ทฤษฎีการกำหนดรายได้ประชาชาติ เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ และความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (Desired Aggregate Expenditure: DAE)
ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (DAE) คือ ความต้องการจะใช้จ่ายของภาคเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ครัวเรือน ธุรกิจ รัฐบาล ต่างประเทศ ในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายซึ่งผลิตขึ้นได้ในประเทศ ในระยะเวลาหนึ่ง ความต้องการใช้จ่ายมวลรวมประกอบ ไปด้วย
- ความต้องการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของครัวเรือน (Desired Consumption Expenditure : C)
- ความต้องการใช้จ่ายเพื่อลงทุนของหน่วยธุรกิจ (Desired Investment : I)
- ความต้องการใช้จ่ายของภาครัฐบาล (Desired Government Expenditure : G)
- ความต้องการส่งออกสุทธิ (Desired Net Export: X-M)
การบริโภค หมายถึง รายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการในรอบ 1 ปี จากการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่กำหนดการบริโภคและการออมมีหลายปัจจัย เช่น รายได้ประชาชาติ อัตราภาษี ระดับราคาสินค้าและบริการ ฯลฯ
ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ กล่าวว่า รายได้ที่ใช้จ่ายได้ (Disposable Income) เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในการกำหนดรายจ่ายเพื่อการบริโภค ดังนั้นเมื่อสมมติให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ ฟังก์ชันการบริโภคจึงขึ้นอยู่กับรายได้ที่ใช้จ่ายได้แต่เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ก่อนที่จะศึกษาถึงลักษณะสำคัญของทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ ผู้ศึกษาควรทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องการการบริโภคและการออม 4 คำ ดังนี้
- ความโน้มเอียงถัวเฉลี่ยในการบริโภค (Average Propensity to Consume: APC) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างรายจ่ายเพื่อการบริโภคต่อรายได้ที่ใช้จ่ายได้ ซึ่งบอกให้ทราบถึงสัดส่วนของการบริโภค ณ แต่ละระดับรายได้ต่างๆ ดังสูตร
- ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการบริโภค (Marginal Propensity to Consume: MPC) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงในรายจ่ายเพื่อการบริโภค ต่อการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่ใช้จ่ายได้ นั่นคือ เป็นการวัดค่าของการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมา จากการเปลี่ยนแปลงของรายได้ 1 หน่วย ดังสูตร
- ความโน้มเอียงถัวเฉลี่ยในการออม (Average Propensity to Save: APS) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างจำนวนเงินออมต่อรายได้ที่ใช้จ่ายได้ ซึ่งบอกให้ทราบถึงสัดส่วนของการออม ณ แต่ละระดับรายได้ต่างๆ โดยที่
ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการออม (Marginal Propensity to Save: MPS) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงในจำนวนเงินออม ต่อการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่ใช้จ่ายได้ นั่นคือ เป็นการวัดค่าของการออมที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงของรายได้ 1 หน่วย โดยที่
โดยปกติแล้วการบริโภคของคนเราทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพของสินค้าและบริการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้1.รายได้ของผู้บริโภค
ในที่นี้หมายถึง รายได้สุทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นรายได้เมื่อหักภาษีออกแล้วรายได้ของผู้บริโภคนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดการใช้จ่ายสำหรับการบริภค ตามปกติ ถ้าเรามีรายได้น้อยก็จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการมาบริโภคได้น้อย เมื่อมีรายได้เพิ่มขั้นเราก็ใช้จ่ายเงินเพิ่อการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย แต่จะเพิ่มในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเงินออมมากกว่าเดิม
2.นิสัยการใช้จ่ายของผู้บริโภค
คนเรามีนิสัยการใช้เงินแตกต่างกัน คนที่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย พอใจหรืออยากได้สิ่งใดก็รีบซื้อทันทีโดยไม่ได้พิจารณาถึงความจำเป็นและรายได้ของตนเอง และเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้คนประเภทนี้จะมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในอานาคต
3.ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภค รายได้ การออมและการลงทุน
เราได้ทราบกันแล้วว่า การบริโภคของคนเรามีความสัมพันธ์กับรายได้โดยตรง ถ้ามีรายได้มากก็สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้ามาบริโภคได้มาก ตุถ้ามีรายได้น้อยก็สามารถบริโภคได้น้อย อย่างไรก็ตาม ประชาชนโดยทั่วๆไป มักจะไม่บริโภคเกินรายได้ที่เขามีอยู่ เขาจะออมเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้จ่ายเมื่อถึงคราวจำเป็นในอนาคตโดยอาจจะนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ยืมหรือฝากธนาคารเพื่อได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย หรือนำไปลงทุนดำเนินธุรกิจด้วยตนเองในวันข้างหน้า ดังนั้น เงินที่ออมไว้ก็จะกลายเป็นเงินทุน
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค (Corruption Expedition / C)
1.สินค้าประเภทถาวร (Durable goods) ได้แก่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคสินค้าที่มีอายุการใช้งานนาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์2.สินค้าประเภทไม่ถาวร (Nondurable goods) ได้แก่ ค่าใช้จ่าย ในการบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภค อาหาร
3.บริการ (Services) ได้แก่ค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งบริการต่าง ๆ เช่น การชมภาพยนต์ ดังนั้น C (เพิ่มขึ้น) > AD(เพิ่มขึ้น) > I (เพิ่มขึ้น) > จ้างงาน (เพิ่มขึ้น) > Y (เพิ่มขึ้น)
ปัจจัยที่กำหนดการบริโภคมวลรวมและการออมมวลรวม
1.รายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income / DI / Yd)Yd (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) และ S (เพิ่มขึ้น) Yd (ลดลง) > C (ลดลง) และ S (ลดลง)
2 .การเปลี่ยนแปลงในอัตราภาษี (t)
Dt (เพิ่มขึ้น) > Yd(เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) และ S (เพิ่มขึ้น) Dt (ลดลง) > Yd (ลดลง) > C (ลดลง) และ S (ลดลง)
3.อุปนิสัยของผู้บริโภค (h)
นิสัยเป็นคนมัธยัสถ์ > C (ลดลง) นิสัยเป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย > C (เพิ่มขึ้น)4.ภาวะแวดล้อมทางสังคม (So) สังคมใดเลียนแบบการบริโภคสูง > C (เพิ่มขึ้น)
สังคมใดรู้สึกว่าการประหยัดมัธยัสถ์เป็นสิ่งที่ดี
S (เพิ่มขึ้น) C (ลดลง)
Y e (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น) ปัจจุบัน และ S (ลดลง)
P e (ลดลง) > C (ลดลง) ปัจจุบัน และ S (เพิ่มขึ้น)
Asset มีสภาพคล่องมาก > ฐานะการเงินมั่นคง > C (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง)
Asset มีสภาพคล่องน้อย > เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ยาก > C (ลดลง)
*** Asset มีสภาพคล่องมาก ได้แก่ ใบหุ้น, เงินสด, เงินฝากประจำ ***
สินค้าคงทนถาวร (Fixed Asset : FA) เช่น รถยนต์, ทีวี เป็นต้น
- อาจซื้อ FA (ลดลง) ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากมีใช้อยู่แล้ว
- อาจซื้อ FA สินค้าและบริการที่ใช้ทดแทนกัน (Substitute goods)
ลดลงก็ได้ เช่น การซื้อ T.V / การชมภาพยนต์
- อาจจำให้รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ ที่ใช้ประกอบกัน
เพิ่มขึ้น เช่น การซื้อรถยนต์ > น้ำมัน (เพิ่มขึ้น) ค้าอัดฉีด
(เพิ่มขึ้น) ค่าซ่อมแซม (เพิ่มขึ้น) แต่ทำให้ S (ลดลง)
# ผ่อนต่ำ ดาวน์ต่ำ และ i ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) Q เป็นการเพิ่มอำนาจ
ซื้อ แก่ผู้มีรายได้ต่ำ
# i (กู้) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น) ; i (ฝาก) สูง > C (ลดลง)
i (กู้) สูง > C (ลดลง) ; i (ฝาก) ต่ำ > C (เพิ่มขึ้น)
8.การกระจายรายได้ในสังคม (d )
d ทั่วหน้าทุกคน > C (เพิ่มขึ้น)
Pop (เพิ่มขึ้น) > C (เพิ่มขึ้น)
ถ้า Pop วัยเรียน (เพิ่มขึ้น) > C เครื่องเขียนชุดนักเรียน (เพิ่มขึ้น) และ S (ลดลง)
อุปนิสัย ของ Pop ก็ต่างกันเช่น คนกลางคนนิยมออม คนแก่ และเด็ก ชอบมีนิสัย
ในการใช้จ่าย
\ ถ้าประเทศไหนมีคนกลางคนมาก > S (เพิ่มขึ้น) และ C (ลดลง) ดังนั้น สรุป C = f (Yd , t, h, So, e, A, Cr, I, d, Pop…)
ฟังก์ชั่นการบริโภค (Consumption Function)
C = a + bY
C = f (Yd)
เราใช้คำว่า ฟังก์ชัน (function) เพราะว่าการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคผันแปรไปตามระดับรายได้หลังจากหักภาษีแล้ว แสดงว่าเมื่อ C (ลดลง)
Yd (เพิ่ม) ® C (เพิ่ม) ; Yd (ลด) ®C (ลด)
C = ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค
a = การใช้จ่ายบริโภคขณะที่รายได้เท่ากับศูนย์ เป็นอัตโนมัติ ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับรายได้ (มนุษย์เกิดความต้องการบริโภค แม้ขณะยังมิได้มี Y หรือ S = 0)
b = ความโน้มเอียงที่จะใช้จ่ายอุปโภค บริโภค เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น 1 หน่วย
(Marginal Propensity to Consume / MPC)
Y =รายได้ประชาชาติ (National Income)
ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภค และความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายของการบริโภค
(Average Propensity to Consume / APC) หมายถึง แนวโน้มที่ประชาชนจะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคจากเงินได้ที่มีอยู่ ในแต่ละระดับ
เนื่องจาก MPC = b = slope ของเส้นการบริโภค
ดังนั้น b ก็คือ ความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภคด้วย
** การออม (The Saving)**
เนื่องจาก การออม (Saving) เป็นส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของ Pop เมื่อมี Yd จำนวนหนึ่ง**ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการออม**
1. รายได้ที่เป็นตัวเงิน (Yd) > Yd = Y – tyถ้า t (เพิ่ม) > S (ลดลง)
ถ้า t (ลดลง) > S (เพิ่ม)
Y e (เพิ่ม) >S (ลด)
Y e (ลด) >S (เพิ่ม)
ผู้บริโภคนิยมวัตถุ > C (เพิ่ม) > S (ลดลง)
**ฟังก์ชั่นการออม (The Saving Function)**
โดย –a คือ การออมในอดีตที่ถูกใช้ในการบริโภค เมื่อรายได้ที่อยู่ในมือบุคคล = 0
ความสัมพันธ์ระหว่าง S และ Yd ก็ เช่นเดียวกับ C นั้นคือ S a Yd
**ความโน้มเอียงเฉลี่ยที่จะออมทรัพย์ (The Average Propensity to save)
เป็นอัตราส่วนระหว่างเงินออมกับรายได้
Yd
การบริโภค
**ความสัมพันธ์ระหว่างความโน้มเอียงในการบริโภค กับความโน้มเอียงในการออม**
จากรูป (ก) และ (ข) มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
2. ณ Yd1 < Yd2 มี C > Yd ดังนั้น จึ้งต้องกู้ยืมหรือนำเงินออมในอดีตมาใช้ \ S ติดลบ เท่ากับ d, f
3. ณ Yd1 > Yd2 > C ส่วนหนึ่งเหลือ S = bc
4. ณ Yd2 : APC = 1 , Yd1 : APC > 15. ณ Yd3 : APC < 1
จากการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคตามกฎว่าด้วยการบริโภคในระยะสั้นของเคนส์ เท่าที่เราได้ศึกษามาตั้งแต่ต้น พอสรุปได้ดังนี้
1. APC และ MPC จะมีค่าเพิ่มในสัดส่วนลดลงเรื่อง ๆ เมื่อรายได้สูงขึ้น เพราะการบริโภคจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วน APS, MPS จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น2. APC + APS = 1 เสมอ หมายความว่า การที่เรามีรายได้อยู่ก้อนหนึ่งจะใช้บริโภคเสียส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะเก็บออมไว้
3. MPC + MPS = 1 เสมอ หมายความว่า DY = DC + DS4. MPC (ลดลง) (เส้นการบริโภคจะโค้งลง) และ MPS (เพิ่ม) เมื่อ Yd (เพิ่ม) Q DC < DY
5. 0 < MPC < 1
6. 0 < MPS < 1
**การลงทุน (Investment)**
การลงทุนในความหมายทางเศรษฐกิจ “รายจ่ายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อซื้อสินค้าประเภทที่ผลิตขึ้นใหม่ (New fixed capital goods ) เช่น ที่อยู่อาศัย โรงงาน เครื่องจักรกล อาคารสำนักงาน ทั้งนี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของปริมาณวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือด้วย” \ การลงทุน เป็นการจัดหา หรือเพื่อการทดแทนมูลค่าของทุน ที่เสื่อมราคาไป อีกนัยหนึ่ง การลดทุนมวลรวม = การลงทุนสุทธิ + การลงทุนเพื่อทดแทน Gross Investment = Net Investment + Replacement InvestmentIt = I nt + I rt
**ปัจจัยที่กำหนดการลงทุน**
อัตราดอกเบี้ย (Rate of Interest)
i เป็น cost การผลิตรวม
i (เพิ่ม) > I (ลด); i(ลด) > I(เพิ่ม)
กำไรที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Profit)
กำไร e มากกว่า ต้นทุน > I(เพิ่ม)
ราคาสินค้า
Pf > IRR > I(ลด)
Pc < IRR > I(เพิ่ม)
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
Tech ก้าวหน้า > ผู้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ > ครองตลาดทำให้มี I ใหม่อยู่ตลอดเวลา
นโยบายของรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมือง
t (เพิ่ม) และ t ซ้ำซ้อน > cost (เพิ่ม) > ไม่สามารถแข่งขัน ในตลาดได้ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ
ฟังก์ชั่นการลงทุน
I = f(Yd, A, B, C, D)I = ปริมาณการลงทุน
Yd = รายได้ที่เป็นตัวเงิน
B = กำไรคาดว่าจะได้รับ
A = อัตราดอกเบี้ย
C = ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ลักษณะของการลงทุน แบ่งออกเป็น
การลงทุนโดยอิสระ (Autonomous Investment)
เป็นการลงทุนไม่ D ตาม Yd เส้น I ขนานกับแกนนอนซึ่งวัดตาม Yd
การลงทุน
การลงทุนโดยถูกจูงใจ (Induced Investment) จะแปรผันตามระดับเงินได้
**สิ่งที่กำหนดการลงทุน**
การตัดสินใจเพื่อการลงทุนจะต้องเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเรียกว่า ประสิทธิภาพของเงินลงทุนหน่วยที่เพิ่มขึ้น (Marginal Efficiency of capital /MEC)
ถ้า I < IRR หรือ MEC > ตัดสินใจลงทุน
I > IRR หรือ MEC > ระงับการลงทุน
เช่น S = R1 + R2 + … + Rn
(1+i)n (1+i)2 (1+i)
S = (Supply Price) = สินทรัพย์ทุน
R1, R2, …, Rn = รายรับของแต่ละปีอันเกิดจากใช้สินทรัพย์ทุน
i = MEC
ถ้า MEC > หรือ = ด/บ ตลาด ตัดสินใจลงทุน
ถ้า MEC < ด/บ ตลาด ระงับการลงทุน
**การซื้อสินทรัพย์ทุนหน่วยหลัง ๆ > MEC (ลดลง) **
-รายรับ (เพิ่ม) จากการใช้สินทรัพย์ หน่วยหลัง ๆ < รายรับ (เพิ่ม)จดการใช้สินทรัพย์หน่วยแรก ประสิทธิภาพการผลิตน้อยกว่า