หน้าที่ของโปรแกรม defragment and optimize drives

มีหลายสาเหตุที่ทำให้ Windows ทำงานช้าลดลง หนึ่งในนั้นคือประสิทธิภาพการทำงานของไดรฟ์จัดเก็บข้อมูล (Storage drive) ลดลง ดังนั้น ถ้าเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไดรฟ์ประสิทธิภาพการทำงานของ Windows ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บทความนี้จึงนำวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไดรฟ์มาฝากครับ

การ Optimize ไดรฟ์จัดเก็บข้อมูล คือการทำ Defragmentation ซึ่งจะทำการจัดเรียงข้อมูลที่กระจัดกระจายบนไดรฟ์ให้เป็นระเบียบ ส่งผลให้ไดรฟ์มีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น

สาเหตุที่ข้อมูลกระจัดกระจายเพราะว่า ในขณะที่ Windows ทำการเขียนข้อมูลลงไดรฟ์นั้น ไม่มีพื้นทื่ว่างที่ต่อเนื่องเพียงพอที่จะทำการบักทึกไฟล์ในที่เดียวกัน

ผลกระทบจะเกิดขึ้นเมื่อทำการเข้าถึงข้อมูล (ไฟล์) ในครั้งต่อ ๆ ไป เนื่องจาก Windows จะต้องอ่านข้อมูลจากหลายที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงส่งผลให้ Windows ทำงานช้าลงในที่สุด

ไดรฟ์จัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะไดรฟ์แบบจานหมุนจำเป็นต้องได้รับการ Optimize สม่ำเสมอเพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนไดรฟ์แบบ SSD นั้นได้รับผลกระทบจากข้อมูลกระจัดกระจายน้อยกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การ Optimize ช่วยให้ SSD มีสุขภาพที่ดีและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

การ Optimize ไดรฟ์จัดเก็บข้อมูล บน Windows 10

Windows มีเครื่องมือสำหรับ Optimize ไดรฟ์ให้มาในตัว เราจึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเธิร์ดปาร์ตี้เพิ่ม การใช้งานทำได้โดยพิมพ์ข้อความ “Defragment” ในช่อง Type here to search จากนั้นคลิก Defragment and Optimize Drives จากหน้าแสดงผลการค้นหา

บนหน้าต่าง Optimize drives ให้ตรวจสอบใน Current status ในหัวข้อ Status

สถานะของไดรฟ์ปัจจุบัน

  • กรณีฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน สถานะของไดรฟ์จะแสดงค่าเปอร์เซ็นต์การกระจัดกระจายของข้อมูล ค่าเปอร์เซ็นต์สูงแสดงว่าไดรฟ์ถึงเวลาต้อง Optimize
  • กรณี SSD สถานะของไดรฟ์จะแสดงสุขภาพของไดรฟ์ โดยจะแสดงข้อความ Needs optimization ถ้าตรวจพบว่าไดรฟ์ถึงเวลาต้อง Optimize

การ Optimize ไดรฟ์ทำได้โดยคลิกเลือกไดรฟ์ที่ต้องการ จากนั้นคลิก Optimize โดยเวลาที่ใช้ทำงานจะขึ้นอยู่กับความจุของไดรฟ์นั้น ไดรฟ์ที่มีความจุมากจะใช้เวลาในการ Optimize นาน ในระหว่างการ Optimize ยังสามารถใช้งาน Windows 10 ทำงานได้ตามปกติ

การ Analyze จะทำการประเมินสุขภาพของไดรฟ์ในขณะนั้น ซึ่งจะให้ข้อมูลการระจัดกระจายที่ถูกต้องแม่นยำกว่าที่แสดงใน current status วิธี Analyze ไดรฟ์ทำได้โดยคลิกเลือกไดรฟ์ที่ต้องการ จากนั้นคลิก Analyze

ตั้งเวลา Optimize ไดรฟ์โดยอัตโนมัติ

โดยดีฟอลท์ Windows 10 จะทำการ Optimize โดยอัตโนมัติทุกสัปดาห์ โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเวลาให้ทำการ Optimize โดยอัตโนมัติได้ ซึ่งสามารถตั้งให้ทำงานได้ 3 แบบ คือ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือนได้

วิธีการคือ คลิก Change settings ในหัวข้อ Scheduled optimization จากนั้นบนหน้า Optimization Schedule ให้ทำการตั้งค่า Frequency เป็น Daily = ทำงานทุกวัน , Weekly = ทำงานทุกสัปดาห์ หรือ Monthly = ทำงานทุกเดือน

จากนั้นเลือกไดรฟ์ที่ต้องการ Optimize ได้ในหัวข้อ Drive คลิก Choose แล้วเลือกไดรฟ์ที่ต้องการ เสร็จแล้วคลิก OK

ความเห็น

การ Optimize ทำให้ไดรฟ์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้ Windows 10 ทำงานเร็วขึ้น (ถึงจะเร็วขึ้นไม่มากมายจนรู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน) ดังนั้นถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ทำการ Optimize ไดรฟ์สม่ำเสมอ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือนครับ

ประวัติการปรับปรุงบทความ
30 กันยายน 2562: เผยแพร่ครั้งแรก

Share This
by

Disk Defragment บน Windows 10

เมื่อเวลาผ่านไปไฟล์ต่างๆในฮาร์ดไดรฟ์ของคุณจะถูกแยกส่วน และเดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อปของคุณจะช้าลงเนื่องจากมันต้องตรวจสอบหลาย ๆ ที่บนไดรฟ์ของคุณ
เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้ใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วใน Windows เพื่อจัดเรียงข้อมูลไฟล์เหล่านั้น นี่คือวิธีและเวลาที่คุณควรทำ

Windows 10 เหมือนกับ Windows 8 และ Windows 7 ในก่อนหน้านั้น จะจัดเรียงไฟล์โดยอัตโนมัติตามกำหนดเวลา (โดยค่าเริ่มต้นสัปดาห์ละครั้ง) อย่างไรก็ตามมันจะไม่ทำงานอย่างสม่ำเสมอเหมือนเคย ดังนั้นหากคุณสังเกตเห็นว่าไฟล์ใช้เวลาในการโหลดนานขึ้น หรือคุณต้องการตรวจสอบอีกครั้งทุกเดือน หรือมากกว่านั้นคุณจะเห็นว่าไดรฟ์ใน Windows มีการแยกส่วนอย่างไร

1. เปิดเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพดิสก์โดยค้นหา “optimize” หรือ “defrag” ในแถบ taskbar.

2. เลือกฮาร์ดไดรฟ์ของคุณแล้วคลิก Analyze โปรดทราบว่าหากคุณใช้ SSD ตัวเลือกนี้จะเป็นสีเทาและไม่สามารถใช้งานได้

3. ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์ของไฟล์ที่กระจัดกระจายที่ในผลลัพธ์

ไม่ยากเลย และกฎของอย่างรวดเร็วที่เกี่ยวกับวิธีการแยกส่วนไดรฟ์ของคุณ ควรอยู่ก่อนที่จะจัดเรียงข้อมูล คุณอาจต้องการให้เปอร์เซ็นต์การกระจายตัวของคุณต่ำกว่า 5% หรือมากกว่านั้น ดังนั้นกระบวนการจัดเรียงข้อมูลจึงใช้เวลาไม่นานเกินไปที่จะเสร็จสิ้น

4. หากคุณต้องการจัดเรียงข้อมูลไดรฟ์ ให้คลิกที่ Optimize.

เป็นการดีที่สุดที่จะทำเช่นนี้ เมื่อคุณไม่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อสิ่งอื่นแล้ว ดังนั้นคุณสามารถปล่อยให้ Windows จัดระเบียบไดรฟ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. คุณอาจพิจารณาการล้างข้อมูลบนดิสก์ เพื่อเร่งความเร็วระบบของคุณ

เราขอแนะนำให้ใช้ Bitdefender OneClick Optimizer, เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพเริ่มต้นและการล้างข้อมูลบนดิสก์

ในกรณีนี้คุณควรลองใช้ OneClick Optimizer -> เป็นเครื่องมือใน Bitdefender Total Security Antivirus และคุณสามารถทดสอบได้ฟรี

หลังจากการติดตั้งให้เปิดแดชบอร์ด แล้วไปที่ Utilities จากนั้นคลิก  “optimise my device”

ทำไมคุณอาจไม่ต้องการจัดเรียงข้อมูล

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยจำนวนมาก ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะใช้งาน Windows 10 อาจไม่มีฮาร์ดไดรฟ์จริง แต่ควรใช้ solid state drives (SSD) แทน ในกรณีของ SSD  การทำ defrag เพื่อจัดเรียงข้อมูลนั้นไม่จำเป็น และสามารถเป็นอันตรายต่ออายุการใช้งานที่ยาวนานของ SSD ได้

การจัดเรียงข้อมูลบนดิสก์จะย้ายชิ้นข้อมูลรอบ ๆ บนดิสก์ เพื่อให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่ใกล้กันมากขึ้นบนฮาร์ดดิสก์ สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงความเร็วของดิสก์ เนื่องจากข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องข้ามไปมาระหว่างส่วนต่างๆ ของดิสก์ นอกจากนี้ยังสามารถอนุญาตให้มีความเร็วในการเขียนที่เร็วขึ้น ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้อมูลที่ถูกเขียนใหม่ สามารถเข้าไปในไดรฟ์ตามลำดับ

SSD ไม่ใช้หัว อ่าน / เขียน ที่กระโดดไปมาบนดิสก์ที่หมุน เพื่ออ่านและเขียนข้อมูล ดังนั้นการกระจายข้อมูลไปยังส่วนต่างๆของหน่วยความจำแฟลชของ SSD จึงไม่มีผลเช่นเดียวกับในฮาร์ดไดรฟ์ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ทำการ defrag บน SSD การพยายามทำเช่นนั้นโดยใช้เครื่องมือการจัดเรียงข้อมูลในตัว อาจไม่อนุญาตให้ใช้กับ SSD แทนการดำเนินการ TRIM ซึ่งระบุกลุ่มของข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไปและจะทำการล้างข้อมูล

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก