คำนวณอายุ อายุงาน และวันเกษียณ ด้วยสูตร excel
คำนวณอายุ/อายุงาน
=DATEDIF(C4,K4,"Y") ปี
=DATEDIF(C4,K4,"YM") เดือน
=DATEDIF(C4,K4,"MD") วัน
สูตรนี้คำนวนได้ทั้งอายุคนและอายุงานของบุคลากร
*การคำนวณอายุคน ตัวแปรตามสูตร
C4 = เซลล์ (Cell) ที่มีข้อมูลวันเกิด
K4 = เซลล์ (Cell) ที่มีข้อมูลวันที่ (คำนวณอายุถึงวันที่ที่อยู่ในเซลล์นี้)
*สามารถระบุวันที่ไว้เซลล์ K4 เซลล์เดียว
แล้วเรียกใช้โดยลาก (Drag) เพื่อเรียกใช้สูตรในแถวถัดไป โดยไม่ให้ค่าเปลี่ยนเป็น K5, K6, K7,K....ให้เติม $ ลงไป เป็น $K$4 สูตรก็จะใช้เป็น
=DATEDIF(C4,$K$4,"Y") เมื่อลาก (Drag)
ใช้สูตรในแถวต่อไปก็จะได้เป็น
=DATEDIF(C5,$K$4,"Y")
=DATEDIF(C6,$K$4,"Y")
....
*การคำนวณอายุงานของบุคลากร ตัวแปรตามสูตร
C4 = เซลล์ (Cell) ที่มีข้อมูลวันเข้าทำงาน/วันเริ่มต้นทำงาน
K4 = เซลล์ (Cell) ที่มีข้อมูลวันสุดท้ายของการทำงาน
คำนวนวันเกษียณอายุ
=DATE(YEAR(C4)+60+(C4>=DATE(YEAR(C4),10,2)),9,30)
C4 =
เซลล์ (Cell) ที่มีข้อมูลวันเกิด
60 = กำหนดให้เกษียณอายุเมื่ออายุถึง 60 ปี
*10,2 คือวันที่ 2 เดือนตุลาคม
*9,30 คือวันที่ 30 เดือนกันยายน
ซึ่งก็คือ *เดือนที่,วันที่
**การกำหนดวันเกษียณอายุตามสูตรนี้คือ ถ้าเกิดก่อนวันที่ 2 ตุลาคม ให้เกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปี ภายในวันที่ 30 กันยายน แต่ถ้าเกิดตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม เป็นต้นไป
จะเกษียณอายุในปีถัดไป (ระยะเวลาเพิ่ม 1 ปี หรือเกษียณเมื่ออายุ 61 ปี)
คลิปสอนการใช้สูตรคำนวณอายุ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ความรู้
เราสามารถคำนวณอายุใน Excel ได้ โดยเราต้องมีวันเกิดหรือวันที่เริ่มทำงานหรือวันอะไรก็ตามเป็นวันตั้งต้น และวันสุดท้ายที่จะใช้ในการเปรียบเทียบหรือจะใช้วันที่ปัจจุบันก็ได้
ไปลองดูตัวอย่างกันเลยจะได้เข้าใจง่ายและลองทำตามได้
ตัวอย่างที่ 1 คำนวณอายุโดยใช้สูตร (วันที่ปัจจุบัน - วันเกิด) / 365.25
ใน Excel เราสามารถคำนวณอายุของบุคคลได้โดยเรารู้วันเกิดและวันที่ปัจจุบัน ลองดูจากตัวอย่างด้านล่างนะ
ตอนนี้มีวันเกิดและวันที่ปัจจุบันแล้วต้องการหาอายุโดยใช้สูตร (วันที่ปัจจุบัน - วันเกิด) / 365.25
ตัวอย่างที่ 2 คำนวณอายุโดยใช้คำสั่ง DATEDIF
คำสั่ง DATEDIF เป็นคำสั่งของ Excel ที่จะคืนค่าผลต่างระหว่างวันที่สองวันที่โดยจะคืนค่ากลับมาเป็นปี เดือนหรือวันแล้วแต่เรากำหนด
โดย DATEDIF จะเป็นคำสั่งที่ซ่อนไว้ของ Excel แต่เราก็สามารถเรียกใช้งานได้นะครับ เท่าที่ทดลองใช้ Excel จะไม่พบคำสั่งนี้ตั้งแต่ Excel รุ่น 2010 หรือ 2013 เป็นต้นมาแต่ก็ยังสามารถเรียกใช้งานได้นะ
คำสั่ง DATEDIF จะมีหน้าตาดังภาพ
- start_date คือวันที่เริ่มต้นที่จะใช้ในการเปรียบเทียบ (ทั้งนี้ต้องใช้วันที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ end_date เท่านั้นนะครับ ไม่เช่นนั้นจะส่งค่าเป็นข้อความผิดพลาด #NUM กลับมาให้เรา)
- end_date คือวันที่ต้องการนำมาเปรียบเทียบ
- unit คือหน่วยที่ต้องการคืนค่ากลับมาโดยมีตัวเลือกทางด้านล่าง
- Y คืนค่ากลับมาเป็นปี
- M คืนค่ากลับมาเป็นเดือน
- D คืนค่ากลับมาเป็นจำนวนวัน
- MD (Month Day Unit) จะหาค่าความแตกต่างในจำนวนวัน โดยจะไม่สนใจเดือนและปี (ง่ายๆ ก็คือถ้านับเดือนและปีเป็นจำนวนเต็มแล้วเหลือเศษของวันอยู่เท่าใด)
- YM (Year Month Unit) จะหาค่าความแตกต่างในจำนวนเดือน โดยไม่สนใจวันและปี (คือนับปีเป็นจำนวนเต็มแล้วหาว่าเหลือเศษของเดือนอยู่เท่าใด)
- YD (Year Date Unit) จะหาค่าความแตกต่างในจำนวนวัน โดยไม่สนใจปี (คือนับปีเป็นจำนวนเต็มเรียบร้อยแล้วดูว่าเหลือเศษของปีอยู่เท่าใด)
จากคำอธิบายแล้วอาจจะงง ไปลองดูตัวอย่างกันนะ
สมมติมีข้อมูลลักษณะแบบนี้แล้วต้องการหาอายุของพนักงานเป็นปีเดือนและวัน
แล้วทำไมถึงไม่ใช้ M ก็เห็นว่า M ก็คืนค่ามาเป็นเดือน ที่เราไม่ใส่ M นั้นก็เพราะว่า M จะคำนวณเดือนทั้งหมด ไม่ได้คำนวณเศษเดือนที่เหลือเหมือน YM (ยังไงเอาไปลองกันดูนะครับ อธิบายอาจจะเข้าใจยาก)
ความคิดเห็น