู่ที่ 100 ตลอด)

อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ตัวอย่างของประเทศที่ไปก่อนแล้วก็มีให้เห็น เวเนซูล่า ..หรือซิมบับเว ..Weimar Republic ทั้งหมดนั้นมีตัวช่วยให้รอดอยู่ได้ ....แต่กับสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้ ไม่มีใครจะอยู่ช่วยใครได้

ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายที่สนับสนุน currencies ที่มี gold backed เพราะมันยังคงถูกแทรกแซงได้จากรัฐบาลอยู่ดี จะดีกว่ามั้ย ถ้าใช้ทองคำเป็น money โดยไม่ต้องมีกระดาษมาเกี่ยวข้องอีก

ถ้าใครที่ไม่ได้ครอบครองทองคำ ก็อาจต้องเสียใจในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

//kingworldnews.com/greyerz-3...llapse-of-the-entire-global-financial-system/



 

Nov 16, 2022 จีนป่วยโควิด! คนจีนติดโควิด-19 รายใหม่กว่า 20,000 คนมากสุดในกว่า 7 เดือน
.
คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีนแผ่นดินใหญ่ หรือ NHC เปิดเผยว่าในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมาถึงเมื่อเช้าวันนี้ 16 พฤศจิกายน 2565 พบว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่ง 20,199 ราย เพิ่มขึ้น 2,209 ราย หรือเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเปรียบเทียบกับ 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น ส่งผลทำสถิติยอดติดโรคระบาดโควิด-19 รายใหม่มากที่สุดนับตั้งแต่เมษายน 2565 หรือในรอบ 7 เดือนเป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังทำสถิติติดเชื้อเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่การล็อกดาวน์มหานครเซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรกและครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งการล็อกดาวน์ในครั้งนั้นยาวนานถึง 2 เดือน สำหรับยอดติดเชื้อสะสมในจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มเป็น 277,043 ราย
.
กรุงปักกิ่งตรวจพบยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 371 ราย ยอดติดเชื้อรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงดังกล่าวลดลง 91 ราย จากเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ 471 ราย ก่อนหน้านี้ กรุงปักกิ่งทำสถิติติดโรคระบาดโควิด-19 รายใหม่มากที่สุดใน 1 วันเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ถึง 3 วันติดต่อกัน
.
นครกว่างโจวซึ่งเป็นใหญ่และสำคัญที่สุด และมีประชากรเกือบ 19 ล้านคน อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งในขณะนี้เป็นศูนย์กลางการระบาดโรคโควิด-19 รอบใหม่ พบว่าเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ยอดติดเชื้อรายวันพุ่งทะยานมากที่สุดในประเทถึง 6,296 ราย ทำสถิติติดเชื้อมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 1,172 ราย หรือพุ่งขึ้น 23% จากเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่มียอดติดเชื้อรายใหม่ 5,124 ราย
.
นครเจิ้งโจวเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลเหอหนาน และเป็นที่ตั้งของโรงงานฟ็อกซ์คอนน์ซึ่งผลิตไอโฟนของแอป อินคอร์ปอเรชั่น พบผู้ติดโรคระบาดโควิด-19 รายใหม่ 1,850 ราย ก่อนหน้านี้เมื่อ 1 วันผ่านมา ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่มากถึง 2,981 ราย ทำสถิติติดเชื้อรายใหม่มากเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ด้านโรงงานฟ็อกซ์คอนน์ เปิดเผยว่า ยังคงกำหนดการกลับมาเปิดโรงงานในครึ่งหลังของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในขณะนี้ต้องปิดโรงงานผลิตชั่วคราวจากคำสั่งล็อกดาวน์ของทางการจีน
.
เขตปกครองพิเศษตนเองซินเจียงซึ่งถูกล็อกดาวน์มาเป็นเวลานานถึง 90 วัน หรือราว 3 เดือนนั้น มียอดติดเชื้อรายใหม่มากอันดับ 4 ของจีนจำนวนเกือบ 1,800 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานก่อนจะที่จำนวน 1,033 ราย หรือเพิ่มขึ้น 74% ด้านมณฑลเห่อหนาน พบติดเชื้อรายใหม่ทะยานกว่า 2 เท่ามาเป็น 747 ราย
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก //bit.ly/3AiwbCR
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: //m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: //m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: //mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: //btimes.biz
พ็อดคาสท์: //btimes.podbean.com/
.
#โควิด19 #จีน #ปักกิ่ง #โรคระบาด #เอเชีย #BTimes

 

วันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ในระยะ 5 ปี และร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เรื่อง การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน โดยทั้งสองประเทศจะมีการลงนามรับรองเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวันที่ 16 - 19 พ.ย. 2565 ร่างเอกสารแต่ละฉบับ มีสาระสำคัญ อาทิ
.
ฉบับแรก คือ ร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ในระยะ 5 ปี เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของทั้งสองประเทศในการดำเนินความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในห้วงปี 2565 - 2569 โดยมีความร่วมมือ 3 ด้านหลัก ดังนี้
...
ความร่วมมือหลักด้านที่ 1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การปรับปรุงกฎระเบียบ และนวัตกรรม ประกอบด้วย
.
1.1 การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการส่งเสริมการลงทุน อาทิ ส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจการลงทุนจากญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น เครื่องจักรระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ ยานยนต์สมัยใหม่ ยา อุปกรณ์การแพทย์และด้านสุขภาพ เป็นต้น ส่งเสริมกิจการของบริษัทญี่ปุ่นที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของไทย โดยเฉพาะโครงการหลักในเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย เช่น EEC
.
1.2 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษาขั้นสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ (1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดย JICA เช่น ส่งเสริมนโยบายประเทศไทย 4.0 ขยายเครือข่ายการศึกษาระดับสูงในอาเชียน และภูมิภาคอื่น กำหนดหลักสูตรโคเซ็นของญี่ปุ่นให้เหมาะสม และสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับสถาบันไทยโคเซ็น
.
1.3 การส่งเสริมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และ Start - up อาทิ ส่งเสริมการลงทุนและการเพิ่มจำนวน Start - up โดยร่วมมือระหว่าง SMEs และ Start - up ของไทยและญี่ปุ่นในภาคอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมอัจฉริยะ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอุปกรณ์ทางการแพทย์ หุ่นยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า
.
1.4 การพัฒนาด้านอวกาศ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อาทิ ใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียม แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
.
1.5 การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย และ EEC อาทิ (1) ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น สุขภาพ ดิจิทัล เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ โลจิสติกส์ การวิจัยและพัฒนา (2) ส่งเสริมการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินการร่วมกับญี่ปุ่นใน EEC เช่น เมืองอัจฉริยะ เขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โครงการวิจัยด้านสุขภาพจีโนมิกส์ประเทศไทย และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก
...

ความร่วมมือหลักด้านที่ 2 เศรษฐกิจชีวภาพ เศษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) ประกอบด้วย
.
2.1 อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมหมุนเวียน และอุตสาหกรรมสีเขียว อาทิ ส่งเสริมการขยายการลงทุนและธุรกิจใหม่ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ร่วมมือเพื่อส่งเสริมแนวคิด 3Rs (Reduce, Reuse and Recycle)
.
2.2 สิ่งแวดล้อมและพลังงานเพื่อเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน อาทิ ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบการจัดการพลังงานแบบรัฐต่อรัฐ
.
2.3 การเกษตรอัจฉริยะและการแปรรูปอาหาร อาทิ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐ เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับอาหาร
.
2.4 การพัฒนาอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ อาทิ ปรับปรุงการบริหารการเงินของระบบประกันสุขภาพสาธารณะในไทย การเข้าถึงนวัตกรรมด้านเภสัชกรรมและอุปกรณ์การแพทย์ของญี่ปุ่นในไทย แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับยาและอุปกรณ์การแพทย์
.
2.5 การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ อาทิ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพโดยแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก
...

ความร่วมมือหลักด้านที่ 3 โครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย
.
3.1 การคมนาคมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยง อาทิ ร่วมมือและการลงทุนในด้านการวิจัยและนวัตกรรม
.
3.2 การค้าดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) อาทิ แบ่งปันองค์ความรู้ สร้างธุรกิจการบริการที่เชื่อถือได้และพัฒนาสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรม
.
3.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (การสื่อสาร) อาทิ ยกระดับเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน จับคู่สถาบันวิจัยกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง พัฒนาขีดความสามารถด้านความมั่นคงปลอดภัยไชเบอร์
.
3.4 เมืองอัจฉริยะ อาทิ แบ่งปันองค์ความรู้ด้านนโยบายเมืองอัจฉริยะระหว่างสองประเทศ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) การลงทุนร่วมในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัล
.
3.5 การพัฒนาเมือง อาทิ แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์
...
น.ส.รัชดา กล่าวด้วยว่า ฉบับที่สอง คือ ร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เรื่อง การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองระหว่างรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นในการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเป็น "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน" ผ่านร่างแผนปฏิบัติการร่วม เพื่อให้นำร่างแผนปฏิบัติการร่วมไปสู่การปฏิบัติจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่ความก้าวหน้าและความมั่งคั่งร่วมกันของทั้งสองประเทศ

-------------------------------
แหล่งข่าว

//www.naewna.com/politic/692296
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : //www.thailandvision.co
Facebook : //www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : //twitter.com/Thailand_vision
Youtube : //www.youtube.com/c/Thailandvision

 

สื่อต่างประเทศรายงานในวันนี้ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันของญี่ปุ่นพุ่งสูงถึง 100,000 รายในวันอังคาร เป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการควบคุมชายแดน และดำเนินโครงการเงินอุดหนุนการเดินทางภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวขาเข้าและขาออกเมื่อเดือนที่แล้ว ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการติดเชื้อโควิดระลอกที่ 8 เมื่อพบรายงานผู้ติดเชื้อ 105,184 ราย เมื่อวันอังคารทะลุ 100,000 ราย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. ซึ่งครั้งนั้นมีผู้ป่วยรายวันรวมทั้งสิ้น 100,260 ราย
.
ซึ่งเกาะหลักทางเหนือสุดของฮอกไกโด ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม รายงานผู้ป่วยสูงสุด 10,906 ราย ขณะที่โตเกียวพบผู้ป่วย 11,196 ราย สูงสุด 10,000 ราย เป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน ในเดือนตุลาคม รัฐบาลได้ยกเลิกการจำกัดจำนวนผู้โดยสารขาเข้ารายวัน และยกเลิกการห้ามเดินทางเป็นรายบุคคลกับการเดินทางที่ไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังเริ่มโครงการ National Travel Discount โดยให้เงินอุดหนุนสูงถึง 11,000 เยน ต่อคนต่อคืนสูงสุด 7 คืน ผลการสำรวจล่าสุด Laibo Inc. เผยว่าประชาชนเกือบ 60% ในญี่ปุ่นไม่ตระหนักถึงแนวทางปฏิบัติของหน้ากากอนามัย
.
แม้ว่าแนวทางดังกล่าวจะออกในเดือนพฤษภาคม และจุดยืนของรัฐบาลในการสวมหน้ากากยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 18.4 ไม่ทราบถึงแนวทางดังกล่าว ในขณะที่ร้อยละ 40 ทราบแต่ไม่ทราบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจง เมื่อเทียบกับ 58.4 เปอร์เซ็นต์โดยรวมที่ไม่ทราบ อีกด้านหนึ่ง 41.6 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าพวกเขาได้รับรู้

การสวมหน้ากากยังคงเป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติตัวในญี่ปุ่น แม้ว่าร้อยละ 72.7 บอกว่าพวกเขาเห็นด้วยที่จะเลิกปฏิบัติ ในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถาม 33.9 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า พวกเขาชอบที่จะถอดหน้ากาก
.
การสำรวจออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 17 ต.ค. โดยรวบรวมตัวอย่างคำตอบจากผู้ใหญ่วัยทำงาน 1,011 คน มีร้อยละ 52.5 กล่าวว่า คำอธิบายของรัฐบาลเกี่ยวกับคำแนะนำไม่เพียงพอ รวมถึงข้อมูลที่สวมหน้ากากเป็นเพียงทางเลือกในพื้นที่ในร่มที่โล่งกว้างขวาง คนไม่แออัด ในบรรดาเหตุผลที่ผู้คนชื่นชอบการสวมหน้ากาก บางคนอ้างถึงการแพร่ระบาดที่กำลังดำเนินอยู่และการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโคโรนาไวรัส โดยกล่าวว่า พวกเขาสวมหน้ากากเพื่อครอบคลุมป้องกันไข้หวัดใหญ่ในฤดูหนาวและไข้ละอองฟางในฤดูใบไม้ผลิ รวมถึงโควิด-19
.
กรณีระบาดของเชื้อโควิด-19 กำลังกลับมาพบมากขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ หลายคนยัง "ไม่สบายใจ" กับการถอดหน้ากากในที่สาธารณะ เนื่องจากคุ้นเคยกับการสวมหน้ากากมามากกว่า 2 ปีแล้ว ในขณะที่ญี่ปุ่นไม่มีคำสั่งให้สวมหน้ากากอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ การสวมหน้ากากยังคงเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่ารัฐบาลของพวกเขาจะยกเลิกคำสั่งห้ามสวมหน้ากากกลางแจ้งในเดือนมีนาคม และกันยายนตามลำดับก็ตาม ในประเทศจีน ซึ่งยังคงมีนโยบาย "ปลอดโควิด" ที่เข้มงวด ประชาชนถูกขอให้สวมหน้ากากบนรถไฟใต้ดิน และในห้างสรรพสินค้า ในทางตรงกันข้าม ประเทศตะวันตกบางประเทศถอดหน้ากากก่อนใครๆ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดใหญ่ในหลายส่วนของโลกกำลังดีขึ้น
.
โดยผู้ตอบแบบสำรวจบางคนรู้สึกว่า ญี่ปุ่นควรก้าวไปพร้อมกับประเทศอื่นๆ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเปิดพรมแดนอีกครั้งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้าน แดเนียล บาร์เตอร์ นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียที่กำลังเที่ยวในโตเกียว กล่าวว่าแทบจะไม่เห็นคนสวมหน้ากากในประเทศบ้านเกิดของเขาอีกแล้ว ชายวัย 30 ปีรายนี้กล่าวว่า ผู้คนในประเทศตน "รู้ดีอยู่แล้ว" ว่าการสวมหน้ากากนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ต้องขอบคุณ "การส่งข้อความที่ชัดเจนจริงๆ" จากทางการผ่านโซเชียลมีเดียเช่นเดียวกับทางโทรทัศน์
.
สำหรับการทำความเข้าใจมารยาทในการสวมหน้ากากเมื่อเดินทางมาถึงญี่ปุ่น บาร์เตอร์กล่าวว่า "ไม่ชัดเจนเลย" ท้ายที่สุดแล้วคิดว่าควรสวมหรือไม่ คงโดยสังเกตจากคนรอบข้าง “มีการประกาศเมื่อเราเดินทางมาว่าคุณต้องสวม (หน้ากาก) บนรถไฟ และในอาคารผู้โดยสารของสนามบิน และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินเรื่องนี้” เขากล่าว

-------------------------------
แหล่งข่าว

//www.reuters.com/business/he...00000-first-time-2-months-fuji-tv-2022-11-15/

//mgronline.com/japan/detail/9650000109333
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Website : //www.thailandvision.co
Facebook : //www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : //twitter.com/Thailand_vision
Youtube : //www.youtube.com/c/Thailandvision

 

กว่าจะเป็นธนาคารออมสิน

ธนาคารออมสิน มีสถานะรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง เป็นธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อย เน้นการให้สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบท พัฒนาผู้ประกอบการรายย่อย โดยมีรูปแบบของสินเชื่อและชนิดการฝากเงินรายย่อยมากมาย อีกทั้งยังสร้างเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มชุมชน โครงการธนาคารเพื่อประชาชน โดยให้สินเชื่อระยะสั้น แก่ผู้ประกอบการรายย่อย (ให้ประชาชนมาเป็นหนี้ในระบบ ที่สามารถตรวจสอบได้ และการเก็บดอกเบี้ยตามความเป็นจริง) เป็นช่องทางการรับและจ่ายเงินกู้ จากโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง อีกทั้งยังลงทุนในการพัฒนาประเทศ ของหน่วยงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ให้บริการรูปแบบเงินฝากที่หลากหลาย เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย รวมทั้งมีการให้บริการตามหลักศาสนาอิสลาม ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,057 แห่งทั่วประเทศ

"...แท้จริงเรื่องคลังออมสินนี้ เราได้คิดมานานแล้ว แต่หากยังมีข้อขัดข้องบางอย่างซึ่งในเวลานั้นจะยังจัดไม่ได้ จึ่งได้พึ่งมาสำเร็จ และได้ออกพระราชบัญญัติในต้นศกนี้ ที่เราต้องกล่าวเช่นนี้เพราะจะให้เห็นว่า การที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ซึ่งเป็นการสำคัญและยากนั้น ไม่ใช่พอนึกจะทำก็ทำได้ง่ายๆ จำที่เราจะต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ มุ่งให้ได้ประโยชน์แก่บ้านเมืองจริง ป้องกันทางเสื่อมเสียพลั้งพลาดต่างๆ ให้ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้..."

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเนื่องในพระราชพิธีฉัตรมงคลของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๖

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทดลองตั้งธนาคารรับฝากเงิน ณ พระตำหนักจิตรลดา (เดิม) ซึ่งต่อมาคือวังปารุสกวัน ด้วยพระราชประสงค์ให้มหาดเล็ก และข้าราชบริพารของพระองค์ ได้เรียนรู้วิธีการดำเนินงานของธนาคาร และปลูกฝังนิสัยรักการออม พระราชทานชื่อธนาคารนี้ว่า “ลีฟอเทีย” อันมีที่มาจากผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการธนาคาร ๓ ท่าน ได้แก่

๑. “ลี” แปลว่า โต หรือใหญ่ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ

๒. “ฟอ” มาจากคำว่า เฟื้อ เป็นนามเดิมของเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ

๓. “เทีย” มาจากคำว่า เทียบ เป็นนามเดิมของพระยาคทาธรบดี (เทียบ อัศวรักษ์) ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ

การทดลองตั้งธนาคารลีฟอเทีย
เป็นเหตุให้ทรงมีโอกาสศึกษานิสัยการออมของคนไทย ที่ยังมีข้อติดขัดบกพร่องอยู่หลายประการ ก่อให้เกิดพระบรมราชกุศโลบายจะให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออม นับเป็นปฐมบทของคลังออมสินในเวลาต่อมา

ครั้นเมื่อเสด็จดำรงสิริราชสมบัติแล้ว ทรงพระราชปรารภถึงการรักษาทรัพย์สมบัติ ซึ่งประชาชนอุตสาหะประกอบการทำมาค้าขาย มีกำไรออมไว้เป็นทุนรอนได้แล้ว แต่การรักษาให้ปราศจากอันตรายยังเป็นการลำบาก เพราะไร้ที่ฝากฝังอันมั่นคง ส่วนการที่ประชาชนออมสินไว้เพื่อประโยชน์ยืนยาวข้างหน้า ไม่จับจ่ายเพื่อความเพลินใจชั่วขณะนั้น เป็นสิ่งควรอุดหนุนอย่างยิ่ง
ทรงพระราชดำริว่า การรักษาสินซึ่งออมไว้เช่นนี้ มีทางที่จะทรงพระมหากรุณาพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ได้ ด้วยการตั้งคลังออมสิน เพื่อประโยชน์ในการรับรักษาเงินที่ประชาชนจะนำมาฝากเป็นรายย่อย และรับภาระจัดให้เงินนั้นเกิดผลแก่ผู้ฝากตามสมควร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติคลังออมสิน พุทธศักราช ๒๔๕๖” ขึ้น โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๖ เป็นต้นไป

ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริจะขยายกิจการคลังออมสินให้กว้างขวางขึ้น จึงโอนกิจการคลังออมสิน จากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไปสังกัดกรมไปรษณีย์โทรเลข (ปัจจุบันเป็น สำนักงาน กสทช. แต่ก่อนจะแปรสภาพ ส่วนหนึ่งได้กลายเป็นวิวัฒนาการให้กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)) กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม (ปัจจุบันแยกเป็นคือกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม) มีสถานะเป็นแผนกคลังออมสินในกองบัญชี เมื่อปี พ.ศ. 2472 เป็นผลให้ราษฎรสามารถฝากและถอนเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ได้ เช่นเดียวกับบริการออมสิน ของกรมไปรษณีย์ประเทศญี่ปุ่น และกรมไปรษณีย์ประเทศเยอรมนี

กระทั่งปี พ.ศ. 2489 รัฐบาลในสมัยที่ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยกระดับให้คลังออมสิน เปลี่ยนสถานะเป็น "ธนาคารออมสิน" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2490เพื่อทำหน้าที่การธนาคาร และเป็นสถาบันการออมทรัพย์ที่สมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับธนาคารนานาประเทศ

ตราสัญลักษณ์ของธนาคารออมสิน เป็นรูปวงกลม ภายในแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนประกอบด้วย วชิราวุธ เบญจปฎลเศวตฉัตร (ฉัตรห้าชั้น) และต้นไทร อันมีความหมายดังต่อไปนี้

• วชิราวุธ เป็นเครื่องหมายประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระราชทานกำเนิดคลังออมสินขึ้นในประเทศไทย

• เบญจปฎลเศวตฉัตร เป็นเครื่องหมายประจำพระองค์ พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้ทรงวางรากฐาน และทำนุบำรุงกิจการธนาคารออมสิน ให้มีความเจริญก้าวหน้า

• ต้นไทร หมายถึงความร่มเย็น ความมั่นคง และความเจริญงอกงามตลอดกาล

กระปุกออมสินรุ่นแรกของธนาคารออมสิน (คลังออมสิน) ลักษณะรูปทรงตู้ไปรษณีย์สีแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘ ซ.ม. สูง ๑๒ ซ.ม.มีตราครุฑ (ปีกงอ) สีแดงอยู่บนแตร (เป็นตราสัญลักษณ์ของกรมไปรษณีย์โทรเลข)

 

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก