การพัฒนาประเทศกับปัญหามักมาคู่กันเสมอ เมื่อเกิดปัญหา กระบวนการแก้ปัญหามักมองกันคนละมุม ขาดความเคารพซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะภาครัฐและภาควิชาการมักไม่เคยไว้วางใจในแนวทางการทำงานของภาคประชาชนเลยสักครั้ง แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะระบุ และตอกย้ำเรื่องในเรื่องของการมีส่วนร่วม แต่ในทางปฏิบัติถ้าไม่เหลืออด เหลือทนภาครัฐและภาควิชาการ จะไม่เลือกภาคประชาชนขึ้นไปพูดคุยหรือ สอบถามกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว ในทำนองเดียวกัน ภาคประชาชนก็ยังขาดกระบวนการเรียนรู้ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมองปัญหา การแก้ปัญหา ยังเป็นลักษณะแก้ผ้าเอาหน้ารอด เมื่อคนในพื้นที่หนึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา ทุกคนก็เอาอย่างกัน แบบไม่ลืมหูลืมตา ร่องรอยที่พอเหลือให้เห็นคือความล้อเหลว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาครัฐเองก็พยายามให้ประชาชนเป็นไปในแบบที่ตนเองต้องการให้ได้ โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะคิดอย่างไร ไม่เข้าใจในความหลากหลายของพื้นที่ วิถีชีวิต หรือถ้าสอบถามรัฐเองก็มักมีคำตอบอยู่แล้ว เมื่อประชาชนคิดไม่ตรงกับรัฐ ก็มองว่าเขาโง่ คิดไม่เป็น ไม่มีวิสัยทัศน์ไปโน่น แม้ว่าวันนี้คำตอบของงานพัฒนาชุมชนบานล่าง จะอยู่ที่การใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา โดยยกพื้นที่ ที่ประสบความสำเร็จมาบอกเล่าต่อสังคม เช่นที่บ้านไม้เรียง แต่ถ้ามองลึกลงไปจะพบว่า บ้านไม้เรียงได้พัฒนากระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชน โดยคนในพื้นที่ ลุกขึ้นมาจัดการของตัวเอง โดยเริ่มที่เรื่องยางพารามีราคาตกต่ำ การถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนกลาง และพัฒนามาเป็นกระบวนการการแก้ปัญหาด้วยตัวของชุมชนเอง แต่ถ้ารัฐยังมองการแก้ปัญหาแบบสูตรสำเร็จ และบอกว่าต้องนี้ถึงจะใช่ โดยไม่ใช้มิติของความแตกต่าง ความหลากหลาย การเคารพความคิดเห็นของคนในพื้นที่ การแก้ปัญหาสังคม ความยากจนที่รัฐบาลทุกรัฐบาลอยากเห็น คงเป็นเรื่องที่อยู่ไกลเกินเอื้อมถึง การใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ต้องเริ่มที่ ภาครัฐต้องยอมรับความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนเสียก่อน แล้วไปหนุนเสริมการจัดกระบวนการ ที่เป็นไปเพื่อเอื้อให้พี่น้องประชาชน ลุกขึ้นมาจัดการตัวเองให้ได้ ถ้ามองขบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชนให้มีชีวิต ของเครือข่ายแผนแม่บทชุมชน ๔ ภาค มีการถอดบทเรียนการจัดทำแผนอยู่ประมาณ ๑๐ ขั้นตอน เริ่มจาก ๑. ค้นหาแกนนำและองค์กรท้องถิ่น ๒. จุดประกายความคิด
๙. ทบทวนปรับปรุง ๑๐. ประเมินผล สรุปบทเรียนการทำงาน ชาติชาย เหลืองเจริญ |