The ordinary ห้ามใช้คู่กัน

หนึ่งทิปส์การใช้สกินแคร์ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดคือการจับคู่ส่วนผสมอันทรงพลังเข้าไว้ด้วยกัน เพราะเทคนิคนี้จะช่วยเสริมให้การบำรุงผิวดีขึ้นมากกว่าเดิม แถมยังได้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งอย่างด้วย ตามไปดูกันว่าส่วนผสมไหนควรนำมาจับคู่ใช้ด้วยกันบ้าง

Hyper-Fortifying Barrier Cream จาก FEEV (ราคา 550 บาท)

  • Glycolic Acid + Vitamin C

กรดไกลโคลิกเป็นกรดที่ได้จากผลไม้ที่จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดออกไปเร็วขึ้น และเมื่อนำมาใช้กับวิตามินซีก็จะช่วยเสริมให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ลดรอยดำ รูขุมขนกระชับและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น

อยากขจัดเซลล์ผิวเก่าออกแต่ก็กลัวการระคายเคือง ลองจับคู่ส่วนผสมสองอย่างนี้ดู เพราะนอกจากจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกแล้ว วิตามินบี 3 จะช่วยลดอาการระคายเคืองจากการใช้เรตินอลได้เป็นอย่างดี

Phyto-Blanc La Lotion Brightening Hydrating Lotion จาก Sisley (ราคา 4,500 บาท)

  • Alpha Arbutin + Lactic Acid

เรามักพบอัลฟาอาบูตินได้ในเครื่องสำอางมากกว่าสกินแคร์ก็จริง แต่เมื่อนำมาจับคู่ใช้กับกรดแลกติก ซึ่งเป็นกรดที่ได้จากนมและน้ำตาลที่ได้จากผลไม้ก็จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไป พร้อมแก้ปัญหาความหมองคล้ำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นนั่นเอง

เมื่อเราอายุมากขึ้น คอลลาเจนในชั้นผิวก็เริ่มผลิตน้อยลงส่งผลให้เกิดริ้วรอยมากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นควรป้องกันและบำรุงผิวด้วยการเสริมคอลลาเจนจากสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ เพราะเปปไทด์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ผสานพลังกับวิตามินซีที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระไปในตัวด้วย

The Anthemis Chamomile & Rosehip Soothing Moisturizer จาก Pai Skincare (ราคา 2,150 บาท)

  • Niacinamide + Salicylic Acid

เรียกว่าเป็นคู่หูดูโอ้ที่ทรงพลังมาก เพราะกรดซาลิซิลิกจะช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและกำจัดไขมันที่เป็นส่วนเกินตามรูขุมขนให้หลุดออกไป ทำให้ไม่เกิดการอุดตัน จึงช่วยลดการเกิดสิวได้ดีมาก เมื่อนำมาจับคู่กับวิตามินบี 3 หรือ Niacinamide ก็จะยิ่งเสริมความแข็งแรงให้ผิวไม่เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นสิว ริ้วรอย หรือการระคายเคืองต่างๆ

  • Hyaluronic Acid + Ceramide

กรดไฮยาลูรอนิกจะช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิวอิ่มน้ำ มีความอิ่มฟูมากขึ้น ยิ่งถ้านำมาจับคู่กับเซราไมด์ก็จะช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวหนังให้มีความยืดหยุ่น ลดการเกิดจุดด่างดำและริ้วรอยก่อนวัย

Orchidee Imperiale Micro Lift Concentrate Serum จาก Guerlain (ราคา 20,000 บาท)

  • Retinol + Hyaluronic Acid

นอกจากวิตามินบี 3 แล้วยังมีกรดไฮยาลูรอนิกที่ช่วยลดการระคายเคืองและเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวควบคู่ไปกับการผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้เรตินอล ฉะนั้นใครที่กลัวการระคายเคืองหรือการขาดความชุ่มชื่น แนะนำว่าให้จับคู่สองอย่างนี้เข้าไว้ด้วยกัน

วิตามินซีอุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยให้ผิวกระจ่างใส พร้อมต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัย ยิ่งถ้าวันไหนที่ต้องออกแดดแรงๆ จะก็จะทำให้ผิวหมองคล้ำและดูโทรมได้ ฉะนั้นแนะนำว่าให้เพิ่มการปกป้องผิวด้วยการนำมาจับคู่ใช้กับสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ SPF จะทำให้การป้องกันผิวจากรังสียูวีมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

Yehwadam Artemisia Soothing Moisturizing Cream จาก The Face Shop (ราคา 1,599 บาท)

รู้หรือไม่ว่าหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวคือการอุดตันของความมันและสิ่งสกปรกที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก แก้ปัญหาด้วยสองส่วนผสมนี้ เพราะเป็นการผลัดเซลล์ผิวออกอย่างอ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง แต่ไม่ควรทำประจำเป็นทุกวัน เพราะอาจทำให้ผิวบางเกินไปได้

ทั้ง 2 ตัวนี้ช่วยเรื่องผลัดเซลล์ผิว แต่ไม่ควรที่จะมาเจอกัน! เพราะเขาคือ AHA และ BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว หากมีค่า % ที่สูงมากเกินไป แทนที่จุดด่างดำ ริ้วรอยจะดีขึ้น อาจทำให้ผิวพังแทนได้ ด้วยการใช่คู่แบบดับเบิ้ลของสาร 2 ตัวนี้จะทำให้ค่าการผลัดเซลล์ผิวมีมากจนเกินไป ก่อให้เกิดผิวแห้ง ผิวลอก และผิวไม่แข็งแรงขึ้นได้ แถมยังไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวันอีกด้วย

Retinol + Scrub

ต้องขออธิบายก่อนเลยว่า Retinol เขาจะช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว ปรับผิวกระจ่างใส และลดริ้วรอย ซึ่งนั่นจะทำให้ผิวมีความไวต่อแสงมากขึ้น ผิวของบางคนอาจเกิดความระคายเคืองได้ง่าย หากยิ่ง Scrub ขัดผิวไปด้วยแล้ว ก็อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองแห้งลอกขึ้นได้ ดังนั้นถ้าสาว ๆ ที่กำลังใช้เรตินอลอยู่ก็อย่าพึ่งทำการสครับผิวนะคะ

Retinol + AHA/BHA

เมื่อส่วนผสมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวมาเจอกัน! ซึ่ง Retinol ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และ AHA/BHA ก็ช่วยผลัดเซลล์ผิวเช่นกัน ก็จะทำให้ผิวเร่งผลัดผิวแบบคูณสอง หลายคนอาจจะคิดว่าผิวก็จะยิ่งกระจ่างใสเร็วขึ้นสิ แต่คิดผิดแล้วค่ะ! ผิวของคุณจะไวต่อแดด ทำให้ผิวง่ายต่อการคล้ำเสีย เกิดผื่นแดงได้ง่ายกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่ควรใช้คู่กันนั่นเอง

 Vitamin B3 และ AHA

ถึงแม้ 2 ตัวนี้จะไม่ได้ทำให้ผิวระคายเคืองแต่ถึงใช้ไปก็ไม่ได้ส่งเสริมประสิทธิภาพให้ดีขึ้น แนะนำว่าให้เลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้นค่ะ เพราะ Vitamin B3 จะช่วยปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง ปรับค่า pH ในผิวให้เป็นกลาง แต่ในขณะที่ AHA เป็นสารที่ทำให้ค่า pH บนผิวนั้นไม่สมดุล เมื่อทั้ง 2 สารนี้มาเจอกันจึงทำให้ Vitamin B3 ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ถึงใช้ไปก็ไม่เห็นผล นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ไม่ควรใช้ร่วมกันนั่นเองค่ะ

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก