ยืนยันเหมือนกันว่าวิชาลิท(literature) คือที่สุดแล้วจริงๆ 5555555 มาครบทั้งบทกลอน ละคร และวรรณกรรมต่างๆ วิเคราะห์กันสนุกมาก ออกทะเลกันเก่งสุด 5555555 รุ่นของพี่ได้อ่านสองเรื่องคือ The Bluest Eye กับ To kill a mocking bird ซึ่งคนอย่างเราที่อ่านแต่นิยายรัก นิยายจีน เจอสองเรื่องนี้เข้าไปก็เหนื่อยใช้ได้เลย ดอกหญ้าหนึ่งดอกยังมีความหมายในเรื่อง ต้องใช้ทั้งสกิลทั้งความมโน เป็นวิชาที่หัวเราะทั้งน้ำตาอ่ะ
แต่ว่าวิชาที่เราชอบมากที่สุดคือ Linguistics ค่ะ หรือภาษาศาสตร์ นี่ชอบมากกกก สนุกมากกกก อาจารย์น่ารักมากกกก ประทับใจมากจริงๆ เรียนเกี่ยวกับการออกเสียงให้ถูกต้อง การแยกประเภทของคำ การแบ่งประโยค บลาๆ
ส่วนวิชาโท ด้วยความที่เราอยากได้อะไรนอกคณะบ้าง เลยรวมตัวกัน 18 คนขึ้น ขอเปิดวิชาของภาคสื่อสารมวลชน(Communication Arts)ได้ ซึ่งเราต้องเรียน 5 ตัวด้วยกัน (คร่าวๆ นะ ลืมหมดแล้ว 5555555555)
- Principles of Communication Arts อันนี้เรียนภาพรวมของวิชานิเทศศาสตร์ เป็น intro.
- Principles of Public Relations (PR) เราจะประชาสัมพันธ์การขายยังไงให้ลูกค้าสนใจเรามากที่สุด เช่น เราจะขายสินค้า A เราต้องจัดบูธมั้ย เปิดตัวยังไง ใครเหมาะจะเป็นพรีเซนเตอร์ ธีมสินค้าเป็นแบบไหน วิชานี้สนุก จบมาก็ทำงานฝ่ายการตลาดได้เลย เพื่อนพี่จบเอกอิ้งนี่แหละ เรียนพวกวิชาโทนี้ ทำงานเป็นฝ่ายการตลาดกันเยอะเช่นกันค่ะ
- Introduction to Journalism วิเคราะห์ข่าวแต่ละหมวด หลักการเขียนข่าวที่ถูกต้อง จรรยาบรรณของนักข่าว ทุกอย่างที่เกี่ยวกับข่าวและงานเขียนของนักสื่อสารมวลชนเลย
- Marketing Communication อันนี้งานเล่นใหญ่มาก ตอนพรีเซนต์เราจริงจังกว่าวิชาเอกอีก 5555555555 เราจะเรียนเกี่ยวกับการตลาดค่ะ เชิงนิเทศนะ ตอนจบเราต้องแพลนทำธุรกิจ 1 อย่าง อย่างของเราอยากเปิดร้าน Custom พวกเครื่องสำอาง อ่ะ ร้านเราธีมไหน ในร้านต้องมีอะไรบ้าง ตกแต่งยังไง จะ PR ยังไง เปิดร้านที่ไหน ต้นทุนร้านและวัตถุดิบเท่าไหร่ บลาๆ ละเอียดมากกกก คือ ถ้ามีทุน เอาโปรเจ็คนี้มาเปิดร้านได้เลย ข้อมูลพร้อมละ 55555555
- Media Literacy ตามชื่อเลย ประวัติของมีเดีย สมัยก่อน สมัยปัจจุบัน ต่างกันยังไง ดีต่างกันยังไง แล้วก็วิเคราะห์มีเดียในปัจจุบัน วิเคราะห์ข่าวสาร การใช้สื่อโน่นนั่นนี่ เยอะมากกก อาจารย์น่ารักมาก อิอิ
อาชีพหลังเรียนจบ ไม่อยากให้น้องๆ กังวลกันเยอะ เพราะภาษาเป็นอะไรที่เป็นได้เยอะมากกกกก อาศัยทั้งความสามารถส่วนตัวของน้องเองและวิชาที่เรียนในคณะเอง และรวมไปถึงความฟลุ๊คที่จะได้งานของน้องเอง 555555555 ยกตัวอย่างพี่เอง จบมางานฟรีแลนซ์ของพี่คือเป็นช่างแต่งหน้า(ความสนใจส่วนตัว)กับติวเตอร์สอนอังกฤษ(ผลจากการเรียนเอกอิ้ง) งานประจำที่แรกของพี่คือบริษัทไอทีแห่งหนึ่ง ความรู้เรื่องไอทีพี่ด๋องแด๋งมาก ไปเรียนรู้ในบริษัทเอา สิ่งที่ทำให้พี่ได้ที่นี่กับรอดในที่ทำงานก็คือภาษาอ่ะ เพราะหัวหน้าและพนักงานในบริษัทหลายคนเป็นชาวต่างชาติ ความเอกอิ้งทำให้พี่รอดค่ะ เย้ หรือเพื่อนสนิทพี่คนนึงเป็นนักเต้น คนนึงเป็นนักวาดรูป งงป่ะ 5555555555 ลูกค้าหรือคนรองข้างนางๆ ก็มีต่างชาติบ้าง หรือตรงสายเลยก็มี นักแปล เยอะสุดก็แอร์ฯ แล้วก็กระจายๆ เป็น ออร์แกไนซ์เซอร์, HR บลาๆ อยู่ที่ตัวหนูเองเลยว่าสนใจอะไร
และเห็นน้องๆ สนใจเรื่องเวลาเรียนกันเยอะ มีแค่ไม่กี่วิชาที่เรียนเลิก 1 ทุ่มนะ ไม่ได้เลิกดึกแบบนั้นทุกวัน จะมีก็ช่วงปี 1-2 พอปี 3-4 เริ่มน้อยละ อย่างของพี่คือไม่มีเลย เลิกช้าสุดก็ 17.30 น. แล้วแต่วิชาค่ะ บางวิชาเจ็กพอตเรียนวันเสาร์ด้วย โถ่..
สู้ๆ นะ! เป็นกำลังใจให้จ้าาา เข้าชมรมหาเพื่อนกันเยอะๆ เดินทัวร์ให้ครบทุกบาร์(โรงอาหาร) ชีวิตมหาลัยสนุกจริงงง ทุกวันนี้พี่ก็ยังไปตะลอนในมหาลัยอยู่ ไปกินข้าว ไปส่งไปรษณีย์ 555555555
- แก้ไข
- แจ้งลบ
- ปักหมุด
ขออนุญาตแก้ไขและเพิ่มเติมน้า เราคิดว่า English for Tourism ที่จขกท.บอกน่าจะเป็นวิชา English for Tourist Guides มากกว่าน้า เพราะตัวนี้เรียนเกี่ยวกับวัดพระแก้ว ส่วน Tourism จะเรียนเกี่ยวกับต่างประเทศซะมากกว่า
ส่วนภาษาที่สามก็มีให้เหลือเยอะมากจริงๆ นอกเหนือจากที่จขกท.บอกก็ยังมีภาษารัสเซีย เกาหลี เยอรมันอีกด้วยย
วิชาโทที่นี่ก็มีหลากหลายมากก แบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ ภาษาศาสตร์และวรรณคดี การแปล ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธุรกิจและสื่อสารมวลชน (น่าจะอันที่จขกท.เลือกนะ มีวิชาให้เลือกเรียนเยอะม้ากๆ และมีตัวเปิดใหม่ที่คล้ายๆพี่จขคม.3ด้วย คือ English for Public Relations & Advertisment, English for Journalism) และภาษาอังกฤษเพื่องานอุตสาหกรรมการบริการ (หมวดนี้จะมีรายวิชาน้อยกว่าเพื่อน มี tourism, IR, flight attendants, hotel, tourist guides...หมดแล้ว)
โดยรวมแล้ว เราแนะนำสาขาวิชาภาษาอังกฤษของมก.มากๆเลยย เพราะที่นี่มีบังคับเรียนวรรณคดีน้อยกว่าที่อื่นๆ (เหมาะกับสายskill ที่ไม่ถนัดวิเคราะห์วรรณกรรมมาก) ซึ่งเป็น 1 ในหลายๆเหตุผลที่เราเลือกเรียนที่นี่555555 แต่แว่วๆมาว่าปีนี้เขาจะปรับหลักสูตรล่ะ บังคับให้เรียนตัวนี้เยอะขึ้น จาก 2 เป็น 5 แต่ก็ยังไม่แน่ใจน้าว่าคอนเฟิร์มมั้ย แต่ถ้าเปลี่ยนจริงๆล่ะก็ เสียใจด้วยนะคะ...555555555
ไม่หรอกๆ ลองเรียนดูแล้วจะรู้ว่ามันสนุกมากๆๆๆ เพราะเราได้อ่าน ได้วิเคราะห์สัญลักษณ์ พร้อมๆกับวัฒนธรรมในยุคสมัยต่างๆไปด้วย เพิ่มพูนความรู้เรามากๆๆๆเหมือนอย่างที่จขกท.บอกเลยย
บทความสุดพิเศษกับรีวิวเด็ด! ที่จะมาเจาะลึกกับคณะมนุษย์ศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเรียน เรื่องสังคม หรือเรื่องการทำงาน วันนี้ TCASter จะมาร่วมพูดคุยกับบัณฑิตคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ใครที่กำลังสนใจสายนี้ ห้ามพลาด!แนะนำตัวให้น้อง ๆ รู้จักหน่อยค่ะ
ชื่อเล่นชื่อมล ชื่อจริง ธมลวรรณ มีสมบัติ ตอนมัธยมเรียนที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย และตอนปริญญาตรีเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ค่ะ
แล้วจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่มลอยากเรียนที่คณะนี้คืออะไร
จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเรียนสายภาษาของเรา คือเราชอบภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเราจะเรียนสายวิทย์ แต่เราก็ไม่เคยให้หยุดเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเลย ทำให้เราอยู่กับภาษาอังกฤษมาตลอด เราเลยรู้สึกว่า ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในวิชาที่เราถนัดมาก ๆ เรียนแล้วรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไว ไม่ว่าจะมีสอบอะไรเราก็ไม่เคยรู้สึกกดดัน แล้วพอผลมันออกมาดี เราก็อยากให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นเด็ก เราเลยยังไม่รู้ทิศทาง
ว่าเรียนภาษาจะสามารถทำไรได้บ้าง แต่ถามว่าชอบไหมคือชอบมาก ยิ่งพอมีข่าวเปิดอาเซียน ก็ทำให้เราคิดว่า หรือถ้าเราเรียนสายภาษามันจะดีกว่า
เราจะได้เอาภาษาไปต่อยอดงานอื่น ๆ ได้ อันนี้เลยเป็นจุดเปลี่ยนเลยที่ทำให้เราตัดสินใจเรียนต่อสายภาษา
ตอนนั้นพี่มลเตรียมสอบยังไง ยากมั้ย
ตอนนั้นมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษที่ม.เกษตร มันคำนวนจากแกททั้งหมด เพราะงั้นพี่เลยตะบี้ตะบันมากในส่วนของแกท ทั้งแกทเชื่อมโยง และแกทภาษาอังกฤษ ด้วยความที่เราไม่ได้เก่งคณิต แล้วมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษที่ม.เกษตรมีข้อดีตรงนี้ เราเลยโอเค ทุ่มเต็มที่ให้กับแกท ส่วนเรื่องเรียนพิเศษ คือเราไม่ได้เรียนเพิ่มเติมเลย เราจะเน้นอ่านเองซะส่วนใหญ่
แล้วมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษมันเรียนไรบ้าง พี่มลเล่าให้น้อง ๆ ฟังคร่าว ๆ หน่อย คือตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคณะมันถึงตั้งชื่อว่ามนุษยศาสตร์ ทำไมไม่เป็นชื่ออื่นที่มันเกี่ยวกับภาษาไปเลย แต่พอเข้าไปเรียนแล้วถึงเข้าใจว่า มนุษยศาสตร์ไม่ได้เรียนแค่ภาษาอย่างเดียว คือจะพูดง่าย ๆ ว่า ด้วยความที่ภาษามันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และวัฒนธรรมก็เกี่ยวข้องกับชีวิตคน และชีวิตคนมันก็จะส่งผลไปที่ความคิดของคน พอเข้ามาเรียนมนุษยศาสตร์ก็ทำให้เราเข้าใจความเป็นมนุษย์ เข้าใจวิธีความคิดของมนุษย์ ทำให้เราพบความแตกต่างของมนุษย์เยอะมาก เปิดโลกของเรามาก ส่วนวิชา ก็จะมีเรียนทั้งพวกวัฒนธรรมของประเทศต่าง ๆ เรื่องมุมมองของคนต่างชาติของแต่ละภาษา ส่งผลให้เห็นว่าภาษาส่งผลต่อวัฒนธรรมอย่างไร พอเรียนกับภาษาด้วย มันก็ทำให้เราพบว่า พวกวัฒนธรรมเนี่ยมันไหลลื่น และภาษาก็มีผลต่อชุดความคิดของคน และวัฒนธรรม คือทั้งทุกอย่างมันเกี่ยวโยงกันหมดเลย
แล้วอย่างเอกภาษาอังกฤษเนี่ย เนื้อหาจะเน้นไปที่ภาษาอังกฤษยังไงบ้าง
คือพอมันเป็นเอกภาษาอังกฤษ ทุกวิชาที่เรียน ไม่ว่าจะเป็นวิชาภาค หรือวิชาคณะ ก็จะถูกผูกกับภาษาอังกฤษหมดเลย ตัวอย่างเช่น วิชาภาคก็จะมีพวกวิชาหลักภาษาอังกฤษที่เป็นวิชาบังคับ หรือวิชาคณะ เขาจะฝึกให้เราใช้ภาษาอังกฤษโดยการดูหนัง อ่านหนังสือ แล้วก็มาตกตะกอนว่า ทำไมคนผู้คนเหล่านั้น ถึงมีวิธีคิดแบบนี้ ทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงถูกถ่ายทอดออกมาแบบนี้ โดยการเรียนการสอนในห้องป็นภาษาอังกฤษตลอด เพราะฉะนั้นทุกวิชาที่เรียนก็จะถูกเชื่อมโยงกับภาษาอังกฤษหมดเลย
สังคมที่คณะเป็นยังไงบ้าง น้อง ๆ ที่จะเข้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไงบ้าง
สังคมดีมาก เพื่อนดีมาก อาจารย์ก็ดีมาก เราสามารถเข้าถึงอาจารย์ได้ง่าย ปรึกษาได้ทุกเรื่อง มันเหมือนเป็นการรวมกลุ่มของคนที่มีลักษณะความคิดคล้าย ๆ กัน บุคลิกคล้าย ๆ กัน และทุกคนก็ยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน พอเรามารวมกัน มันเลยทำให้รู้สึกสนุกสนานมาก มีคนคอยให้กำลังใจกันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ไม่ต้องเตรียมใจเลยค่ะ
เพราะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษที่ม.เกษตรจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตมหาลัยของน้อง ๆ ทุกอย่าง คือไม่ว่าจะมาจากไหน ความแตกต่างอะไรเป็นยังไง เราจะเริ่มใหม่ด้วยกันหมดเลย และเราก็จะรู้สึกว่าเราได้สภาพแวดล้อมที่มันเข้ากับเรามาก ทั้งสังคม เพื่อน หรืออาจารย์ สำหรับเราแล้วเนี่ย การเรียนคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษที่ม.เกษตร ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตมหาลัยของเรามันประสบความสำเร็จในทุก ๆ แง่เลย
อยากให้พี่มลเล่าจุดเด่นของคณะตัวเองให้ฟังหน่อย
ในส่วนของวิชาการ วิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างแน่นอยู่ เราจะได้เรียนครบทุกทักษะ ไม่ว่าจะเป็น ฟัง พูด อ่าน เขียน Grammar ต่าง ๆ ส่วนนอกเหนือจากวิชาการ เราว่าจุดเด่นของคณะมนุษศาสตร์ คือการที่ทำให้เราเป็นคนเปิดกว้างทางความคิดคิดมากยิ่งขึ้น ทำให้เรามองโลกในมุมมองที่กว้างมากขึ้น ไม่ได้มองโลกมิติเดียว
คือเรามีความเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น เข้าใจว่าความแตกต่างมีอยู่จริง และมันเป็นสิ่งสวยงาม
สำหรับเราการเรียนคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษที่ม.เกษตร ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตมหาลัยของเราเนี่ยค่อนข้างที่จะประสบความสำเร็จในทุก ๆ แง่เลย
เรียนมนุษยศาสตร์จบมาทำงานสายไหนได้บ้าง
โหหลากหลายมาก ด้วยความที่มันเป็นการเรียนภาษา มันสามารถไปต่อได้ในหลายหลายด้าน แล้วแต่เลยว่าเราจะเอาภาษาที่เรียนไปต่อยอดความถนัดของเราในด้านไหน ยกตัวอย่างอาชีพก็จะมีทั้ง เป็นสจ๊วต เป็นแอร์โฮสเตส ทำงานโรงแรม เป็นคุณครูก็เยอะ เป็นล่ามก็มี สายการตลาดก็มีเหมือนกัน
สุดท้ายแล้ว อยากให้พี่มลฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังสนใจหน่อย
อยากจะฝากไว้ว่าถ้าน้องมีความชอบที่แน่วแน่ในการที่จะเรียนภาษาอังกฤษที่คณะมนุษย์ศาสตร์ ม. เกษตร ก็อยากจะฝากให้น้องตั้งใจทำเต็มที่ เพราะส่วนตัวเราคิดว่า ถ้าเราเลือกในสิ่งที่ชอบ มันจะทำให้เราทำสิ่งนั้นได้ดี ถึงแม้เราจะทุกข์บ้างบางครั้ง แต่เราจะสามารถจัดการมันได้ แต่ถ้าเราเลือกในสิ่งที่ไม่ชอบ แล้วทนเรียนไป มันจะทุกข์มาก เพราะในการเรียนมหาลัยมันค่อนข้างจะลงลึก เราต้องเรียนในสาขาวิชาเดียวสี่ปี เพราะฉะนั้น