เหตุผล ที่อยากเรียน ส ถ้า ปั ต ย์

บทสัมภาษณ์สถาปนิกรุ่นพี่ที่ประทับใจ

ตุลาคม 8, 2009 โดย prangsita

สำหรับ พี่เอื้อ พุทธคุณ วงศ์สิงห์ เป็นรุ่นพี่ที่มีหลายๆอย่างในการดำเนินชีวิต และการทำงานรวมถึง ข้อคิดหลายๆอย่างที่น่าประทับใจค่ะ และเชื่อว่าจะเป็นพี่ที่อีกหลายๆคนประทับใจเช่นกัน จะเป็นอย่างไรบ้างลองมาอ่านบทสัมภาษณ์ซึ่งเป็นความเห็นและเรื่องราวส่วนหนึ่งของพี่เค้าทั้งประสบการณ์ชีวิต และ ทัศนคติที่มีต่อวิชาชีพสถาปนิกค่ะ

1. พี่เอื้อแนะนำตัวเองหน่อยค่ะ
ชื่อ เอื้อ พุทธคุณ วงศ์สิงห์ ครับ
– ประวัติทางการศึกษา : มัธยม โรงเรียนสาธิต มศว. ประสานมิตร
มหาลัยก็ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง
– กิจกรรมด้านต่างๆ : เป็นงานประกวดแบบซะเป็นส่วนใหญ่ หลักๆก็มีสองงาน คือ บ้านประหยัดพลังงาน ตอนปีสอง แล้วก็งาน Hopewell Reborn ของงานสถาปนิกตอนอยู่ปีสี่ นอกนั้นก็จะเป็นกิจกรรมทั่วๆปของคณะเช่นปรับพื้นปีหนึ่ง รับน้อง ลาดกระบังนิทรรศ ไม้สด อะไรประมาณนี้
– ประสบการณ์การทำงาน : ตอนฝึกงานทำที่ต้นศิลป์สถาปนิก หลังจากเรียนจบมาหนึ่งปี ก็เข้าทำงานที่ Westudio

2 .เหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเลือกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ :
จะให้ตอบตอนนี้ก็คงจำไม่ค่อยจะได้แล้ว พ่อพี่เป็นสถาปนิกด้วยก็คงมีส่วนที่ทำให้ตัอสินใจเรียนนะ พี่เคยมีความฝันละ เคยส่งแบบสอบถามให้อาจารย์ตอนมัธยมว่าโตขึ้นจะเป็นคนที่สร้างประวัติศาสตร์ให้โลกจดจำ แล้วก็คงจากการอบรมส่งสอนของพ่อ ก็ทำให้พี่รู้สึกว่าการเรียนสถาปัตย์น่าจะเป็นหนทางที่ทำให้พี่ใกล้เคียงกับจุดหมายของพี่ได้นะ

3. ทำไมถึงเลือกคณะสถาปัต ที่สจล. คะ คิดว่ามีจุดเด่นและจุดด้อยอย่างไร และ คิดว่ามีความแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร :
อันที่จริงต้องสารภาพว่าเพราะไม่ติดจุฬาฯ แต่ยังไงพี่ก็เลือกมหาลัยแค่สองอันดับ คือ จุฬากับลาดกระบังเท่านั้น ถ้าไม่ได้ที่นี้ก็ไม่เรียนแล้ว สำหรับพี่นะ ในประเทศเนี้ยมหาลัยที่สอนคณะสถาปัตย์ได้ดีที่สุดก็น่าจะมีแค่สองที่นี่แหละ บางทีชีวิตเราก็ต้องปล่อยให้ดวงมันพาเราไปมั้ง

4.ทัศนคติที่มีต่อคณะสถาปัตยกรรม สจล.ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้างคะ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างสำหรับความคิดเห็นพี่ : ตอนแรกที่ติดพี่ก็ออกจะมีปัญหากับทางบ้านนิดหน่อย เพราะเข้าจุฬาไม่ได้ ตอนต้นก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่เหมาะกับที่นี่ แต่พอเริ่มเรียนเราก็รู้สึกว่า ตัวพี่เองก็รู้สึกสนุกกับที่นี่ งานการก็ทำได้ดี บรรยกาศในบ้านก็ดีขึ้น แต่อย่างว่าอีโก้มันก็ยังมีอยู่ คือ พี่เคยเชื่ออยู่เหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนที่เก่ง เพราะงั้นตอนปีหนึ่งพี่ก็เลยไม่ง้อใคร ไม่เหมือนคนอื่นที่คอยจะวิ่งเข้าหาพี่ให้พี่ช่วยกันตลอด แต่เราไม่ หลังจากนั้นพอขึ้นปีสองก็เป็นพี่แล้ว แต่กลับเป็นพี่ที่เข้าหาน้องแทน เพราะรู้สึกว่าตัวเองชอบสอน พอเริ่มรู้จักกับรุ่นน้องมากขึ้นก็เลยกลายเป็นว่ารู้จักกับรุ่นพี่มากขึ้นเหมือนกัน นอกเรื่องซะไกล ส่วนเรื่องเรียนมันก็ยากขึ้นตามเวลานะแหละ แต่ยังไงมันก็ยังพอที่จะทำได้อยู่ วันนึงเราก็รู้ว่าที่นี่แหละเหมาะที่สุดสำหรับเราแล้ว ใกล้บ้านด้วย เพื่อนร่วมคณะก็ดี บรรยากาศในคณะก็ดี งานก็ทำได้ดีกว่ามาตรฐานนิดหน่อย การแข่งขันไม่มาก รู้สึกว่ามีความสุขที่ได้เรียน
ปัจจุบันเนี่ยก็คงไม่ต้องอธิบายมาก เรามาได้ขนาดนี้ก็เพราะคณะนี้ส่งมาแหละ

5. ทัศนคติต่อวิชาชีพสถาปนิกก่อนเข้ามาเรียนที่นี่เป็นอย่างไร และเมื่อจบการศึกษาแล้ว มีความแตกต่างจากเดิมบ้างมั้ย อย่างไรคะ :
พี่อยู่กับวงการอาชีพนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อของพี่ก็เป็นสถาปนิก แต่สถานะแบบนี้มันไม่ได้ทำให้มุมมองที่มีต่อวิชาชีพมันดีซักเท่าไหร่ คือ ตัววิชาชีพนะมันดี เป็นอะไรที่อุดมคติมากๆ การได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ให้มันอยุ่คู่กับโลกนี้ไปเป็นสิบๆปี มันเป็นอะไรที่ช่วนให้ประทับใจมากๆ แต่สิ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของวิชาชีพมันดูไม่ดีก็คือตัวสถาปนิกเอง จากหลายๆเหตุการณ์ที่เคยได้ยินมา มันทำให้ภาพสถาปนิกในสายตาพี่มันดูไม่ดี บางคนก็เห็นแก่ตัว บางคนก็ทุจริตแล้วก็ยังมาพูดปาวๆเรื่องจรรยา บางคนก็ไร้ศักดิ์ศรี ไม่เคยคิดคำนึงถึงว่าสิ่งเป็นอาชีพของตัวเองมันเป็นสิ่งที่สวยงามและยิ่งใหญ่ขนาดไหน สถาปนิกส่วนใหญ่แม้จะเรียนเรื่องทัศนคติ เรื่องการออกแบบมาแล้วก็ยังมองโลกในมุมแคบๆอยู่เหมือนเดิม แต่ในสถานที่ที่แย่ที่สุดมันก็ยังมีสิ่งที่ดีงามอยู่ ซึ่งตัวพี่เองพี่ก็ได้รู้จักกับสถาปนิกที่ดีๆที่ไม่ไหลลื่นไปตามกระแสของความเน่าเฟะ ซึ่งตัวพี่เองถ้าเป็นไปได้พี่ก็จะพยามที่จะไม่อยู่ในกระแสนั้นเหมือนกัน ก็นั้นแหละ มุมมองของพี่ก็จะประมาณนี้ละ มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ก่อนจะเรียนจนกระทั้งเรียนจบออกมา

6. ประสบการณ์การทำงานกับการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย มีความแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไรบ้าง มากน้อยแค่ไหนคะ :
ต่างกันสิ การเรียนนะมันเหมือนกับแค่เค้าส่งเราออกมาเฉยๆแหละ มันยังมีอีกหลายเรื่องมากๆที่ไม่ได้เรียนจากในมหาลัย มันยังคงต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยละ ทีนี่สิ่งที่ดีก็คือการเรียนการสอนของลาดกระบังนะ มันยังทำให้เราไม่รู้สึกว่าตัวเปล่าเปลือยมากนัก เรามีหลายๆเรื่องที่คณะเราสอนมา เป็นฐานให้เราเรียนรู้ต่อไปได้เร็วขึ้นนะ อย่างน้อยช่วงแรกๆเวลาฟังสถาปนิกคุยกันเราก็ยังพอเข้าใจบ้างละ

7. คุณคิดว่าการเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยเมื่อมาทำงานวิชาชีพ มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนอะไร และยังขาดสิ่งที่สำคัญอะไรบ้าง? :
อันนี้พี่ตอบไม่ได้จริง คือพี่คิดว่ามหาลัยเราสอนทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้เท่าที่เวลาเรมีแล้ว มันคงไม่มีทางที่จะเติมเต็มความรู้ทุกอย่างหรอก ยังไงซะมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไปเรียนด้วยตัวเองหลังจากที่เรียนในมหาลัยจบไปแล้ว

8. สิ่งที่ได้รับจากคณะนี้มีมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและมีความสำคัญอย่างไรบ้างกับชีวิตคะ :
สิ่งที่ได้…นอกเหนือจากเรื่องที่เรียนแล้ว อันนี้ก็คงได้มากน้อยก็แล้วแต่ความตั้งใจละนะ นอกเหนือจากที่เรียนก็น่าจะเป็นประสบการณ์ หลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องงานกลุ่ม Team Work เรื่องเพื่อน ส่วนใหญ่มันก็ฝึกให้เราสามารถที่จะคิดและแก้ปัญหาต่างๆได้ ฝึกให้เราคิดหรือสร้างจินตนาการที่สร้างสรรค์ แล้วแถมยังทำออกมาเป็นรูปธรรมได้ด้วย มันทำให้เราคิดอะไรต่างๆอย่างเป็นระบบ สำหรับพี่ก็ทำให้พี่รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย และที่สำคํญมันมีความทรงจำที่ดีๆอยู่เต็มไปหมด

9. อยากให้พี่เล่าถึงสิ่งที่ประทับใจในชีวิตที่เป็นกำลังใจให้พี่ทำสิ่งต่างๆต่อไปในอนาคตได้ในเวลาที่เหนื่อยหรือท้อจากการทำงานคะ :
พี่เป็นคนชอบเที่ยว หมายถึงชอบที่จะเดินทางนะ สิ่งที่พี่จะทำก็คือ พี่จะวางแผนไว้ว่าช่วงเวลานี้ในอนาคต พี่จะไปที่ไหนซักที่(คนที่ไปด้วยก็มีส่วนนะ) แล้วช่วงเวลาก่อนที่จะไปนั้น ต่อให้พี่ต้องทำงานเหนื่อยหรือเจสถานการณ์ที่แล้วร้ายขนาดไหน พี่ก็จะคิดถึงเวลาที่จะไปเที่ยวในอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา แล้วมันก็จะทำให้พี่รู้สึกว่า”พยามต่อไปเถอะ อีกนิดเดียวก็จะได้ไปเที่ยวแล้ว”

10.อยากให้เล่าถึงการทำงานจริงของบริษัทที่พี่ทำอยู่ว่าเป็นอย่างไรบ้างคะ :
เหนื่อยคับ บริษัทพี่เราเป็นบริษัทออกแบบที่ทำเฉพาะโรงพยาบาล ปกติจะทำทั้ง Exterior และ Interior แต่ช่วงนี้มีแต่งาน Interior ออฟฟิสก็เล็กๆ มีกันอยู่สามคน แต่งานเหมือนมีซักสิบคน แต่ละคนก็แบกงานกันล้นมือ แถมมีแต่งานที่หินๆทั้งนั้น แถมเจ้านายก็รสนิยมไม่ตรงกันอีก ตกลงงานกับหมอกับพยาบาลก็ปวดหัว แต่เรื่องที่ดีก็คืน ความรู้ที่ได้นะ เป็นเรื่องทางเทคนิกทั้งนั้นเลย เพราะเราได้อยู่ใกล้งาน ได้เห็นขั้นตอนการทำงานทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มรับงานยันก่อสร้างเสร็จ สำหรับพี่นะมันจะยากก็ลองทำดูเถอะ มันก็เป็นเรื่องที่ท้าทายดี

11. อยากให้พูดถึงผลงานที่ภาคภูมิใจที่สุดหน่อยคะ :
ผลงานเหรอ ของจริงนะยังไม่มีหรอก มีแต่กำลังจสร้างนะ เป็นแผนกผ่าตัดใหม่ของโรงพยาบาลรามา พี่ช่วยทำแบบกับพี่อีกคน เป็นแผนกมีห้องผ่าตัดเจ็ดห้องแบบที่ทันสมัยที่สุดในเมืองไทย ของทุกอย่างดีสุดเท่าที่จะหาได้ ราคาเป็นเรื่องรองลงมา งานนี้เราลงกันไปถึงลายละเอียดการเข้ามุมผนังโค้งทุกมุม และวัสดุที่ป้องกันการเพาะเชื้อโรง ทุกอย่างเป็นงานเฉพาะทางแบบ Over standard หมด เห้นราคาแล้วก็ออกจะตกใจอยู่ ที่เหลือก็รอให้ประมูลราคาแล้วก็เริ่มสร้าง แล้วก็มาลุ้นกันว่ามันจะออกมาดีรึเปล่า

12.เป้าหมาสูงสุดในการทำงานคืออะไร? :
ตอนแรกก็ว่าจะเป็นสุดยอดสถาปนิก สร้างชื่อเสียงแบบประมาณว่าเราตายไปแล้วยังมีเด็กสถาปัตย์ต้องเรียนเรื่องของเราอยู่ แล้วก็มีงานที่จารึกอยู่บนแผ่นผืนโลกใบนี้ แต่มันจะเป็นไปได้รึป่าวก็ไม่รู้ ตอนนี้ก็ได้แค่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ต้องเร่งรีบแต่วางแผนให้ดี แล้วในที่สุดก็หวังว่าจะได้สร้างบ้านที่เป็นของตัวเองซักหลังนึง

13.ทราบว่าพี่ได้เดินทางท่องเที่ยวหลายๆประเทศหลังจากเรียนจบซึ่งต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆที่หางานทำเลย พี่มีความคิดเห็นอย่างไรกับการตัดสินใจนี้คะ และอยากให้เล่าถึงการเดินทางให้ฟังว่าเป็นอย่างไร ได้รับประสบการณ์และประโยชน์อะไรบ้างคะ :
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต คือ ช่วงเวลาหลังจากเรียนจบ มันเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทันทีที่ทุกคนจบมา จะเกิดความรู้สึกโหรงเหรง ชีวิตว่างเปล่าไม่มีอะไรทำ พอเห็นเพื่อนทำงาน ก็ต้องรีบไปทำบ้างเดี๋ยวจะตามไม่ทัน ส่วนของพี่มันก็เป็นไอเดียของทางบ้านที่อยากให้พี่ออกไปดูโลกกว้าง มันก็เลยเป็นแรงจูงที่จะผลักดันตัวเองให้ไป พี่เดินทางสองครั้งใหญ่ๆและย่อยๆอีกตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ครั้งแรกพี่เดินทางกับแม่ ไปอังกฤษ ฝรั่งเศสแล้วก็อิตาลี ส่วนครั้งที่สองเป็นการเดินทางคนเดียว ไปฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส การไปเที่ยวแบบนี้มันต้องอาศัยยเวลาสองส่วน คือช่วงของการเตรียมตัว และช่วงการเดินทาง ช่วงเตรียมตัวพี่ก็วางแผนการเที่ยว แล้วก็เรียนภาษาทั้งอังกฤษ และฝรั่งเศส ช่วงเวลาวางแผนของพี่มันนานไปหน่อยเพราะพี่ก็มัวแต่ทำนู้นทำนี่ก็เลยกินเวลาไปหมด แต่ก่อนที่จะไป ทุกอย่างมันก็ถูกเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ แต่การเที่ยวแบบนี้ สิ่งที่ต้องทำใจไว้เลยก็คืออะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะงั้นเราต้องระวังตัวและมีสติอยู่ตลอดเวลา
แล้วก็ถึงวันที่ไป ครั้งที่ไปกับแม่ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ สบายๆ แต่พอครั่งที่ไปคนเดียวมันก็ออกจะกลัวๆนิดหน่อย มีอาการจิตตกหลายๆครั้ง ส่วนใหญ่มาจากอาการเหงา แต่บางทีเราก็ได้เพื่อนเป็นคนประเทศนู้นบ้างประเทศนี้บ้าง ได้เจอคนหลากหลายประเภท คนที่คล้ายๆเรา คนที่รักการเดินทาง การเที่ยวครั้งนี้มันก็ส่งผลที่ดีในหลายๆเรื่อง แม้เกือบโดนล้วงกระเป๋าสองที ก็ยังถือว่าทริปนี้สมบูรณ์และปลอดภัยกลับมา ส่วนสิ่งที่ได้มานะ พี่อธิบายไม่ถูกหรอก พี่เคยพยามคิดถึงมันหลายรอบแต่มันก็บรรยายออกมาได้ไม่ดี มันเหมือนกับเราก้าวไปในอีกพื้นที่นึงแล้ว เรารู้แล้วว่าสำหรับเรื่องเที่ยวมันไม่มีข้อจำกัดสำหรับเราแล้ว เราสามารถที่จะเอาตัวรอดได้ด้วยดัวเองแล้ว ส่วนงานสถาปัตย์ที่ไปดู มันก็ประทับใจดีแต่ก็ไม่ได้มีอะไรกลับมามากนะ เรื่องที่สำคัญที่นึกออกจริงมันเกิดขึ้นเมื่อเราเหงาแบบสุดๆคือ คนเราไม่อาจที่จะอยู่ได้หรอก หากปราศจากครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เรารัก

