ตัวอย่าง resume พนักงานเสริฟ

🦘🌾🇦🇺น้องๆ ที่มาเรียนที่ออสเตรเลียหลายๆ คนอยากจะหางานทำระหว่างเรียนเพื่อลดค่าใช้จ่ายหลายคนเริ่มต้นจากการทำงานในร้านอาหาร คาเฟ่ซึ่งเรซูเม่ในการสมัครงานในร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆ นั้นก็จะมีรูปแบบไม่เหมือนกับการสมัครงานในประเทศไทยพี่ยาดาจะมาแนะนำรูปแบบของเรซูเม่สำหรับการสมัครงานHospitality กันค่ะ

งาน Hospitality เช่น พนักงานเสริฟ์ในร้านอาหาร บาริสต้า ☕️☕️เรียกได้ว่าเป็นอาชีพยอดฮิตของนักเรียนไทยหลายๆคนที่มาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เพราะนอกจากวันเวลาทำงานจะยืดหยุ่นกับเวลาเรียนแล้วยังสามารถฝึกภาษาอังกฤษในการพูดคุยกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นต่างชาติต่างภาษาได้อีกด้วย 🤩🤩

📑📑รูปแบบของเรซูเม่ในการสมัครงาน Hospitality นั้นหน้าตาขอให้เน้นความเรียบง่าย เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก เรซูเม่ควรมีเพียง 1 หน้ากระดาษก็พอค่ะภาพรวมของเรซูเม่ไม่ควรใส่สีเยอะ เน้นโทนขาวดำถ้าอยากเพิ่มสีสันควรเลือกมาสีเดียว เน้นสีเป็นทางการไม่ฉูดฉาด เช่น สีเทา สีน้ำเงิน สีแดงเลือดหมูซึ่งหน้าตาของเรซูเม่ควรมีหัวข้อหลักๆ ดังนี้

📋📋Headline เป็นส่วนแรกสุดของเรซูเม่ส่วนนี้คือชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล์ ส่วนสูง”น้ำหนัก อายุ รูปถ่ายไม่ต้องใส่เลยค่ะ”ส่วนนี้เป็นข้อมูลหลักที่เจ้านายจะใช้ในการติดต่อเรานอกจากนี้คาเฟ่บางที่ยังหาคนที่อยู่ใน Suburbที่ใกล้เคียงกับร้านเพราะส่วนใหญ่ร้านคาเฟ่จะเปิดแต่เช้าและพนักงานต้องเริ่มงานตั้งแต่หกโมงเช้าค่ะซึ่งบางเมืองรถโดยสารประจำทางยังไม่เปิดให้บริการในตอนเช้าตรู่ทำให้นายจ้างบางรายต้องการคนที่มีรถส่วนบุคคลหรือคนที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยรถโดยสารประจำทางค่ะ

👨‍🍳👩‍🍳Skills คือหัวข้อถัดมา ส่วนนี้มีความสำคัญเพราะจะบ่งบอกทักษะที่เรามีและเกี่ยวข้องกับงานที่สมัครค่ะตัวอย่าง skills ที่ควรมีสำหรับการสมัครงาน Hospitalityเช่น Customer Service, Excellent communication skills,Ability to do multitask เป็นต้น หากสมัครงานเป็นบาริสต้าสามารถใส่ Barista skills ได้ค่ะ

👨‍💻👩‍💻Work Experience อาจะเป็นส่วนที่หลายคนอาจสงสัยเพราะน้องๆ หลายคนอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานในร้านอาหารหรือคาเฟ่มาก่อนเลยสามารถใส่กิจกรรมที่เคยทำสมัครเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราจะสมัครได้ค่ะตัวอย่างเช่น เคยร่วมงานเปิดบูธขายของในงานเปิดท้ายขายของของมหาวิทยาลัย (มีความเกี่ยวข้องกับSale experience และ Customer Service)เคยอยู่ชมรมสิ่งพิมพ์ของมหาวิทยาลัย สัมภาษณ์นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้วนำมาเขียนบทความ(เกี่ยวข้องกับ Communication skills) เป็นต้นหรือหากใครมีประสบการณ์ทำงานมาแล้วก็ใส่ได้แต่เขียนให้เข้ากับงานที่จะสมัครค่ะตัวอย่างเช่นเคยทำงานที่ประเทศไทยเป็น Marketer มาก่อนก็เขียนในแนวว่าได้มีการไปพบปะลูกค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีให้ลูกค้ามีทัศนคติเชิงบวกกับสินค้าและบริการของบริษัท เป็นต้น ประวัติงานที่นำมาใส่ควรมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราสมัครนะคะไม่จำเป็นต้องใส่ทุกงานที่เราเคยทำมาค่ะ

📝📝Education คือส่วนสุดท้ายที่อาจจะไม่ได้สำคัญมากแต่ก็ควรใส่ไปค่ะ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้นายจ้างในการพิจารณาแต่ส่วนนี้ก็ไม่ได้มีส่วนสำคัญในการพิจารณามากนักสิ่งสำคัญในการที่จะได้งาน Hospitality คือบุคลิกภาพและการสื่อสารของเรามากกว่า (ถ้าสมัครงานบาริสต้าแน่นอนว่าต้องมีประสบกาณ์มาก่อนค่ะ) โดยส่วนใหญ่งานพวกนี้นายจ้างจะพิจารณาจากการสัมภาษณ์เราค่ะเพราะเป็นงานที่เน้น Service mind นายจ้างจะดูว่าเราสื่อสารรู้เรื่องมั้ย ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือเปล่าตอบคำถามได้มั้ย เพราะการทำงานในร้านอาหารหรือคาเฟ่โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพรวมถึง Customer Serviceบางทีที่ลูกค้ารอนานแล้วอารมณ์เสียใส่เราจะสามารถรับมือได้หรือไม่ เป็นอีกสิ่งสำคัญที่นายจ้างพิจารณาค่ะ

🏢🏢แหล่งในการหางานในร้านอาหารหลักๆ ก็คือ Walk inหย่อนใบสมัครกับสมัครออนไลน์ในเว็บไซต์ Gumtreeหากน้องๆ จะ Walk in ไปหย่อนใบสมัครก็ให้แน่ใจว่าแต่งกายสุภาพแบบ Smart casual หรือหากสมัครออนไลน์ก็ให้แน่ใจว่าเราพร้อมที่จะตอบคำถามหากนายจ้างโทรมาสัมภาษณ์งานนะคะ เพราะหากเราทำเรซูเม่มาดีแค่ไหนแต่ตอบคำถามตอนสัมภาษณ์ไม่ดีงานนี้ก็อาจกินแห้วได้เหมือนกันพี่ยาดาเชื่อว่างานนี้คงไม่ยากเกินความสามารถของน้องๆแน่นอนค่ะ อยากลืมนะคะว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังจะสมัครงานในร้านอาหารหรือคาเฟ่อยู่สามารถเอาคำแนะนำของพี่ยาดาไปปรับใช้ได้งานนี้ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ❤️❤️❤️❤️❤️

ในตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลายกิจการก็กลับมาเปิดให้บริการกันมากขึ้น เริ่มมีการเปิดรับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์กันมากขึ้นตามไปด้วย มีน้องๆส่งเรซูเม่ (Resume) สมัครงานเข้ามาทุกๆวัน ได้พบเจอการทำเรซูเม่มาแล้วร้อยแปดพันเก้ารูปแบบ วันนี้พี่ๆ Daywork Master จึงอยากมาแนะนำวิธีการเขียนเรซูเม่ที่ดี แบบที่ HR ในบริษัทเห็นแล้วอยากเปิดดูแน่นอน!

                        

1.ข้อมูลส่วนตัว (Personal information)

ชื่อ-นามสกุล ควรใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ จะช่วยให้โดดเด่นสะดุดตาและเป็นที่จดจำได้ง่าย เพราะเป็นส่วนสำคัญที่สุดในเรซูเม่ที่จะแนะนำตัวเองว่าเราเป็นใครได้มากที่สุด ควรใส่รายละเอียด เช่น อายุ เพศ ช่องทางการติดต่อไม่ว่าจะเป็น เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ และ E-mail ก็ควรใส่ให้ครบนะ

                        

2.รูปโปรไฟล์ (Profile Picture)

รูปถ่ายในเรซูเม่ของเรามีส่วนช่วยให้ผู้อ่านจดจำตัวเราได้ง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกรูปที่มีความมั่นใจและมีบุคลิกภาพที่ดี ควรใช้รูปที่พึ่งถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ไม่ควรใช้รูปเซลฟี่ กดหน้าคางเรียว หรือรูปที่ผ่านการแต่งมาแล้ว 360 ฟิลเตอร์ จนเปลี่ยนเป็นคนละคน รูปที่ถ่ายไกลลิบๆ หลบกล้องแบบเผลอๆ ใส่แว่นดำ ผมบังหน้าเหมือนเล่น MV ก็ไม่เอาน๊าา เพราะนี่คือการถ่ายรูปส่งสมัครงานไม่ใช่โปรไฟล์ในโซเชี่ยลเนอะ พี่ Daywork Master แนะนำว่า ใส่เสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อย สุภาพ แล้วถ่ายหน้าตรงธรรมดา ยิ้มได้เต็มที่ จะช่วยให้ภาพถ่ายออกมาดูดี และดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นจ้า

                        

3.ประวัติการศึกษา (Education)

การใส่ข้อมูลประวัติการศึกษาในเรซูเม่นั้น ให้ใส่คณะ สาขา และชื่อสถานที่ที่จบการศึกษา วิชาเอก วิชาโท เรียนด้านไหนบ้าง ควรใส่มาเป็นชื่อเต็ม(ไม่แนะนำให้ย่อนะจ๊ะ) และให้ระบุการศึกษาปัจจุบันหรือที่จบมาล่าสุดก่อน แล้วค่อยๆไล่ย้อนไปยังอดีต โดยส่วนมากจะไล่ไปถึงแค่มัธยมก็เพียงพอแล้วค่ะ ถ้าตำแหน่งที่เราต้องการสมัครงานตรงกับสาขาที่เราเรียนมา จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการได้รับพิจารณามากขึ้นด้วยนะ

                        

4.ประสบการณ์ (Experience)

เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กจบใหม่พลาดโอกาสได้งาน เพราะยังไม่เคยทำงานที่ไหนเลยไม่รู้จะใส่อะไร สมัครงานที่ไหนใครเขาก็ไม่รับ ซึ่งจริงๆแล้วในส่วนนี้ เราสามารถใส่ประสบการณ์อื่นๆเข้าไปได้ เช่น ประสบการณ์การทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียน นอกจากจะทำให้น้องดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นแล้วยังแสดงให้เห็นว่าน้องมีความรับผิดชอบและมีความอดทนมากกว่าคนอื่นๆอีกด้วยนะ หรือจะใส่กิจกรรมนอกหลักสูตร กิจกรรมพิเศษต่างๆของมหาวิทยาลัย เช่น เคยเป็นผู้นำเชียร์หรือหัวหน้าทีมกีฬา การประกวดรางวัลต่างๆก็เป็นประสบการณ์ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับการเขียนเรซูเม่ของน้องๆได้นะจ๊ะ

                        

5.ทักษะ (Skills)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรซูเม่ของแต่ละคนมีความน่าสนใจแตกต่างกัน นั่นก็คือทักษะหรือความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศ การขาย พิมพ์สัมผัส การขับรถ ทำอาหาร หรือความสามารถในการใช้โปรแกรมเฉพาะทาง เรียกว่ามีอะไรเด็ดๆเราต้องอวดให้โลกรู้ให้หมดเลยค่ะ สามารถแนบสำเนาใบรับรองต่างๆเป็นเอกสารประกอบการพิจารณามาได้ด้วยนะ

                        

6.ข้อมูลเพิ่มเติม (Additional Information)

ถ้าน้องๆรู้สึกว่าเรซูเม่ยังดูโล่งเกินไป ลองเขียนแนะนำตัวเองเพิ่มเติมดูก็ได้นะ เช่น ความชอบ งานอดิเรก จะเป็นการบอกเล่าตัวตนของน้องๆให้มากขึ้นอีกว่า เวลาว่างชั้นไม่ได้นอนเฉยๆ ชั้นมี Hobby นะจ๊ะ แต่ก็อย่าใส่เยอะเกินไปจนทำให้เรซูเม่ของน้องมีแต่น้ำ เดี๋ยวพี่ๆ HR เค้าจะหลับกันซะก่อนอ่านจบนะ

                        

7.บุคคลอ้างอิง (References)

การใส่ข้อมูลบุคคลอ้างอิง เช่น นายจ้างเก่า หรืออาจารย์ เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้เรซูเม่ดูน่าเชื่อถือ เผื่อทางบริษัทสนใจและต้องการสอบถามเกี่ยวกับตัวน้องๆเพิ่มเติม จะมีบุคคลที่ช่วยยืนยันข้อมูลให้นั่นเอง

ข้อควรระวัง! ไม่ควรใส่ชื่อญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทลงไปเพราะจะทำให้เรซูเม่ของน้องขาดความน่าเชื่อถือ เดี๋ยวเค้าจะจับได้ว่าเตี๊ยมกันมานะ!

                        

น้องๆสามารถดีไซน์เรซูเม่ให้สวยงามสดใสได้ แต่ก็ไม่ควรตกแต่งจนรก หรืออ่านยากจนเกินไปนะ ตอนนี้ในแอพพลิเคชั่น Daywork เองก็เริ่มมีงานกลับเข้ามาเยอะแล้ว ใครที่กำลังมองหางานลองมาสมัครงานพาร์ทไทม์กันดูได้เลยน้า การกรอกเรซูเม่ให้ครบ 100% ในแอพพลิเคชั่นจะช่วยให้น้องๆได้รับการพิจารณางานมากขึ้นด้วยนะ  มีปัญหาสอบถามพี่ๆ Daywork Master ได้เลยจ้า

 

 

ติดตามข่าวสารของเราได้ที่

Facebook: daywork.th

LINE: @daywork

Twitter: @DayworkOfficial

 

หางานพาร์ทไทม์ สร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน | หาคนทำงานPart time หาพนักงานพาร์ทไทม์

แหล่งหางานพาร์ทไทม์สำหรับนักเรียน นักศึกษา สร้างรายได้เสริมง่ายๆด้วยงาน part time เรทดี คุ้มค่า ได้ประสบการณ์ | หาคนทำงาน จ้างพนักงานพาร์ทไทม์เข้าไปช่วยงาน

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก