1.ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาพลศึกษา เป็นการเรียนการสอนที่ต้องการให้เยาวชนมีสุขภาพที่ดี ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งจากการเรียนการสอนดิฉันได้พบปัญหาจากนักเรียนบางส่วนที่ไม่สามารถเล่นทักษะวอลเล่ย์บอลได้ จากปัญหาที่พบ คือปัญหาทางด้านทักษะการเสิร์ฟลูกวอลเลย์บอลมือบนซึ่งมีนักเรียน 10 คน จากจำนวนนักเรียนทั้งหมด 40 คน ที่ไม่สามารถเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนได้ จากสาเหตุนี้ดิฉันจึงได้ทำการซักถามโดยการสนทนากับตัวนักเรียน พบว่า มีอยู่ 4 สาเหตุใหญ่ๆ คือ นักเรียนไม่มีความถนัดในการเล่นวอลเลย์บอล นักเรียนไม่เคยเรียนทักษะพื้นฐานการเล่นวอลเลย์บอลมาก่อน นักเรียนมีรูปร่างที่ไม่เหมาะสม และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือนักเรียนไม่เคยฝึกซ้อมตามแบบฝึกที่ถูกต้อง นั่นคือสาเหตุหลักใหญ่ของตัวนักเรียน ที่พบว่านักเรียนไม่สามารถเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนได้ ซึ่งถ้าเราไม่แก้ไขปัญหาในทักษะนี้ เด็กก็จะไม่สามารถพัฒนาในทักษะต่อไปได้ และยังจะส่งผลไปยังการจัดการเรียนการสอนในวิชาพลศึกษาในระดับพื้นฐาน และจะต้องนำไปวิเคราะห์เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มากขึ้น ดิฉันจึงเห็นว่า การค้นพบปัญหาในทักษะนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาให้เด็กนักเรียนสามารถปฏิบัติทักษะนี้ได้อย่างถูกกต้อง โดยจะใช้เครื่องมือวิจัยในชั้นเรียน ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่มีใครนำมาวิเคราะห์ปัญหา ดิฉันจึงได้คิดทำประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติทักษะการเสิร์ฟลูกวอลเลย์บอลมือบนไม่ได้จนนักเรียนสามรถปฏิบัติทักษะนี้ได้ดียิ่งขึ้น
2.ปัญหาการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เสิร์ฟลูกวอลเลย์บอลมือบนไม่เป็น
3.วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า
3.1 เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะ การเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบน
3.2 เพื่อศึกษาความสามารถทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบน
3.3 เพื่อเปรียบเทียบความสามรถการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนก่อนเรียนและหลังเรียน
4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
4.1 เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอลต่อไป
4.2 นักเรียนสามารถเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนหลังเรียนได้ดีกว่าก่อนเรียน
4.3 นักเรียนสามารถเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนได้อย่างถูกต้อง
4.4 ช่วยก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบน
5. การดำเนินงานวิจัย
5.1 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาทักษะ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียน สวีวิทยา จังหวัด ชุมพร จำนวน 10 คน
5.2 ตัวแปรที่ศึกษา
1. ตัวแปรอิสระ ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบน
2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามรถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบน
5.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. แบบฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบน มี 3 แบบฝึกได้แก่
- การเสิร์ฟลูกวอลเลย์มือบนไปให้คู่
- การเสิร์ฟลูกวอลเลย์มือบนไปกระทบฝาผนัง
- การเสิร์ฟลูกวอลเลย์มือบนข้ามตาข่าย
2. แบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบนก่อนฝึกและหลังฝึก
5.4 การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้
1. ทบทวนทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบน
2. ศึกษาแบบแบบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบนของผู้อื่นที่เคยพัฒนาไว้
3. ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิทางทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบน
อาจารย์ จักพันธ์ เสนีย์ โรงเรียนสวีวิทยา
4. ดำเนินการสร้าง
5. นำแบบฝึกที่สร้างเสร็จให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน จำนวน 3 คน
1. อาจารย์ จักรพันธ์ เสนีย์ หัวหน้ากลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา
2. อาจารย์ สุวัฒน์ ถิ่นเขาน้อย อาจารย์พลศึกษาโรงเรียนสวีวิทยา
3. นางสาว วนิดา ชรอยนุช นักกีฬาวอลเลย์บอล
6.นำผลการประเมินมาหาค่าความเที่ยงตรง(OIC)ได้ค่า OICอยู่ระหว่าง 0.66-1.00
5.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังต่อไปนี้
1.ทดสอบกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบนก่อนฝึก และบันทึกคะแนนการสอบไว้
2. ฝึกโดยใช้แบบฝึกการเสิร์ฟวอลเลย์มือบนที่พัฒนาขึ้นเอง โดยใช้ระยะเวลาจำนวน 5 ชั่วโมง
3.ทดสอบกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบทดสอบทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบน หลังฝึก และบันทึกคะแนนการสอบไว้
5.6 สถิติวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
1.หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความสามารถทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบน
2.หาความก้าวหน้าความสามารถทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบนก่อนฝึกและหลังฝึก
6. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลความสามารถในการเสิร์ฟวอลเลย์มือบน โดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและหาความก้าวหน้าก่อนฝึกและหลังฝึก ดังตารางที่ 1 และ ตารางที่
ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความสามารถก่อนและหลังฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเลย์มือบน
รายการ | N | X | S.D |
ทดสอบก่อนฝึก | 10 | 5.5 | 0.96 |
ทดสอบหลังฝึก | 10 | 7.6 | 0.51 |
จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนความสามารถในการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากการทดสอบก่อนฝึกและหลังฝึกเท่ากับ 5.5 และ 7.6 ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มมมากขึ้น
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบนของนักเรียนชั้น
ม. 2 ก่อนและหลังฝึก จำนวน 10 คน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน)
นักเรียนคนที่ | คะแนนก่อนเรียน | คะแนนหลังเรียน | ความก้าวหน้า |
1 | 5 | 7 | +2 |
2 | 5 | 8 | +3 |
3 | 5 | 7 | +2 |
4 | 4 | 8 | +4 |
5 | 7 | 7 | +0 |
6 | 5 | 8 | +3 |
7 | 6 | 8 | +2 |
8 | 7 | 7 | +0 |
9 | 6 | 8 | +2 |
10 | 5 | 8 | +3 |
คะแนนรวม | 55 | 76 | 21 |
คะแนนเฉลี่ย | 5.5 | 7.6 | 2.1 |
จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความก้าวหน้าในการฝึกมีความก้าวหน้าเฉลี่ย 2.1 คะแนน
7. สรุปผลการวิจัย
จากการพัฒนาทักษะการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1.ได้แบบฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบน ใช้ฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบน วิชา วอลเลย์บอลสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1ชุด ประกอบด้วย
- การเสิร์ฟลูกวอลเลย์มือบนไปให้คู่
- การเสิร์ฟลูกวอลเลย์มือบนไปกระทบฝาผนัง
- การเสิร์ฟลูกวอลเลย์มือบนข้ามตาข่าย
2 .นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ใช้แบบฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบนมีความสามารถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนจากการสอบก่อนฝึกและหลังฝึกเท่ากับ5.5 และ 7.6 ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มมมากขึ้น
3. นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบน มีคะแนนเฉลี่ยความก้าวหน้าในการฝึกเท่ากับ2.1 คะแนน
8.ข้อเสนอแนะ
จากการใช้กิจกรรมฝึกทักษะการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ปรากฏว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความสามรถในการเสิร์ฟวอลเลย์บอลมือบนสูงขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาความก้าวหน้าในการฝึกของนักเรียนพบว่า มีการพัฒนาขึ้นตามระยะเวลาและกิจกรรมที่ฝึก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแบบฝึกที่พัฒนาขึ้นส่งผลต่อการฝึก ดังนั้นผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้
ข้อเสนอแนะการนำไปใช้
1 .ควรฝึกเพิ่มเติมให้กับนักเรียนที่ยังบกพร่องในการเสิร์ฟวอลเล่ย์บอลมือบนโดยเปลี่ยนทักษะให้เหมาะสมกับลักษณะข้อบกพร่องนั้นๆ
2. นำแนวทางในการพัฒนาไปใช้กับสภาพปัญหาอื่นๆในการจัดการเรียนการสอน
ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรพัฒนาแบบฝึกทักษะอื่นๆ เช่น การตบหรือการเล่นลูกมือบน เพื่อให้มีนวัตกรรมใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนเพิ่มมมากขึ้น
2. การศึกษาทดลองเปรียบเทียบวิธีฝึกที่ต่างกันในการพัฒนาทักษะเดียวกันเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ที่เพิ่มขึ้น