14. พี่มีความคิดเห็นอย่างไรกับการศึกษาต่อทางสถาปัตยกรรมในประเทศต่างแดนคะ :
ดีคับ พี่ก็กะว่าจะทำงานซักสองปีก็จะไปเรียนต่อเมืองนอกเหมือนกัน พี่คิดว่ามันดีกว่าเมืองไทยตรงที่มันทำให้เราได้รับอะไรใหม่ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรที่มันแตกต่าง พี่ว่าการเรียนต่อในไทยมันก็จะซ้ำๆกํบบรรยากาศเดิมๆนะ

15. “ เรียน’ถาปัตไปทำไม น่าเบื่อก็ปานนั้น งานก็หนัก ความรับผิดชอบก็สูง ค่าแบบก็น้อยสุดแรงจะสู้ “ ถ้าเทียบกับอาชีพอื่นๆ พี่มีความคิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวนี้บ้างคะ : จริงครับ แต่มันก็มีคนบางประเภทรักที่จะทำงานในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากทำ ไม่งั้นจะมีคนที่เรียนหมอ หรือคนที่ทำอะรเพื่อสังคมไปทำไม ถ้าเราเรียนในสิ่งที่เรารักนะ ต่อให้มันยากลำบากขนาดไหน เราก็ยังสามารถที่จะทำมันด้วยความสุขได้ และมันยังมีอะไรอีกเหรอที่เราต้องการมากกว่าความสุขนะ

16. พี่มีความคิดเห็นอย่างไรต่อการให้คุณค่าของงานสถาปัตยกรรมของประเทศไทยเรากับต่างประเทศคะ :
พี่ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่า ในความเห็นของพี่ สถาปัตยกรรมในประเทศไทยเรายังไม่อาจเทียบได้กับงานสถาปัตยกรรมของเมืองนอก มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้นเช่น เทคโนโลยี ข้อจำกัดทางการก่อสร้าง และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การขาดการมองการไกลของทั้งตัวสถาปนิก เจ้าของโครงการ และผู้เกี่ยวข้องอื่น เราขาดความพยายามที่จะทำอะไรใหม่ๆ ในที่สุดแล้วสิ่งที่เราขาดคือ “จินตนาการ” เราทำได้แค่หยิบสิ่งที่มีๆอยู่แล้วมาประกอบกันให้เป็นงานที่เราบอกว่าเป็นของเรา แต่เราไม่เคยกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆจริงๆเลย

17.มีความประทับใจต่อสถาปนิกคนไหนบ้างมั้ยคะ? ถ้ามีคือใคร? และชอบหรือประทับใจอะไรในตัวเค้า :
พี่ชอบ Tadao Ando นะ พี่เชื่อว่าหลายๆคนก็ชอบเค้า แต่พี่ไม่ได้ชอบที่งานเค้ามากนัก แต่ที่พี่ชอบคือ Ando เป็นสถาปนิกที่มีเชื่อแล้ว แต่เราก็ยังคงเห็นพัฒนาการของเขาเรื่อยมา เช่นเมื่อก่อน Ando ก็ทำแต่อาคารคอนกรีตเปลือย แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช้ เขาสร้างอาคารด้วยไม้แล้ว แต่เมื่อดูแล้วก็เป็นงานของเขา มันเหมือนกับว่าช่วงที่เขาทำงานเป็นคอนกรีต เขาได้บรรลุถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคอนกรีต พี่ว่าเขาน่าจะบรรลุถึงปรัชญาของชนชาติเขาเอง ซึ่งนี่คือสิ่งที่สถาปนิกไทยควรจะมี งานที่ออกมาเมื่อมันถูกคลุมด้วยปรัชญาที่ใหญ่และทรงพลังขนาดนี้แล้ว มันจะสร้างด้วยอะไรก็ได้ มันก็เป็นงานที่ยิ่งใหญ่เสมือนกัน

18. คิดว่าลักษณะและสิ่งสำคัญของสถาปนิกที่ดีเป็นอย่างไรและควรมีอะไรบ้างคะ :
เราเป็นนักออกแบบ สิ่งที่ทำให้เราเป็นนักออกแบบที่ดี ก็คืองานออกแบบที่ดี เราคือแนวหน้าของอารยธรรม สี่งที่สถาปนิกที่ดีควรจะทำก็คือการมองไปในอนาคต แล้วก็ใช้จินตนาการของตัวเองนำพางานของตัวเองให้พ้นจากกรอบเก่า และสร้างงานที่ใหม่ และดีกว่าที่ที่เคยมีมา

19. คิดอย่างไรกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลกระทบอย่างไรบ้างกับวิชาชีพเรา `:
แน่นอนคับ งานน้อย มีหลายคนที่พี่รู้จักต้องออกจากงาน หรือโดนลดเงินเดือน แต่พวกนี้มันเป็นวัฏจักร เดี๋ยวมันก็ดีเดี่ยวมันก็เลว มันอยู่ที่ว่าช่วงที่มันดีเราจะเก็บเกี่ยวได้ดีขนาดไหน และช่วงที่มันเลวเราจะรับมือกับมันยังไงมากกว่า

20. ข้อเสียของวงการสถาปนิกไทยรวมถึงระบบการทำงานของเรามีอะไรบ้างคะ :
เรายังขาดการมองการไกลนะ มันเป็นเรื่องปกติที่มันจะเกิดอาการกลัวเวลาที่ต้องทำอะไรที่ไม่คุ่นเคย แต่ถ้าเราฝ่ามันไปได้เราจะพบว่าเราได้เหยียบเข้าไปในพื้นที่แห่งใหม่แล้ว พี่ว่าอันนี้น่าจะเป็นเรื่องเดียวนะ ถ้าสามารถที่จะมองไปข้างหน้าและวางแผนให้ถูกต้องแล้ว เดี๋ยวเรื่องอื่นๆมันก็น่าจะดีตามๆกันมา

21. คติหรือข้อคิดในการทำงานของพี่คืออะไรคะ :
ขยัน ทำงานให้ได้คุณภาพสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แล้วก็ไม่ทำให้ทุกคนที่คาดหวังกับเราต้องผิดหวัง ในขณะเดียวกันสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการมีความสุขในการดำเนินชีวิต ยังไงซะความสุขมันก็เอามาแลกกับอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

22. อยากให้แนะนำเกี่ยวกับสถาปนิกรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบไปแล้วจะเปิดบริษัทของตนเอง :
อย่างเพิ่งรีบไป รอประสบการณ์ก่อน การเปิดออฟฟิสมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ต้องบริหารเป็น จัดการเป็น วางแผนเป็น มันมีหลายเรื่องให้คำนึง ตอนต้นเรายังไม่มีประสบการณในเรื่องงานที่จะต้องทำเลย เปิดออฟฟิสไปก็จะลำบากเปล่าๆ

23. อยากให้ฝากถึงน้องๆสถาปัตลาดกระบังของเราหน่อยคะ :
ตั้งใจเรียนนะคับ เรียนให้สนุกนะ ถ้าทำได้

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก