พจนานุกรมสมมติฐาน : พจนานุกรม ออนไลน์ แปลภาษา คือ อะไร แปลว่า หมายถึง
ค้นหาคำศัพท์ :- หน้าหลัก
- ภาษาน่ารู้
- พจนานุกรมทั้งหมด
- เพิ่มคำศัพท์ใหม่
หน้าหลัก > พจนานุกรมทั้งหมด > แปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน > สมมติฐาน
สมมติฐาน
สมมติฐาน
สมมติฐาน สมมุติฐาน
[สมมดติ สมมุดติ] น. ข้อคิดเห็นหรือถ้อยแถลงที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล การทดลอง หรือการวิจัย. (อ. hypothesis).
ดูคำอื่นๆในหมวดแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
สมสมการสมการเคมีสมคบสมควรสมคะเนสมจรสมจริงสมจริงสมจังสมจารี
ความหมายจาก
พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
สมมติฐานภาษาอังกฤษ
สมมติฐานภาษาไทย สมมติฐานความหมาย Dictionary สมมติฐานแปลว่า สมมติฐานคำแปลสมมติฐานคืออะไร
[สม-มด-ติ-ถาน] น. เรื่องหรือหลักอันใดอันหนึ่งที่ตั้งสมมติขึ้นก่อนเพื่อเป็นแนวทางที่จะค้นคว้าความจริงต่อไป, เทียบคำ (อก. hypothesis) (เหมือน สมมุติฐาน).... (อ่านต่อ...) ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ
นคร [n.] hypothesis [syn.] ข้อสมมติ (อ่านต่อ...) ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-อังกฤษ LEXiTRONสมมติฐาน
สมมติฐาน
ความหมายของ สมมติฐาน จากพจนานุกรมเล่มอื่นๆ
Tweets by andrewbiggs
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมมติฐาน หรือสะกดว่า สมมุติฐาน (อังกฤษ: hypothesis) คือการอธิบายปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตได้ที่ถูกเสนอขึ้น ในทางวิทยาศาสตร์สมมติฐานจะเป็นสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ต่อเมื่อสามารถทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ได้ มักใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล การทดลอง หรือการวิจัย สำหรับในความหมายอื่น สมมติฐานอาจเป็นบรรพบทหรือญัตติที่จัดตั้งขึ้น เพื่อใช้ในการสรุปคำตอบของปัญหาประเภท ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วจะเป็นเช่นไร
สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์[แก้]
คนทั่วไปมักจะถือว่าการลองเดาคำตอบของปัญหาเป็นสมมติฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นเรียกว่า การคาดเดาอย่างมีหลักการ [1] เพราะมันเป็นคำตอบอันเป็นที่แนะนำซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนหลักฐาน ในขณะที่ผู้ทำการทดลองอาจทดสอบและปฏิเสธสมมติฐานหลายอย่างก่อนที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา สมมติฐานที่ดีอันควรจะนำไปพิจารณาควรมีลักษณะดังนี้ [2]
- สามารถปฏิบัติทดลองได้ (testability)
- เข้าใจง่าย (simplicity)
- มีขอบเขตชัดเจน (scope)
- สามารถอธิบายปรากฏการณ์อื่นได้ในอนาคต (fruitfulness)
- ยังคงองค์ความรู้เดิมอันเป็นที่ยอมรับ (conservatism)
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "When it is not clear under which law of nature an effect or class of effect belongs, we try to fill this gap by means of a guess. Such guesses have been given the name conjectures or hypothesis."--Hans Christian Ørsted (1811) "First Introduction to General Physics" ¶18. Selected Scientific Works of Hans Christian Ørsted, ISBN 0-691-04334-5 p.297
- ↑ Schick, Theodore; Vaughn, Lewis (2002). How to think about weird things: critical thinking for a New Age. Boston: McGraw-Hill Higher Education. ISBN 0-7674-2048-9.
สมมุติฐานการวิจัย
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา จันทร์คง
ในการดำเนินการวิจัย “สมมุติฐาน” (hypothesis) เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากการวิจัยเป็นกระบวนการแก้ปัญหาหรือค้นหาคำตอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเริ่มต้นโดยการกำหนดปัญหา จากนั้นจะพยายามคาดคะเนคำตอบของปัญหานั้น การคาดคะเนคำตอบก็คือสมมุติฐาน
ดังนั้นสมมุติฐานการวิจัย คือ คำตอบหรือข้อสรุปของผลการวิจัยที่ผู้วิจัยคาดการณ์ หรือคาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตุและผล โดยอาศัยรากฐานของแนวคิดทฤษฎี ผลการศึกษาค้นคว้า ผลการวิจัยรวมถึงประสบการณ์ของผู้วิจัยเอง ซึ่งสมมุติฐานนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการค้นคว้า ตลอดจนเป็นแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลว่าสิ่งที่ผู้วิจัยศึกษาอยู่นั้นเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่
ทั้งนี้สมมุติฐานที่ตั้งไว้อาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงตามที่ผู้วิจัยคาดคะเนก็ได้ ขึ้นอยู่กับการทดสอบสมมุติฐานโดยอาศัยข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้และวิธีการทางสถิติ
ประเภทของสมมุติฐาน
สมมุติฐานแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สมมุติฐานการวิจัย (research hypothesis)
เป็นสมมุติฐานที่เขียนอยู่ในรูปของข้อความที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษากับคำตอบที่ผู้วิจัยคาดคะเนโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายสามารถสื่อความหมายได้โดยตรง
2. สมมุติฐานทางสถิติ(statistical hypothesis) เป็นสมมุติฐานที่เปลี่ยนรูปมาจากสมมุติฐานการวิจัย โดยใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่แทนคุณลักษณะเกี่ยวกับค่าพารามิเตอร์ของประชากร (population parameter) มาเขียนอธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปร
สมมุติฐานทางสถิติจะประกอบด้วย 2 ลักษณะ ควบคู่ไปเสมอ คือ
2.1 สมมุติฐานว่าง หรือสมมุติฐานหลัก (null hypothesis) แทนสัญลักษณ์ด้วย Ho เป็นสมมุติฐานแสดงข้อความที่เป็นกลาง โดยระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าเท่ากัน ไม่แตกต่างกันหรือไม่มีความสัมพันธ์กัน
2.2
สมมุติฐานทางเลือกหรือสมมุติฐานรอง (alternative hypothesis) แทนสัญลักษณ์ด้วย H1 หรือ Ha เป็นสมมุติฐานแตกต่างหรือตรงข้ามกับสมมุติฐานหลัก โดยระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าไม่เท่ากัน แตกต่างกัน มากกว่า น้อยกว่า หรือมีความสัมพันธ์กัน
วิธีการตั้งสมมุติฐาน
สมมุติฐานเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาที่ทำการศึกษา
ดังนั้นการตั้งสมมุติฐานจึงต้องเริ่มคิดก่อนว่าจะมีจุดมุ่งหมายอย่างไร แล้วจึงตั้งสมมุติฐานขึ้น
สำหรับวิธีการตั้งสมมุติฐานมี 2 ลักษณะ คือ
1. สมมุติฐานแบบมีทิศทาง (directional hypothesis) เป็นการเขียนโดยระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าสัมพันธ์ในทางใด หรือถ้าเป็นการเปรียบเทียบก็สามารถระบุถึงทิศทางของความแตกต่างได้ เช่น มากกว่า น้อยกว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ทางลบ เช่น
Ho
: rAB = 0
H1 : rAB > 0
2. สมมุติฐานแบบไม่มีทิศทาง (nondirectional hypothesis) เป็นการเขียนที่ไม่ได้ระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปรหรือทิศทางของความแตกต่างเพียงแต่ระบุว่ามีความสัมพันธ์กันหรือ แตกต่างกันเท่านั้น เช่น
Ho : mA
= mB
H1 : mA ¹ mB
ในการตั้งสมมุติฐานอาจจะตั้งแบบมีทิศทางหรือไม่มีทิศทางก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้วิจัยจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ศึกษามากน้อยเพียงใด ถ้ามีข้อมูลมากพอที่จะยืนยัน ก็ตั้งแบบมีทิศทาง ถ้าข้อมูลไม่พอหรือไม่แน่ใจก็ตั้งแบบไม่มีทิศทาง
แหล่งของสมมุติฐาน
การตั้งสมมุติฐานจะต้องตั้งอย่างสมเหตุสมผล
ซึ่งผู้วิจัยจะต้องอาศัยที่มาของสมมุติฐานจากหลายทางดังนี้
1. ทฤษฎีต่างๆ ซึ่งเป็นเนื้อหาของแขนงวิชานั้นๆ ผู้วิจัยจะต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจในทฤษฎีและเนื้อหาเหล่านั้น ในอันที่จะช่วยให้การกำหนดปัญหาและการตั้งสมมุติฐานได้เป็นอย่างดี และทำให้การวิจัยมีหลัก ได้ข้อค้นพบที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
2. ข้อค้นพบจากการวิจัยที่มีผู้ทำมาแล้ว ซึ่งข้อค้นพบต่างๆ
จะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถนำไปใช้ในการตั้งสมมุติฐานได้
3. ความเชื่อทั่วๆ ไป ของสังคมและหลักความจริงที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
4. ประสบการณ์ตรงของผู้วิจัยเอง ซึ่งผู้วิจัยเองอาจเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดี อีกทั้งอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยได้ทำงานคลุกคลีกับเรื่องนั้นมาตลอด
5.
ผู้รู้หรือผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ ซึ่งคำกล่าวหรือข้อคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้น สามารถนำมาใช้ในการตั้งสมมุติฐานได้
6. การสังเกตพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงการได้มีการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ และแนวโน้มของพฤติกรรมหรือเหตุการณ์นั้นๆ ก็จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการตั้งสมมุติฐานได้
ลักษณะของสมมุติฐานที่ดี
สมมุติฐานที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1. สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย จุดมุ่งหมายต้องการศึกษาอะไร สมมุติฐานก็ควรตั้งให้อยู่ในลักษณะแนวทางเดียวกัน
2. ต้องตอบคำถามได้ครอบคลุมปัญหาทุกๆ ด้านที่ศึกษา โดยระบุความสัมพันธ์ของ
ตัวแปรที่สนใจในรูปของความแตกต่าง มากกว่า น้อยกว่าหรือสัมพันธ์กัน
ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า
เป็นจริงหรือไม่
3. สามารถทดสอบได้ด้วยข้อมูลและวิธีการทางสถิติ
4. ใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย รัดกุม
5. สมมุติฐานแต่ละข้อควรตอบคำถามเพียงข้อเดียวหรือประเด็นเดียว หากมีตัวแปรที่จะต้องศึกษาหลายตัว ควรแยกเป็นสมมุติฐานย่อยแต่ละข้อ เพราะจะสามารถสรุปการยอมรับหรือปฏิเสธสมมุติฐานได้ชัดเจน
6. สมเหตุสมผลตามทฤษฎี หลักการและเหตุผล สภาพที่เป็นจริงที่ยอมรับกันทั่วไป
------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
ปาจรีย์ ผลประเสริฐ. (2549). วิจัยทางธุรกิจ. กำแพงเพชร: คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2543). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.
(พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ: เจริญผล.
ภัทรา นิคมานนท์. (2544). การวิจัยทางการศึกษาและสังคมศาสตร์.กรุงเทพฯ: อักษราพัฒน์.
สนม ครุฑเมือง. (2550). การเขียนเชิงวิชาการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นครสวรรค์: นิวเสรีนคร.
Cooper, D.R. & Schindler P.S. (2003). Business research methods. (8th ed.). New York: McGraw-Hill.
Ghauri, P. & Gronhaug K. (2002). Research methods in business
studies (2nd ed.). New York: Pearson education.