หายใจเข้าและหายใจออกได้อย่างไร
โดย :
สาขาวิทยาศาสตร์ภาคบังคับ
เมื่อ :
วันอังคาร, 11 มิถุนายน 2562
หายใจเข้าและหายใจออกได้อย่างไร
วีดิทัศน์ ตอนหายใจเข้าและหายใจออกได้อย่างไร เป็นสื่อประกอบการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ ได้แก่ จมูก โพรงจมูก ท่อลม หลอดลม หลอดลมฝอย ปอด กระดูกซี่โครง และกะบังลม ที่ทำงานร่วมกันในระหว่างการหายใจเข้าและการหายใจออก รวมทั้งแสดงความแตกต่างของปริมาตรที่มีผลต่อความดันอากาศ ที่ทำให้เกิดเคลื่อนที่เข้าและออกของอากาศจากปอด
หัวเรื่อง และคำสำคัญ
การหายใจเข้า, การหายใจออก, ท่อลม หลอดลม, หลอดลมฝอย, ปอด, กระดูกซี่โครง, กะบังลม, inhalation, exhalation, trachea, bronchus, lungs, ribs, diaphragm,
ลิขสิทธิ์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
ดูเพิ่มเติม
คุณอาจจะสนใจ
Hits
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนหาคำตอบว่า แยกของแข็งออกจากของแข็งได ...
Hits
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนหาคำตอบว่าแยกสารโดยวิธีการสกัดด้วยตัวทำ ...
Hits
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนหาคำตอบว่า กลุ่มดาวมีปรากฏการณ์กา ...
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การหายใจ (อังกฤษ: breathing) เป็นกระบวนการซึ่งนำอากาศเข้าหรือออกจากสิ่งมีชีวิตที่ต้องการออกซิเจนต้องการไปเพื่อปลดปล่อยพลังงานผ่านการหายใจระดับเซลล์ในรูปเมแทบอลิซึมโมเลกุลพลังงานสูง เช่น กลูโคส การหายใจเป็นเพียงกระบวนการเดียวซึ่งส่งออกซิเจนไปยังที่ที่ต้องการในร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออก อีกกระบวนการหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของเลือดโดยระบบไหลเวียน การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นในถุงลมปอดโดยการแพร่ของแก๊สระหว่างแก๊สในถุงลมและเลือดในหลอดเลือดฝอยปอด เมื่อแก๊สที่ละลายนี้อยู่ในเลือด หัวใจปั๊มเลือดให้ไหลไปทั่วร่างกาย
นอกเหนือไปจากการนำคาร์บอนไดออกไซด์ออก การหายใจส่งผลให้เกิดการสูญเสียน้ำจากร่างกาย อากาศที่หายใจออกมีความชื้นสัมพัทธ์เท่ากับ 100% เพราะน้ำแพร่ข้ามพื้นผิวที่ชุ่มชื้นของทางเดินหายใจและถุงลมปอด
การหายใจเข้าออกลึก ๆ หรือบางครั้งเรียกว่า การหายใจโดยใช้กะบังลม คือการหายใจเข้าลึก ๆ อย่างช้า ๆ ให้อากาศผ่านเข้าทางจมูกจนเต็มปอด และทำให้กะบังลมยกสูงขึ้น
การหายใจเข้าออกลึก ๆ บางครั้งอาจทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ โดยทั่วไป เรามักจะใช้กล้ามเนื้อท้องในการหายใจ ซึ่งเรียกว่าเป็นการหายใจตื้น
การหายใจตื้นจะจำกัดการเคลื่อนที่ของกะบังลม ทำให้มีออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายน้อยลง ทำให้เราหายใจถี่ขึ้้น และมีความรู้สึกกังวลเกิดขึ้นได้
งานวิจัยพบว่าการหายใจเข้าออกลึก ๆ ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจหลายด้านเลยทีเดียว
คลายความเครียด
สมองคนเราจะปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล เมื่อรู้สึกเครียดและกังวล
เมื่อเราฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ หัวใจจะเต้นช้าลง และออกซิเจนจะเข้าสู่กระแสเลือด พร้อมกับสื่อสารไปที่สมองให้ผ่อนคลาย
การศึกษาในมหาวิทยาลัยพบว่า นักศึกษาที่ได้เข้าคอร์สฝึกการหายใจเข้าออกลึก ๆ จะรู้สึกซึมเศร้าน้อยลง กังวลน้อยลง และดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนกลุ่มอื่น
การหายใจเข้าออกลึก ๆ ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน ซึ่งสามารถลดความรู้สึกเจ็บปวดได้ แม้การถอนหายใจง่าย ๆ เพียงครั้งเดียวยังช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกาย และปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้
ปรับการทำงานของสมองให้ดีขึ้น
การศึกษาชิ้นหนึ่งได้ขอให้ผู้เข้าร่วมงานวิจัยหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเวลา 5 วินาที และหายใจออกยาว ๆ เป็นเวลา 5 วินาที รวมทั้งหมด 10 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 6 ครั้ง เป็นเวลานาน 6 สัปดาห์
ผลพบว่าผู้เข้าร่วมการศึกษานี้สามารถใช้สมองคิดได้เร็วขึ้น และทำคะแนนได้ดีขึ้น ในการทดสอบคิดเลขเร็ว
การเล่นโยคะและเทคนิคการหายใจบางอย่างก็พิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มความสามารถของสมองในการจดจ่อและทำงานอย่างตั้งใจ
ช่วยบรรเทาโรคเรื้อรังต่าง ๆ
การหายใจเข้าออกลึก ๆ ช่วยลดความดันโลหิตได้ด้วยการทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เพิ่มการหมุนเวียนเลือด และควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าเทคนิคการหายใจแบบสลับข้างจมูก (ซ้ายและขวา) เป็นเวลา 10 นาทีสามารถช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
การหายใจเข้าออกลึก ๆ ยังช่วยบรรเทาโรคเบาหวานได้ด้วย
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ฝึกการหายใจเข้าออกลึก ๆ เป็นเวลา 3 เดือน มีค่า BMI ลดลงและยังมีค่าน้ำตาลในกระแสเลือดหลังรับประทานอาหารที่ลดต่ำลงอีกด้วย
เทคนิคการหายใจอย่างผ่อนคลายสามารถทำให้การนอนหลับของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีคุณภาพมากขึ้น และยังช่วยลดอาการของการอักเสบหรือติดเชื้อได้อีกด้วย
ประโยชน์อื่น ๆ ต่อร่างกาย
สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด การหายใจเข้าออกลึก ๆ จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด ซึ่งทำให้เกิดผลดีต่าง ๆ ต่อไปนี้
เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย – ร่างกายจะสามารถดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพิ่มพลังให้กับร่างกาย - ร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้น และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
ขจัดสารพิษให้กับร่างกาย – ออกซิเจนที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้ร่างกายปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์และสารพิษอื่น ๆ ได้มากขึ้น
ทำให้ระบบการย่อยทำงานดีขึ้น – อวัยวะต่าง ๆ เช่น ลำไส้ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มาเริ่มฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ กันตั้งแต่วันนี้เถอะ
อ้างอิง:
Harvard Health Publishing – Harvard Medical School. Relaxation techniques: Breath control helps quell errant stress response. [Internet]. 2018 [cited 4 June 2020];. Available from: //www.health.harvard.edu/mind-and-mood/relaxation-techniques-breath-control-helps-quell-errant-stress-response
Watkins A. Benefits of Deep Breathing. Urban Balance [Internet]. [cited 4 June 2020];. Available from: //urbanbalance.com/benefits-deep-breathing/
INFOGRAPHIC: The Benefits of Deep Breathing [Internet]. Happify. 2020 [cited 1 June 2020]. Available from: //www.happify.com/hd/the-benefits-of-deep-breathing/